
เมื่อปีพุทธศักราช 2486 มีเด็กชายผู้หนึ่งออกเดินทางจากบ้านเกิดแสนไกลไปยังดินแดนที่เขาไม่รู้จัก เด็กชายในอาภรณ์สีเขียวสด ผมสีทองโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เขาไม่ได้มองปลายทางเป็นชื่อเสียงหรือเงินตรา หากแต่เป็นการค้นหานิยามของความรักและความหมายของการมีชีวิตอยู่ การเดินทางครั้งนั้นนำพาเขามายังโลกมนุษย์ และพบกับนักบินนามว่า “อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี” ผู้มอบชื่อให้กับเด็กชายผู้นั้นว่า “เจ้าชายน้อย”
การผจญภัยและบทสนทนาระหว่าง อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี และเจ้าชายน้อย ได้กลายเป็นวรรณกรรมที่ครองใจผู้คนทั่วโลก ยืนยันได้จากยอดขายทั่วโลกกว่า 200 ล้านเล่ม และได้รับการแปลมากกว่า 600 ภาษา
ปีนี้เจ้าชายน้อยเดินทางมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ในงาน Sarakadee X MunMun Artspace #3 “8 ทศวรรษเจ้าชายน้อย : รอยยิ้ม เวลา น้ำตา ดวงดาว” ณ ชั้น 1 มันมัน ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 22-31 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่แน่ใจนักว่าเป้าหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คืออะไร แต่ที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นความรักความคิดถึงของผู้คนนับพันที่เข้ามาเยี่ยมเยือนมิตรสหายตัวน้อยไม่ขาดสาย
“สิ่งสำคัญมิอาจมองเห็นได้ด้วยดวงตา”
แม้จะเป็นสิ่งที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกบอกกับเจ้าชายน้อยไว้ แต่ประโยคอมตะนี้กลับเดินทางไปไกลกว่านั้น เพราะนอกจากจะเป็นประโยคที่สลักอยู่ในหัวใจของใครหลายคนแล้วยังกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการ “จำลองจักรวาลของเจ้าชายน้อย” ขึ้นมาจริงๆ ดวงดาวที่เคยเป็นเพียงฉากบนตัวหนังสือ กลับกว้างขวางมากพอให้เราสามารถเดินเข้าชม และเจ้าชายน้อยที่เคยโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษก็มาปรากฏให้เราได้ยลโฉมกันตัวเป็นๆ
โซนจักรวาลจำลองเป็นห้องขนาดราว 23 ตารางเมตร มีแสงไฟเพียงเล็กน้อยที่สะท้อนจากดาว B612 บ้านเกิดของเจ้าชายน้อย และเป็นแหล่งของแสงที่เผยให้เห็นผนังห้องที่ประดับประดาด้วยตัวละครและข้อมูลจากดวงดาวที่เจ้าชายน้อยได้ไปผจญภัยมา ไม่ว่าจะเป็นดาวพระราชา ดาวคนหลงตนเอง ดาวนักดื่มขี้เมา ดาวนักธุรกิจ ดาวคนจุดโคม ดาวนักภูมิศาสตร์ รวมถึงดาวโลกที่เป็นจุดสิ้นสุดการเดินทาง
หากเราสำรวจจนครบทุกดวงดาวและเดินทางมาถึงมุมห้องอีกฝั่งหนึ่ง จะพบกับเสียงเพรียกของดวงดาวอื่นๆ ที่เจ้าชายน้อยอาจยังไม่เคยไปสำรวจ เสียงนั้นอยู่ในหูฟังสีขาวที่ตั้งวางบนแท่นไม้สูงระดับเอว เมื่อหยิลมาฟังเราจะได้ยินเสียงพูดประโยคอมตะที่ผู้เขียนบอกไว้ข้างต้น ผ่านภาษาดัตช์ สเปน ฮินดู เกาหลี ญี่ปุ่น และอื่นๆ อีกมากมาย คล้ายเป็นการยืนยันว่าวรรณกรรมเยาวชนชิ้นนี้ทลายทุกข้อจำกัดทางภาษาและเขตแดน
แต่การผ่านโซนจักรวาลจำลองเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เดินต่อไปตามทางไม่กี่อึดใจเราจะพบกับทางแยกสำคัญ หากไปทางซ้ายเราจะพบกับเส้นทางแห่งการสูญเสีย…หากแต่ไม่ใช่การสูญเสียตัวตน จิตวิญญาณ แต่เป็นการสูญเสียเงินในกระเป๋า เพราะเส้นทางนั้นเป็นจักรวาลของ ART MARKET และ The Little Prince Workshop ตลาดศิลปินและชุมชนของคนรักเจ้าชายน้อย ที่ขนสินค้าและงานศิลปะมากมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมเรื่องเจ้าชายน้อย ซึ่งหากเราจ่ายเพลินละก็…รับรองว่ามีล้มละลาย
