มหาทักษา 54 -  พระพุทธรูปประจำวันพุธกลางคืน ปางป่าเลไลยก์

พระพุทธรูปปางนี้ถือเป็นพระบูชาสำหรับผู้ที่พระราหูเสวยอายุ และพระราหูเข้าแทรก ต่อมากลายเป็นพระพุทธรูปประจำวัน ของผู้เกิดวันพุธช่วงกลางคืน คือนับแต่วันพุธช่วงย่ำค่ำ (๑๘ นาฬิกา) ไปจนถึงย่ำรุ่ง (๖ นาฬิกา) เช้าวันพฤหัสบดี

พระปางป่าเลไลยก์ มักสร้างกันเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทบนก้อนศิลา พระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่เหนือพระชานุ (เข่า) เบื้องขวา เป็นกิริยาทรงรับ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายคว่ำอยู่เหนือพระชานุเบื้องซ้าย ทางเบื้องหน้าด้านซ้ายและขวา มีประติมากรรมรูปช้างและลิง

ช้างเชือกนี้มีนามว่า “ปาลิไลยก์” หรือ “ปาลิไลยกะ” ทำท่าหมอบ ชูงวงที่ยึดคนโท คือหม้อใส่น้ำมีคอยาว (บางครั้งทำเป็นกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำก็มี) มีความหมายถึงการถวายน้ำปรนนิบัติพระพุทธองค์ ส่วนลิงที่อยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ปรากฏนาม นั่งคุกเข่าถือกิ่งไม้ที่มีรวงผึ้ง เตรียมถวายแด่พระพุทธองค์

พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์สร้างขึ้นตามพุทธประวัติว่า ครั้งหนึ่งขณะเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี พระภิกษุไม่สามัคคีปรองดอง ต่างทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง พระพุทธองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ไม่เป็นผล จึงทรงหลีกลี้ไปประทับยังป่าไพรรักขิตวันเพียงลำพัง ระหว่างนั้นได้อาศัยพระยาช้างปาลิไลยก์เป็นอุปัฏฐาก คอยปัดกวาดบริเวณที่ประทับ ตักน้ำใช้น้ำฉันและคอยหาผลไม้มาถวาย พระยาวานรเห็นช้างปาลิไลยก์ปฏิบัติบูชาพระพุทธองค์ เกิดเลื่อมใส จึงนำรวงผึ้งอันเต็มไปด้วยน้ำผึ้งมาถวายบ้าง

ดูเหมือนว่าพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์จะเป็นพระพุทธรูปเพียงปางเดียวในบรรดา “พระปาง” ของศิลปะไทย ที่ต้องอาศัยรูปประติมากรรมสัตว์ถึงสองตัว ได้แก่รูปพระยาช้างปาลิไลยก์กับรูปพระยาลิงนิรนาม มาร่วมเป็นองค์ประกอบเสมอ

ส่วนอีกปางหนึ่งที่ต้องมีประติมากรรมรูปสัตว์มาประกอบ คือปางนาคปรก

พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์องค์ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง คือ “หลวงพ่อโต” ประดิษฐานในพระวิหาร วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีความสูงจากพระรัศมีถึงพระบาท ๒๓.๔๘ เมตร

เมื่อปี ๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ใน “บันทึกเรื่องพระปาเลไล เมืองสุพรรณบุรี” (บันทึกฉบับนี้ มีพิมพ์ซ้ำอยู่ในหนังสือประวัติวัดป่าเลไลยก์ฯ หลายเล่ม) ความว่า

“สังเกตดูลักษณะพระป่าเลไลองค์นั้น ดวงพระพักตร์เป็นแบบทวารวดี และทํานั่งห้อยพระบาทเหมือนอย่างแบบพระทวารวดีที่พระปฐมเจดีย์ จึงเกิดความสันนิษฐาน…คือ…สร้างในสมัยเมื่อนับถือแบบทวารวดี และของเดิมคงทําเป็นพระปางปฐมเทศนา คือจีบพระหัตถ์ข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างที่ตรงพระอุระ เหมือนอย่างพระประธานในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปปางป่าเลไลเช่นเรานับถือกัน ชั้นหลังมีรูปช้างและรูปลิง ของเดิมที่วัดพระปาเลไลที่เมืองสุพรรณบุรีก็ไม่มี แต่พระพุทธรูปองค์เดิมนั้นทิ้งชํารุดมาช้านานจนพระกรและพระหัตถ์หักพังหายไป ผู้ไปปฏิสังขรณ์ทีหลังไม่รู้ว่าพระหัตถ์ของเดิมเป็นอย่างไร จึงทําใหม่แปลงเป็นอย่างปางพระป่าเลไล สมัยชั้นหลัง”

ส่วนในกรุงเทพฯ พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์องค์ใหญ่ คงได้แก่ “พระพุทธปาลิไลย” พระประธานในมุขหน้าของพระวิหารทิศเหนือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ “วัดโพธิ์” หล่อขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ เมื่อคราวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอารามครั้งใหญ่ ศิลาจารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพนครั้งรัชกาลที่ ๑ ระบุว่า ได้มีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ในองค์พระพุทธปาลิไลยด้วย