ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ทุ่นผูกเรือหมายเลข 2 หรือ SBM-2 ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมันสู่ท้องทะเลอ่าวไทย ซ้ำรอยเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เคยเกิดขึ้นที่จุดเดียวกันเมื่อราวสองปีก่อน
ทุ่นผูกเรือกลางทะเล SBM-2 ตั้งอยู่นอกชายฝั่งศรีราชา จังหวัดชลบุรี ค่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากท่าเรือโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ประมาณ 16 กิโลเมตร ห่างจากเกาะสีชังประมาณ 9 กิโลเมตร
เมื่อราวสองปีก่อน กลางดึกวันที่ 3 กันยายน 2566 เคยมีน้ำมันดิบรั่วไหลสู่อ่าวไทยประมาณ 60,000 ลิตร ส่วนครั้งนี้ทางบริษัทแจ้งว่ามีน้ำมันดิบรั่วออกมาประมาณ 8,000 ลิตร ขณะเรือบรรทุกน้ำมันกำลังจอดขนถ่ายน้ำมันอยู่ที่ทุ่นเป็นวันที่สาม

“ขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 23.54 น. ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากเกิดเหตุสุดวิสัยจากคลื่นสูงและลมกระโชกแรงกะทันหัน…”
Press release ฉบับที่ 1 แจ้งเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
จากข้อมูลของกรมเจ้าท่า ตั้งแต่ปี 2517 ถึงต้นปี 2567 ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลแล้วกว่า 200 ครั้ง บ่งบอกถึงกลไกป้องกันอันอ่อนแอ และระบบความรับผิดชอบที่ไร้ประสิทธิภาพ
การรั่วไหลของน้ำมันดิบ (oil spill) กลางท้องทะเลมีทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ในบางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะมีการรายงานก็ต่อเมื่อปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลมากกว่า 4,000 ลิตร
ในท้องทะเลอ่าวไทย เฉพาะเหตุการณ์ที่รับรู้กันเป็นวงกว้าง เช่น ปี 2556 น้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รั่วไหลประมาณ 50,000 ลิตร กระจายตัวเหนือผิวน้ำประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร ก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม-หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง มีอ่าวพร้าวได้รับผลกระทบมากที่สุด ตลอดแนวหาด 300 เมตร ถูกปกคลุมด้วยคราบน้ำมันดิบสีดำ
ปี 2565 น้ำมันดิบของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) รั่วไหลประมาณ 20,000–50,000 ลิตร แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามควบคุมคราบน้ำมันให้อยู่ในวงจำกัด แต่ก็ถูกคลื่นซัดขึ้นหาดแม่รำพึง
ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลในแต่ละครั้งมักถูกตั้งคำถามว่าเป็นตัวเลขแท้จริงหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากคำชี้แจงของทางบริษัท ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิวน้ำเป็นข้อมูลหรือหลักฐานรูปธรรมเพียงอย่างเดียวที่เปิดโอกาสให้คนภายนอกได้คำนวณหาสมมุติฐานเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหล
การรั่วไหลของน้ำมันดิบซ้ำรอยเก่าอ่าวไทย สะท้อนจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัย ความเข้มงวดกวดขัน รวมถึงการกำกับดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เปราะบางทางนิเวศวิทยา และสำคัญสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง ซึ่งต้องพึ่งพาฐานทรัพยากรจากท้องทะเล


การจัดการน้ำมันรั่วในทะเลมีหลายขั้นตอนและวิธีการ เช่น ใช้ทุ่นลอยหรือบูมล้อมคราบน้ำมัน แยกและนำน้ำมันขึ้นจากทะเลโดยสกิมเมอร์ รวมถึงฉีดพ่นสารเคมีสลายคราบน้ำมัน ภาพเหตุการณ์น้ำมันรั่วกลางอ่าวไทยปี 2568 (ภาพ : กรมควบคุมมลพิษ)
หลังน้ำมันดิบรั่วเป็นครั้งที่สองในรอบสองปี ภาคประชาสังคมนำโดย กรีนพีซ ประเทศไทย กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ได้ออกมาเรียกร้องและยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบและผลักดันการปฏิรูประบบป้องกันน้ำมันรั่วไหล