ทว่าหากเราไปทางขวาจะได้พบกับเส้นทางแห่งการเรียนรู้ที่อัดแน่นและข้นคลั่กไปด้วยเกร็ด (ไม่) เล็กจากวรรณกรรมเจ้าชายน้อย นำโดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ที่พาเราไปคลายข้อสงสัยบางประการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปกับเจ้าชายน้อย เช่น ต้นเบาบับทำลายดาวได้จริงหรือ? เจ้าสุนัขจิ้งจอกทรงปัญญามีจริงหรือไม่? หรือทำไมต้นไม้บางชนิดต้องมีหนาม? แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในชีวิต แต่อย่าลืมว่าเจ้าชายน้อยของเราไม่เคยปล่อยผ่านเรื่องเล็กๆ พวกนี้เลย!
สำหรับผู้เขียนแล้ว วรรณกรรมหนึ่งชิ้นที่ถูกตีความในหลากหลายรูปแบบ และใช้เครื่องมืออื่นๆ นอกจากหนังสือ ทั้งงานวรรณกรรมกับงานวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมที่ถูกแปลไปในหลายภาษาสากลและภาษาท้องถิ่น วรรณกรรมกับงานวิทยาศาสตร์ รวมถึงงานศิลปะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นงานปั้น งานเย็บ งานถัก งานวาด งานพิมพ์สามมิติ และละครเวที คือหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ว่า “งานดีๆ หนึ่งชิ้นก็เปลี่ยนโลกได้” และจะไม่มีวันตายจากไปไหน (Timeless)
แนวคิดคล้ายกันนี้ถูกสะท้อนผ่านวงเสวนาที่จัดขึ้นภายในงาน ตัวอย่างแรกคืองานวรรณกรรมและงานวิทยาศาสตร์ อย่างที่ทราบกันว่า “ข้อเท็จจริง” และ “อารมณ์” มักไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่อ่านเจ้าชายน้อย การใช้งานอารมณ์ศิลป์พร้อมกับข้อมูลเชิงวิชาการก็เป็นแนวทางในการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เช่น ผศ.ดร.ภญ.เบญญากาญจน์ พงศ์กิจวิทูร อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ใช้ดอกไม้ใบหญ้าที่เรามักมองข้ามในการสร้างตัวละครจากวรรณกรรมเจ้าชายน้อย ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังสร้างการเรียนรู้ในระยะสั้นและทัศนคติด้านการอนุรักษ์ในระยะยาวได้ หรือ ดร.สุชาดา คำหา นักวิชาการจาก อพวช. ที่ใช้กิจกรรม “The Rose Language” ใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของดอกกุหลาบ เป็นสื่อกลางความรู้ความเข้าใจที่มีต่อระบบนิเวศที่หลากหลาย และเฝ้าระวังอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงบนระบบนิเวศ
“วรรณกรรมเจ้าชายน้อยสะท้อนให้เห็นโลกที่ผู้เขียนอยู่ เขาหยิบตัวละครที่เขาประทับใจมาไว้ในระบบนิเวศนี้ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟที่สงบและปะทุอยู่ ต้นเบาบับที่เป็นเอเลียนสปีชีส์ หรือดอกกุหลาบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าโลกนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเราต้องเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย” ดร.สุชาดาบอก
ถัดมาคือตัวอย่างที่ 2 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนคิดว่าวรรณกรรมสามารถทลายเส้นแบ่งทางวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง คืองานวรรณกรรมกับการขับเคลื่อนระดับชุมชน แน่นอนว่าชุมชนที่ว่านี้คือชุมชนท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอัตลักษณ์ที่น่าสนใจ ทว่ายังขาดสื่อกลางในการนำเสนอสิ่งเหล่านี้สู่สาธารณะ แต่ก็ยังมีชุมชนในระดับกลุ่มคน (Community) อย่างเช่น ร้านหนังสือ A BOOK with NO NAME ที่อาศัยความรักที่มีต่อหนังสือและการอ่านขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า แม้จะเป็นแค่เรื่องการอ่านก็ตามที
