ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่องและภาพ

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ–ภาคประชาสังคมในจังหวัดเชียงราย ประชาชน นักวิชาการ รวมทั้งทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เดินทางไปยังศาลปกครองเชียงใหม่เพื่อยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรณีอนุมัติผลักดันโครงการเขื่อนปากแบงบนแม่น้ำโขง
เขื่อนปากแบง หรือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng Hydropower Project) เป็นโครงการลงทุนข้ามพรมแดนของไทยใน สปป.ลาว มี กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า กำลังผลิตติดตั้ง 912 เมกกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นเวลา 29 ปี ขณะที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองอยู่แล้วไม่น้อยกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์
การสร้างเขื่อนปากแบงบนแม่น้ำโขงต่อจากเขื่อนไซยะบุรี (สร้างเสร็จและเริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2562) นอกจากจะกีดขวางการไหลอย่างเป็นธรรมชาติของแม่น้ำ ยังส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพืชพรรณ สัตว์น้ำ คนท้องถิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมีข่าวว่าแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก รวมถึงแม่น้ำโขง ต้องปนเปื้อนสารโลหะหนัก อาทิ สารหนู (As) ตะกั่ว (Pb) จากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ท แร่ทองคำ และแร่หายากอื่น ๆ ในพื้นที่ต้นน้ำประเทศเมียนมา ความพยายามสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยิ่งสร้างความหวาดหวั่นว่าจะทำให้โขงกลายสภาพเป็น “อ่างกักตะกอนพิษ”
เจาะเหมืองแร่ “ต้นแม่น้ำกก–น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน – Thai PBS , 8 เมษายน 2568
ชาวเชียงรายจี้ MRC ยกประเด็นสารปนเปื้อนน้ำกก-สาย-รวก-โขงเป็นวาระด่วน – มติชนออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2568
ผลวิจัยชี้ เหมืองไร้การกำกับดูแล กำลังปล่อยสารพิษลงแม่น้ำโขง – ไทยรัฐ ออนไลน์ , 26 พฤศจิกายน 2568
ตลอดปีที่ผ่านมา มีข่าวว่าแม่น้ำนานาชาติ ได้แก่ กก สาย รวก โขง ต้องประสบปัญหามลพิษจากกรณีปนเปื้อนสารโลหะหนักข้ามพรมแดนมาจากฝั่งเมียนมา ตรวจพบสารพิษในน้ำและตะกอนของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายสูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัย สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงแม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง เพราะน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษได้ไหลลงสู่แม่น้ำปลายทาง สร้างความเสี่ยงต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นที่อยู่ปลายน้ำ

“สาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนเชื่อมโยงกับกิจการเหมืองแร่บริเวณรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยไม่มีการควบคุมตามกฎหมาย ทำให้สารเคมีและตะกอนที่ปนเปื้อนโลหะหนักจากเหมืองถูกชะล้างลงสู่ลำน้ำ ไหลเข้าสู่ประเทศไทย ขณะเดียวกันการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนปากแบง ปราศจากการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Impact Assessment) และผลกระทบเชิงสะสม (Cumulative Impact Assessment) อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ กลายเป็นปัญหาใหม่ที่ยังไม่มีคำตอบในการป้องกันและแก้ไข สะท้อนว่าประชาชนในพื้นที่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยมิได้ให้ความสำคัญ” กลุ่มผู้ฟ้องชี้แจง
“สารพิษที่ถูกน้ำพัดพามาจะถูกกักและตกตะกอนในอ่างน้ำหลังการก่อสร้างเขื่อนปากแบง ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ อันมีนัยสำคัญต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนและสิทธิของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยตรง”
กลุ่มผู้ฟ้องเน้นย้ำข้อห่วงกังวลของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนจังหวัดเชียงราย ว่าการสร้างเขื่อนปากแบงจะทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำโขงตั้งแต่ช่วงที่ไหลผ่านเมืองปากแบง แขวงอุดมไซ สปป.ลาว ขึ้นมาถึงบริเวณแก่งผาได อำเภอเวียงแก่น รวมถึงอำเภอเชียงของและเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร ยกระดับขึ้นและกลายเป็นอ่างกักตะกอนพิษ
แม้เขื่อนปากแบงจะถูกระบุว่าเป็นเขื่อนแบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) ไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหมือนเขื่อนเก็บน้ำทั่วไป แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขง โดยทำให้เกิดปัญหา “น้ำเท้อ” หรือ “น้ำเอ่อล้น” ท่วมเกาะแก่งต่าง ๆ ระบบนิเวศในแม่น้ำโขงและลุ่มน้ำสาขา และน่าจะกระทบต่อการปักปันเขตแดนไทย–ลาว
“คาดว่าจะทำให้เกิดน้ำเท้อมาถึงชายแดนไทยด้านอำเภอเวียงแก่น และอำเภอเชียงของ และจะท่วมชายหาดในฤดูแล้งของชุมชนฝั่งไทยหลายแห่ง” กลุ่มผู้ฟ้องระบุ
ความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำเท้อตลอดทั้งปีเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องทั้งสี่ในฐานะหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ขณะที่การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก สาย รวก โขง จากแหล่งมลพิษคือเหมืองแร่ในประเทศเมียนมามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ย้อนกลับไปวันที่ 21 กันยายน 2566 เว็บไซด์หนังสือข่าวหุ้นธุรกิจ เคยนำเสนอความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง ผ่านหัวข้อข่าว “GULF ปิดจ๊อบเซ็นสัญญาขายไฟ “ปากแบง” รุกเขื่อนแม่โขงแสนล้าน ซีโอดีไม่เกินปี 76” เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า โครงการ Pak Beng เป็นโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลและสภาแห่งชาติ สปป.ลาว ซึ่งได้ลงนามสัญญาสัมปทาน (Concession Agreement) กับรัฐบาลสปป.ลาว ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป.ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (MOU) เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) โดยภายใต้ MOU ประเทศไทยจะซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใน สปป.ลาว และเชื่อมโยงผ่านระบบส่งไฟฟ้าระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีกรอบปริมาณความร่วมมือในการซื้อขายไฟฟ้าจานวน 10,500 เมกะวัตต์ มีโครงการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 5,935 เมกะวัตต์ จำนวน 11 โครงการ โครงการที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 3,060 เมกะวัตต์ จำนวน 3 โครงการ
ความร่วมมือภายใต้ MOU ดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดที่จะเข้ามาในระบบ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุรวมกว่าหมื่นเมกะวัตต์ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และยังตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง ปนเปื้อนสารโลหะหนัก ภาคประชาชน นักวิชาการได้ออกมาร้องศาลปกครอง ฟ้องนายกรัฐมนตรี-ครม.-กพช.-กฟผ. ยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้า
กลุ่มผู้ฟ้องระบุด้วยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ ผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Harm) จากโครงการเขื่อนปากแบง และมิได้ดำเนินการทบทวนมติหรือสัญญาเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหาย ย่อมเป็นการละเมิดพันธกรณีของรัฐตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการกระทำที่ ขัดต่อหน้าที่คุ้มครองของรัฐ (State Duty to Protect) ตามกรอบกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้แล้ว ทั้งในระดับนโยบายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ไม่ได้ดำเนินใดๆ ตามกฎหมายเกี่ยวกับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จะไม่ใช่เจ้าของโครงการดังกล่าวก็ตาม แต่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและสาธารณะประโยชน์ และปกป้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและประชาชนชาวไทย ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าถือว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อหลักการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ทั้งตามกฎหมายในประเทศและต่างประเทศที่รัฐไทยต้องผูกพัน อันเป็นการส่งผลกระทบโดยตรงอย่างร้ายแรงต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้ฟ้องคดีจึงขอศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษา ดังนี้
1. ให้ กฟผ. ในฐานะผู้ทำสัญญา และ คพช. ในฐานะผู้อนุมัติให้ทำสัญญา ยกเลิก/เพิกถอนสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนปากแบง
2. ให้เพิกถอนมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เพื่อยกเลิกโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนปากแบง
3. ยกเลิกการจัดการรับฟังความคิดเห็นจัดประชุมชี้แจงข้อมูลโครงการและรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง เมื่อเดือนมิถุนายน 2568
4 .ให้ออกมาตรการในการกำกับภาคเอกชนในการทำโครงการที่มีผลกระทบต่อประชาชนและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนโดยเร่งด่วน
5. ขอให้มีคำพิพากษาให้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมาย ที่จะเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชุมชน ประชาชน ในผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการบนแม่น้ำโขง ให้หน่วยงานรัฐดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูเยียวยาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ที่แม่น้ำโขงพรมแดนไทยลาว อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ให้กลับคืนสภาพที่ปราศจากมลพิษ และดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินในอนาคต โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินการดังกล่าวต้องถูกต้องตามหลักวิชาการ
อ้างอิง
https://greennews.agency/?p=31003
https://www.the101.world/pak-beng-luang-prabang-documentary/
https://www.kaohoon.com/news/628871
https://transbordernews.in.th/home/?p=43069