ดร.สมนึก จงมีวศิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch) ระบุว่าการเกิดน้ำมันดิบรั่วซ้ำในจุดเดิมเป็นครั้งที่สอง เป็นสัญญาณอันตรายที่เราไม่ควรมองข้าม และยิ่งน่ากังวลเมื่อพบว่ามีการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมัน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้ขจัดน้ำมันให้หมดไป แต่เพียงเปลี่ยนสถานะของมันให้กลายเป็นละอองเล็ก ๆ จมลงสู่พื้นทะเล
น้ำมันดิบเป็นเชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์ (fossil fuel) เกิดจากการเปลี่ยนสภาพซากสิ่งมีชีวิตผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี จัดเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่สามารถทดแทนได้ เนื่องจากใช้เวลายาวนานในการเกิด เมื่อน้ำมันดิบถูกขุดเจาะขึ้นมาจากใต้พิภพจะถูกส่งไปเข้าเตาเผาในโรงกลั่นด้วยวิธีขนส่งทางเรือ ทางบก หรือทางท่อ
การรั่วไหลของน้ำมันดิบมีทั้งที่เกิดขึ้นจากการรั่วซึมตามธรรมชาติ รั่วไหลระหว่างสำรวจ ขุดเจาะ ใช้งาน หรือแม้แต่รั่วไหลจากซากเรืออับปาง
อย่างไรก็ตามสาเหตุสำคัญคือการขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งทางเรือ ซึ่งถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมักเกิดการรั่วไหลปริมาณมาก ๆ ในครั้งเดียว
การจัดการน้ำมันรั่วไหลมีหลายขั้นตอนและวิธี เช่น จำกัดการแพร่กระจายและรวบรวมน้ำมันโดยใช้ทุ่นลอยกั้นน้ำมันหรือบูม (boom) การแยกและนำกลับโดยใช้สกิมเมอร์ (skimmer) เครื่องมือที่สามารถแยกน้ำมันบนผิวน้ำออกได้ การเผาทำลายน้ำมันในพื้นที่ปนเปื้อน (In-situburning) มักใช้ร่วมกับการกักน้ำมัน ช่วยให้น้ำมันรวมตัวกันจนมีความเข้มข้นมากพอจุดไฟติดอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้น้ำมันกระจายตัวไปปนเปื้อนชายฝั่งหรือสิ่งมีชีวิต แต่ก็ทำให้เกิดมลพิษทั้งอากาศและแหล่งน้ำ
อีกทางเลือกหนึ่งที่มักจะถูกนำมาใช้รับมือสถานการณ์ คือ การใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมัน หรือ สารกระจายคราบน้ำมัน (dispersant)
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันของประเทศไทยกำหนดความเข้มข้นของน้ำมันหรือค่ามาตรฐานในรูปของน้ำมันสำหรับคุณภาพน้ำทะเลว่า จะต้องไม่สามารถสังเกตเห็นน้ำมันหรือไขมันลอยอยู่บนผิวน้ำ การใช้น้ำยาหรือสารเคมีสลายคราบน้ำมันเพื่อให้คราบหายไปเร็วที่สุดจึงมักจะถูกนำมาใช้อยู่เสมอ ยกตัวอย่างน้ำมันรั่วปี 2556 มีน้ำมันรั่วออกมาประมาณ 50,000 ลิตร มีการใช้น้ำยาสลายคราบน้ำมันมากถึง 35,000 ลิตร
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลระบุว่ามีการใช้สารกระจายคราบน้ำมัน 2 ชนิด ได้แก่ Slickgone NS จำนวน 30,612 ลิตร และ Super-dispersant 25 จำนวน 6,930 ลิตร รวมเป็น 37,542 ลิตร ขณะที่ตัวเลขการเบิกจ่ายสารเคมีเท่าที่ปรากฏในแถลงการณ์ของ PTTGC คือส่วนแรกจำนวน 35,000 ลิตรในวันเกิดเหตุ และส่วนที่สองจำนวน 12,000 ลิตร มาพร้อมกับเครื่องบิน C-130 ของ Oil Spill Response Limited (OSRL) องค์กรระดับสากลที่คอยระงับเหตุน้ำมันรั่ว
สารเคมีสลายคราบน้ำมัน (dispersant) มีคุณสมบัติทำให้ชั้นน้ำมันบริเวณผิวน้ำกระจายตัวเป็นหยดเล็ก ทำให้น้ำมันถูกเจือจางในทะเลได้เร็วขึ้น รวมถึงถูกย่อยสลายทางชีวภาพ (biodegradation) ได้ง่ายขึ้น มักประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิวทำให้หยดน้ำมันที่กระจายตัวแล้วมีเสถียรภาพ ไม่กลับมารวมตัวกันเป็นชั้นน้ำมันอีก อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันต้องพิจารณาถึงความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้

ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ในเวทีสาธารณะ คำถามที่ ปตท.ต้องตอบ ก่อนที่ความจริงจะหายไปพร้อมกับคราบน้ำมัน ณ ศูนย์ศึกษาวิภาวดี มหาวิทยาลัยรังสิต ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ระบุว่าระดับความลึกที่เหมาะสมต่อการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมัน ต้องมีความลึกของน้ำทะเลมากกว่า 10 เมตร และห่างจากชายฝั่งอย่างน้อย 3 ไมล์ (หรือประมาณ 4.82 กิโลเมตร) แต่ภาพที่ปรากฏมีการใช้สารดังกล่าวใกล้ชายฝั่ง และน้ำลึกต่ำกว่า 10 เมตร