หรือหากพูดถึงการขับเคลื่อนในระดับชุมชน มานัส ตู้แก้ว หรือครูมะลิ ครูประถมฯ จากโรงเรียนเล็กๆ ในจังหวัดจันทบุรี รัสรินทร์ กิจชัยสวัสดิ์ เจ้าของร้านหนังสือสุนทรภู่จากจังหวัดระยอง ผู้ริเริ่มเตรียมจัดทำเจ้าชายน้อยฉบับกลอนแปด และ รศ.สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ บรรณาธิการจัดพิมพ์หนังสือฃุนน้อย (เจ้าชายน้อย) ฉบับภาษาถิ่นสุโขทัย อักษรลายสือไท ทั้งสามพยายามขับเคลื่อนชุมชนด้วยการอ่าน โดยหนึ่งในแนวทางของทั้งสามคือ “การทำหนังสือเจ้าชายน้อยฉบับท้องถิ่น” เพราะเชื่อว่าการที่เด็กได้อ่านวรรณกรรมดีๆ สักเล่มจะนำไปสู่วัฒนธรรมการอ่านที่มีประสิทธิภาพ และอาจเป็นประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของท้องถิ่นด้วย
“สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการสำคัญที่ทำให้คนรู้จักท้องถิ่นมากขึ้น เป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมหรือระหว่างกัน
นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ของเจ้าชายน้อย แต่หมายถึงคนอื่นๆ ด้วย” รศ.สุดแดนบอก
ผู้เขียนเชื่อว่ากว่า 8 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงเจ้าชายน้อยเท่านั้นที่เติบโตขึ้น แต่ผู้คนที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเจ้าชายน้อยในครั้งนี้ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็คงเห็นความเป็นไปได้มากมายที่แซ็งแต็กซูว์เปรีก็คงไม่เชื่อว่าวรรณกรรมของเขาจะทำได้ แต่ถ้าเจ้าชายน้อยทำได้ ก็คงไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก ผู้เขียนหวังว่าทุกคนรวมถึงตัวผู้เขียนเอง จะกล้าก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ไม่รู้จัก และนำพาความเป็นไปได้ใหม่ๆ คำถามแสนเรียบง่าย กระทั่งความเป็นเด็กที่หล่นหายกลับคืนสู่โลกใบนี้สักวันหนึ่ง แม้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าชายก็ยังดี




นิตยสารสารคดีขอขอบคุณ มันมัน ศรีนครินทร์ สำหรับสถานที่และการรังสรรค์บรรยากาศของวรรณกรรมราวกับได้ร่วมเดินทางไปกับเจ้าชายน้อย รวมถึงโซน ART MARKET และจุดถ่ายรูปเช็กอินที่ทำให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถเก็บภาพความทรงจำแสนประทับใจ
ขอขอบคุณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำหรับการร่วมออกแบบองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็น Beyond the Naked Eye ที่พาผู้เข้าร่วมงานไป “มองสิ่งต่างๆ ด้วยหัวใจ” ผ่านแนวคิดเบื้องหลังตัวละครและองค์ประกอบในวรรณกรรม และ The Rose Language ที่พาผู้เข้าร่วมงานไปฟัง “ภาษากุหลาบ” ที่นอกจากกลิ่น ใบ หรือสีแล้ว ยังมีข้อความจากธรรมชาติในวันที่โลกเดินทางไปบนสายธารของการพัฒนา
ขอขอบคุณ วิทยากรและศิลปินทุกท่าน สำหรับความรักที่มีต่อเจ้าชายน้อยในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมได้มาสัมผัสสิ่งต่างๆด้วยหัวใจไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณผู้เข้าร่วมงานทุกท่านที่มาร่วมเดินทางและสัมผัสรอยยิ้ม เวลา น้ำตา และดวงดาว ไปกับเจ้าชายน้อย และ Sarakadee X MunMun Artspace











































































Organized by
- นิตยสารสารคดี
- มันมัน ศรีนครินทร์