นอกจากนี้ ตามหลักสากลที่ระบุในคู่มือการใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันยังกำหนดว่า แม้แต่ในระดับความลึกที่มากกว่า 10 เมตร แต่น้อยกว่า 20 เมตร ก็จำเป็นต้องพิจารณาถึงความสุ่มเสี่ยงของผลกระทบ
โดยทั่วไปแล้วการฉีดพ่นสารเคมีสลายคราบน้ำมันควรใช้เมื่อการรั่วไหลอยู่นอกเหนือการควบคุมจริง ๆ และจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องระดับความลึกของน้ำ น้ำทะเลบริเวณที่โปรยหรือฉีดพ่นสารเคมีต้องมีความลึกเพียงพอให้สารเคมีเจือจางและไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศมาก
ในงานเสวนาดังกล่าวมีการตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่บริษัทได้ทำไปนั้นคือการระดมฉีดสารเคมีตั้งแต่ต้น ฉีดให้มากที่สุดเพื่อยับยั้งและสกัดคราบน้ำมันให้เร็วที่สุด โดยให้เหตุผลว่าคลื่นลมทะเลขณะนั้นค่อนข้างรุนแรง มีคลื่นสูง”
หนังสือ บันทึกข้อมูล ข้อถกเถียง กรณีน้ำมันดิบรั่วไหลสู่อ่าวไทย พ.ศ.2566 จัดพิมพ์โดยมูลนิธิบูรณนิเวศ เขียนโดยกานต์ ทัศนภักดิ์ และวิภาวดี พันธุ์ยางน้อย ตั้งข้อสังเกตว่า ตามหลักสากลแล้วอัตราส่วนการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันที่มีความเหมาะสมคือ 1 ต่อ 10 หรือ สารเคมี 1 ส่วนต่อน้ำมัน 10 ส่วน กรณีนี้มีน้ำมันรั่วไหลประมาณ 50,000 ลิตร ก็ควรต้องใช้สารเคมีประมาณ 5,000 ลิตร แต่กลับมีการเบิกจ่ายน้ำมันออกมาถึง 37,542 ลิตร เท่ากับอัตราส่วน 1 ต่อ 1.33 เกือบจะเท่ากับสารเคมี 1 ส่วนต่อน้ำมัน 1 ส่วน
ทางด้าน PTTGC ชี้แจงว่าเป็นเพราะคลื่นลมแรง ประกอบกับน้ำมันดิบมีความหนืดสูง ทำให้ประสิทธิภาพของสารเคมีลดลง จำเป็นต้องใช้ปริมาณมาก พร้อมทั้งยืนยันว่าสารเคมีและปริมาณที่ใช้ไม่เป็นอันตราย
คำอธิบายข้างต้นทำให้ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่าเหตุใดข้อมูลดังกล่าวจึงขัดแย้งกับงานวิจัย ที่ศึกษาปะการังประมาณ 10,000 ตัวอย่าง พบว่าตายทั้งหมดเมื่อใช้สารเคมีตามอัตราส่วน 1 ต่อ 10 แม้เมื่อใช้น้อยลงกว่าอัตราที่กำหนด 25 เปอร์เซ็นต์ ปะการังก็ยังเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และมีตัวอ่อนปะการังตาย นอกจากนั้นยังพบว่าลำพังน้ำมันดิบที่ไม่ได้ผสมกับสารเคมี ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตัวอ่อนของสัตว์ทะเลมากเท่ากับสารเคมี


หลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่ว 8,000 ลิตรในอ่าวไทย หนึ่งในข้อเรียกรองของภาคประชาสังคมคือขอให้ตรวจสอบปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมาจริง ๆ รวมทั้งปริมาณสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน
แม้กรมควบคุมมลพิษจะระบุว่ามีการขออนุญาตใช้สารสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน ชนิด Dasic Slickgone NS หรือ Super Dispersant 25 จำนวน 800 ลิตร สอดรับปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหล 8,000 ลิตร แต่จากการติดตามภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ร่วมกันเก็บกู้น้ำมัน คาดว่าอาจมีการใช้ dispersant มากกว่า 800 ลิตร ดร.สมนึก จงมีวศิน ยังตั้งข้อสังเกตว่าต้องนับรวมสาร dispersant ที่ขอยืมมาจากหน่วยงานอื่นๆ อาทิ ท่าเรือแหลมฉบังด้วย
“องค์กรภาคประชาสังคม ต้องการให้ กมธ. ตรวจสอบการแก้ไขปัญหาน้ำมันดิบรั่วไหลที่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม กระทบฐานทรัพยากรทางทะเล อาชีพประมง อาชีพที่เกี่ยวข้อง และการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอศรีราชา อำเภอเกาะสีชัง อำเภอบางละมุง และอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะการทิ้งสาร dispersant เป็นจำนวนมาก
“ในสายตาประชาชนพบเห็นว่ามีการระดมโปรย dispersant ลงสู่ท้องทะเลที่มีคราบน้ำมันดิบ ทั้งที่อยู่ในบริเวณที่บูมสามารถดักไว้ได้ และที่หลุดออกจากบูมลอยไปทางทิศใต้ของเกาะสีชัง มีการใช้ dispersant เป็นปริมาณมากผิดปกติ ทั้งจากการฉีดพ่นจากเรือปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันหลายลำ และพ่นลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ บินพ่นเป็นเวลานาน และเป็นวงกว้างจนมีน้ำยาจำนวนมากปกคลุมทะเล” นักวิชาการที่มีประสบการณ์ด้านการประเมินความเสี่ยงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรตั้งข้อสังเกต
การใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันฉีดพ่นลงไปช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำมันที่ลอยอยู่ในทะเล เมื่อน้ำมันรวมกับสารเคมีจะกระจายตัวกลายเป็นหยดหรือละอองน้ำมัน (oil droplet) จมลงสู่ใต้ทะเล ถ้าหากทะเลมีความลึกมากพอประกอบกับคลื่นลมเหมาะสม แบคทีเรียจะย่อยสลายละอองน้ำมันได้หมด ไม่กระทบกับสัตว์และพืชทะเลมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันใกล้ฝั่งและระดับน้ำทะเลไม่ลึกมากเพียงพอ ก็จะเกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต่อระบบนิเวศในทะเล เนื่องจากคราบน้ำมันไม่ได้ถูกกำจัดให้หายไปจริง แต่จับตัวกลายเป็นก้อนของน้ำมันเหลว (sedimentation) จมลงใต้ทะเล ปกคลุมหญ้าทะเล ปะการัง หรือสัตว์ทะเล ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์หรือนานกว่านั้นจะถูกพัดเข้าฝั่ง กลายเป็นก้อนน้ำมันเหนียวที่เรียกกันว่า ทาร์บอล (tar ball) ทำให้ชายหาดสกปรก หากสัตว์น้ำกินเข้าไปก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิต และเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายโดยเฉพาะสัตว์น้ำวัยอ่อน แพลงก์ตอนสัตว์ เนื่องจากสารโลหะหนัก สารกำมะถัน และสารก่อมะเร็ง (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs) ที่ยังอยู่ในละอองน้ำมัน คือ สารอันตรายที่จะกระทบต่อห่วงโซ่อาหารมาสู่มนุษย์

“หากใช้สารเคมีบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตร การใช้สารสลายคราบน้ำมันอาจยิ่งซ้ำเติมปัญหา เพราะคราบน้ำมันที่จมลงจะกลายเป็นตะกอนน้ำมัน (sedimentation) สะสมในระบบนิเวศพื้นทะเล ปกคลุมแนวหญ้าทะเล ปะการัง และสิ่งมีชีวิตก้นทะเล อีกทั้งยังอาจพัดกลับขึ้นฝั่งในรูปของก้อนน้ำมันเหนียว (tar ball) ซึ่งส่งผลต่อชายหาด แหล่งท่องเที่ยว และสุขภาพของชุมชนชายฝั่งโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นคราบน้ำมันที่ตกค้างยังอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร หากสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือแพลงก์ตอนเผลอกินเข้าไป ก็อาจสะสมสารพิษต่าง ๆ เช่น โลหะหนัก สารกำมะถัน และสารก่อมะเร็งกลุ่ม ไว้ในร่างกาย ย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อมนุษย์ การใช้สารเคมีในทะเลจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็น ‘การจัดการ’ แต่ควรถูกตั้งคำถามว่าเป็นการ ‘ซ้ำเติม” ระบบนิเวศหรือไม่” คำอธิบายของ ดร.สมนึก จงมีวศิน
เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลแต่ละครั้งเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ท้องทะเล สัตว์น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ ชาวประมงพื้นบ้าน ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง ต้องแบกรับผลกระทบเรื้อรังที่จะตามมา การแก้ไขปัญหาน้ำมันดิบต้องไม่ใช่แค่การลบคราบน้ำมันให้หมดไปจากสายตา สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ให้ข้อเสนอแนะหลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบไหลนองท้องทะเลอ่าวไทยบริเวณทุ่นผูกเรือ SBM-2 เป็นครั้งที่สองในช่วงระยะไม่ถึงสองปีว่า “การจัดการปัญหาน้ำมันรั่ว ไม่ใช่แค่จัดการให้คราบน้ำมันหายไปจากสายตา แต่ต้องมองลึกลงไปถึงการจัดการระบบเพื่อป้องกันเหตุซ้ำและรับมือผลกระทบที่จะตามมาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย”