ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
ประเวช ตันตราภิรมย์ : ภาพ

“เรากำลังพูดถึงคนที่พึ่งพิงธรรมชาติ อยู่กับป่าไม้หรือทะเลเพื่อดำรงชีพ หรือมีถิ่นอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น เรามีพื้นที่แบบนี้ที่คนท้องถิ่นต้องอยู่อาศัย พึ่งพิง เป็นแหล่งอาหารหรือแหล่งรายได้ไม่น้อยกว่า 23 ล้านไร่ พื้นที่ป่าไม้ หรือป่าเหล่านั้นอาจเปลี่ยนสภาพกลายเป็นพื้นที่ผลิตอาหารหรือพื้นที่การเกษตร เราเรียกรวม ๆ ว่าภูมิทัศน์ป่าไม้ ยังคงมีความสำคัญต่อระบบนิเวศป่าไม้ พื้นที่เหล่านี้ผลิตทั้งอาหาร แบ่งปันการบริโภค ทั้งน้ำและอากาศร่วมกันอยู่…”

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า หรือ รีคอฟ (RECOFTC) จัดเวทีเสวนา “ชุมชนท้องถิ่น จากกลุ่มเปราะบางท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศสู่กุญแจสําคัญสู้โลกรวน” ส่วนหนึ่งของกิจกรรม “เมื่อคนท้องถิ่น คือกุญแจสู้โลกรวน” ในช่วงสัปดาห์ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศกรุงเทพฯ (Bangkok Climate Action Week : BKKCAW) ณ อาคารพิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ

การสูญเสียพื้นที่ป่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เมื่อผืนป่าถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวรองรับการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ยังปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้สภาพอากาศและฤดูกาลยิ่งแปรปรวน

คนท้องถิ่นเป็นกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพิงและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิทัศน์ป่าไม้ต่าง ๆ ไม่ว่าป่าบก ป่าชายเลน ป่าชายหาด พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ธรรมชาติในเมือง บทบาทของคนท้องถิ่นในฐานะผู้พึ่งพิงและดูแลทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือสภาวะโลกรวน

วรางคณา รัตนรัตน์ ผู้อํานวยการรีคอฟ ระบุว่าการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนคือคำตอบของการรับมือความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน

“พื้นที่เหล่านี้ผลิตทั้งอาหาร แบ่งปันการบริโภค ทั้งน้ำและอากาศร่วมกันอยู่ แม้คนท้องถิ่นในพื้นที่ป่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด แต่พวกเขามีองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติมาหลายชั่วอายุคน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูดูแลภูมิทัศน์ป่าไม้”

สิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้คนท้องถิ่นได้รับการหนุนเสริม

“เราคาดหวังจากคนท้องถิ่นเยอะว่าจะดูแลรักษาป่า เราคาดหวังว่าป่าจะดี อีกด้านหนึ่งคือคนอยู่ในพื้นที่ได้รับการสนับสนุนค่อนข้างจำกัด นโยบายต่าง ๆ ยังเป็นการมองป่าไม้ในเชิงที่ต้องรักษา จำกัดสิทธิการดูแลและจัดการ เรามองว่าความฝันนี้จำเป็นต้องมีเสียงคนเมืองเพราะเป็นผู้บริโภคที่มีอำนาจ มีขนาดใหญ่ และมีพลังในการซื้อที่ทำให้คนมีอำนาจหรือกำหนดนโยบายรับฟัง เราอยากให้เสียงคนท้องถิ่นถูกได้ยิน และให้คนในเมืองร่วมสนทนาว่าจะมีส่วนร่วมอย่างไร เพราะคนท้องถิ่นและคนในเมืองบริโภคอาหารจากพื้นที่ภูมิทัศน์ป่าไม้เหล่านี้”

ชุมชนท้องถิ่น กุญแจสู้โลกรวน

การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไม่ใช่เรื่องง่าย”

ณัชพล พรมคํา
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนป่าแลวผักดี๊ดี บ้านอภัยคีรี ต.ป่าแลวหลวง อ.สันติสุข จ.น่าน

ถ้าคุยเรื่องโลกรวนกับชาวบ้าน เขาไม่เข้าใจ เขาจะงงว่าอะไรคือโลกรวน มันเป็นศัพท์ค่อนข้างไกลตัว แต่ถ้าบอกจากฝนเคยตกเดือนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เคยปลูกข้าววันแม่ เกี่ยววันพ่อ ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม เขาจะเข้าใจ

สิ่งที่วิสาหกิจชุมชนทำเราเริ่มอาชีพใหม่ ๆ ป่าอยู่บนดอยเราคุยกับต้นไม่ไม่ได้ว่าให้ย้ายไปที่อื่น แต่เราคุยกับเจ้าของพื้นที่ได้ว่าตรงนี้ขอให้ป่าขึ้นได้ไหม

กลุ่มวิสาหกิจของเราชวนคนลงมาทำอาชีพทางเลือก กลับมาปลูกพืชใกล้บ้าน ที่เคยอยู่เคยกินเมื่อก่อนก็คือสวนหลังบ้าน กลับมาทำเล็ก ๆ แต่ได้คุณภาพดีกว่า ทำสิ่งที่เป็นทางเลือกอาชีพใหม่ทำให้ป่าคืนมาด้วยภาควิชาการความรู้ที่มี

โจทย์คือเลิกปลูกข้าวโพดได้ไหม เมื่อก่อนผมเองก็ทำไร่ข้าวโพดกับพ่อ เห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะ เข้าไปคุยกับชาวบ้าน เขาถามถ้าหยุดจะให้ทำอะไร มีหนี้สินต้องชำระสถาบันการเงิน เป็นโจทย์ที่อยู่ในใจ ผมเสนอให้มาปลูกผักกับผม เพราะผมมองเห็นตลาด มองเห็นโอกาสว่าคนในตัวเมืองน่านต้องการผักดี ๆ แต่ไม่รู้ซื้อที่ไหน เมื่อก่อนชุมชนของผมปลูกผักเต็มสวนหลังบ้านแต่ขายไม่ได้ แบ่งผักให้ใครก็ไม่เอาเพราะทุกบ้านมี

ผมชวนมารวมกลุ่มปลูกผัก จากตอนแรกมี 10 คน ทะเลาะกับความร้อนถอยไป 2 คน เหลือ 8 คน ทำโรงปลูกผัก 2 โรง

ผมมีหน้าที่ทำการตลาดและขาย ตื่นเที่ยงคืนขนผักไปขายในตัวอำเภอ ตอนแรกไม่มั่นใจ มีแต่คนบอกว่าใครจะไปซื้อ คนนอกกลุ่มบอกเดี๋ยวก็ล้ม ผมบอกไม่เป็นไร ถ้าผมยืนอยู่ตรงนี้กลุ่มไม่ล้ม ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่สองสามปี ผักเหลือผมไม่เอากลับบ้านนะ แจกฟรี บางทีแอบเอาให้หมูกิน กลับมาคนในกลุ่มเห็นตะกร้าเปล่า ๆ ก็ดีใจ เกิดแรงฮึด ทำตารางผัก วางแผนปลูก ผมสร้างพลังร่วมในกลุ่มก่อนจนเริ่มกำหนดได้ว่าอยากให้ช่วยปลูกอะไร

ผักที่วางขายในน่านมีเยอะแต่นำเข้ามาจากต่างจังหวัด ผมคิดว่าเรามีดิน มีน้ำ ทำไมจะปลูกไม่ได้ เริ่มศึกษาตลาด เริ่มขาย จากอำเภอสันติสุขขยายเข้าไปในเมืองน่าน

จากเคยปลูกแล้วขายยาก ผักเราเริ่มมีมูลค่าการตลาดมากขึ้น ได้รับโอกาสจากโรงพยาบาลน่านให้ปลูกผักส่งเพื่อทำกับข้าวให้ผู้ป่วย มีโครงการของรีคอฟเข้ามาด้วย ชาวบ้านเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี เขาไม่ได้สู้เพียงลำพัง ยังมีหน่วยงานต่าง ๆ สนใจว่าทำอะไรกันอยู่

พอมีคนมาดูงานก็ให้เพื่อนเปิดที่พัก ทำโฮมสเตย์ ชวนมากินผัก เป็นทางเลือกอาชีพใหม่ ให้นักท่องเที่ยวรู้ว่ากะหล่ำปลีทอดน้ำปลากรอบอร่อยแค่ไหน ได้อาชีพทางเลือกเพิ่ม จากเมื่อก่อนสันติสุขเป็นอำเภอทางผ่านไปบ่อเกลือ ไม่เข้าห้องน้ำก็ไม่แวะ เดี๋ยวนี้มีร้านต้องแวะ ติดอันดับ 1 หรือ 2 ของวงใน มีคนเข้ามาเยี่ยมเยียนให้ชาวบ้านได้แปลกหูแปลกตา

ผมให้เกษตรกรมาเจอลูกค้า มาขายผักเองที่ตลาด เป็นตลาดเล็ก ๆ ที่เราทำกันเอง มีผักจากชาวบ้านมาวางขาย บอกลูกค้าว่าผักนี้ฉันปลูกเองด้วยความมั่นใจและซื่อสัตย์ ตลาดเล็ก ๆ แต่ปีหนึ่งรวมมูลค่า 3 ล้านกว่าบาทนะ กลายเป็นอาชีพที่ทำให้พื้นที่เกิดการฟื้นฟู ทำมา 8 ปีแล้ว ได้ป่าคืนมา 200 กว่าไร่ ผู้คนที่เคยมีหนี้มีสินก็ปลดหนี้ปลดสินได้ ไม่มีความทุกข์ร้อนใจ

แต่ก่อนสมาชิกเราปลูกข้าวโพด จะเข้าร่วมกลุ่มต้องหยุดปลูกข้าวโพดก่อน นอกจากรักษาป่าชุมชน ป่าอุทยาน บางพื้นที่พยายามปรับเปลี่ยนระบบเกษตรเพื่อใช้พื้นที่น้อยลง สู้กับโลกรวนต้องมีระบบการผลิตที่มั่นคง มีป่ารอบบ้านมากขึ้น

คนเปราะบาง คนท้องถิ่น พยายามสู้อยู่สองแนวทาง หนึ่ง รักษาป่าธรรมชาติที่เป็นต้นทุนดั้งเดิม สอง พยายามหาทางปรับเปลี่ยน

การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไม่ใช่เรื่องง่าย การทำวิสาหกิจชุมชนให้ตอบโจทย์ชาวบ้านจริง ๆ ยิ่งสำคัญ อีกโจทย์สำคัญคือผู้บริโภค ชุมชนเมือง จะหนุนเสริมเขาอย่างไร

localglobalwarming02

การรู้จักแม่น้ำสำคัญมาก”

ไกรทอง เหง้าน้อย
กลุ่มศึกษาข้อมูลความเปราะบางของชุมชนเมืองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จ.เชียงราย

เชียงรายเคยเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่จะไปฮีลใจ แต่ไม่รู้ทุกวันนี้ยังเหมือนเดิมไหม ความซับซ้อนของภัยพิบัติทำให้เชียงรายไม่เหมือนที่เคยรู้จัก

เชียงรายเหมือนแก่งกระทะ แม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำโขง เมื่อก่อนเราไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากสักเท่าไหร่ จะพูดถึงการบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่สู้มานาน ยกตัวอย่างการสร้างเขื่อนในจีน 13 ตัว ใกล้ไทยที่สุดคือเขื่อนจิงหง ข้างล่างมีเขื่อนไซยะบุรีในลาว และที่จะสร้างเพิ่มอีกอยู่ห่างเชียงราย 99 กิโลเมตรคือเขื่อนปากแบง ขังเราไว้แล้วเพราะเชียงรายอยู่ตรงกลาง

ยังมีแม่น้ำอิง กก คำ จัน รวก เงา ที่อยู่ในภาวะภัยพิบัติ เมื่อก่อนคนคิดว่าน้ำท่วมเชียงรายเพราะแม่น้ำสายใหญ่คืออิงกับโขงไหลมาเจอกันแล้วน้ำเท้อ แต่ตอนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำทุกสาย ทำงานผิดปรกติก็ว่าได้ ภัยพิบัติที่คาดว่าจะเกิดในร้อยปีข้างหน้า เกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2567 เป็นปีมหาภัยพิบัติ

แม่น้ำในเชียงรายครึ่งหนึ่งมาจากชายแดน เป็นภัยพิบัติข้ามพรมแดนเข้ามา อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า ‘เชียงรายรับจบหมดทุกภัยพิบัติ’ เพราะมีทุกภัยตั้งแต่แผ่นดินไหว ฝุ่นควัน PM2.5 น้ำท่วม ภัยแล้ง รวมอยู่ในเชียงราย โดยมีภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นแรงขับ

เมื่อโลกรวนมาก ฝนตกหนัก ฝนเคยตกในเชียงราย 100 มิลลิเมตร น้ำไม่ท่วมนะ แต่เดี๋ยวนี้ตก 400 มิลลิเมตรทางฝั่งพม่า น้ำไหลมาจากตอนบนต้นแม่น้ำกกพร้อมเขื่อนตอนบนในจีนปล่อยน้ำ แม่น้ำไหลลงจากภูเขาหาที่ต่ำไปรวมกับแม่น้ำโขง ถ้าแม่น้ำโขงระบายไม่ได้เหมือนปีที่แล้วก็ขังคนเชียงราย น้ำไหลย้อนเข้าแม่น้ำสาขา โลกรวนเกิดขึ้นในบริบทของโลกแต่กิจกรรมการพัฒนาของมนุษย์ที่ไม่ยั่งยืน ไม่สอดคล้อง เป็นตัวเร่งเร้า กระตุ้นให้ชุมชนท้องถิ่นเชียงรายได้รับผลกระทบมากขึ้น นี่คือปรากฏการณ์โลกรวนที่เกี่ยวกับภัยพิบัติของคน

ชุมชนท้องถิ่นในเชียงรายแบ่งเป็นกลุ่มเมืองกับกลุ่มเกษตรในภาคชนบท เมื่อกลุ่มเมืองคิดว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนอะไรกับผลกระทบที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แต่ตอนนี้กลายเป็นเป้าหลักที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแรงขับจากการพัฒนา กลุ่มเมืองเป็นกลุ่มเปราะบางมาก เศรษฐกิจในเมืองมีภาคธุรกิจท่องเที่ยวเป็นหัวใจ พอเกิดภัยพิบัติ โคลน สารพิษถูกพัดเข้ามา แม่น้ำปนเปื้อน ทำให้ภาคธุรกิจ โรงแรมอยู่ไม่ได้ ภาคธุรกิจอาหารก็ไม่มีความปลอดภัย

การรู้จักแม่น้ำสำคัญมากสำหรับคนเชียงราย ปัญหาใหญ่ของน้ำท่วมเชียงรายวันนี้คือการพัฒนาเมืองที่ไม่มีการวางผัง ทางน้ำถูกปิด ทางคนเปลี่ยนแปลงทางน้ำ ถนนบายพาสกลายเป็นสันเขื่อน ชุมชนเมืองขยายตัว พยายามเอาตัวรอดโดยไม่ได้มองธรรมชาติ

ป่าไม้ ต้นไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ยังเหลือ ทำยังไงจะรักษาแล้วฟื้นฟู ทำยังไงให้ธรรมชาติปรับตัวช่วยรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติ

วันนี้คนสนใจเรื่องแม่น้ำ ถามกันเยอะว่าเชียงรายมีแม่น้ำกี่สาย ทั้งที่เราพูดมาหลายทศวรรษแล้วไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้คนสนใจต้นแม่น้ำกกมาจากไหน น้ำประปาใช้กี่ครัวเรือน คิดถึงกระทั่งปริมาตรวัดน้ำในครัวเรือนว่าตัวเองใช้น้ำเท่าไหร่ คุณภาพน้ำปลอดภัยจริงไหม เกิดการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เกิดการบริหารจัดการตัวเองเรื่องภัยพิบัติ ผู้คนเริ่มพูดถึงโครงสร้างพื้นฐานที่มีปัญหา คู คลองต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่กั้นน้ำ กลายเป็นเขื่อน วันนี้แนวคิดของชุมชนเปลี่ยนไป อยากมีพื้นที่รับน้ำเพิ่ม

ต้องฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติในเมือง พื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าในเมือง ป่าริมถนน ป่าริมทาง ไม่ว่าอยู่ในเขตเมืองหรือชนบทก็ต้องมีปฏิบัติการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่พึ่งพิงทรัพยากร เก็บกินเก็บใช้ในชีวิตประจำวัน เป็น local actions ที่จะไปตอบโจทย์เรื่อง global solutions ได้

localglobalwarming03

ปรับตัวแล้วปัจจุบันต้องดีขึ้นด้วย ไม่ต้องรอว่าอนาคตแบบจำลองอากาศจะว่ายังไง”

ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์
หัวหน้ากลุ่มวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

เรื่องการปรับตัวต่างจากเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวเป็น area based ขึ้นกับสภาพพื้นที่เป็นหลัก ปรับเพื่อรับมือเหตุการณ์ สภาพอากาศที่คาดว่าจะรุนแรง การหลับหูหลับตาปรับเพื่อรับมือสภาพอากาศอย่างเดียวไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะสุดท้ายคนจะถามกลับว่าแล้วเขาจะหาเงินจากไหน ปากท้องจะยังไง

หลักการปรับตัวที่น่าสนใจคือปรับตัวแล้วปัจจุบันต้องดีขึ้นด้วย ไม่ต้องรอว่าอนาคตแบบจำลองอากาศจะว่ายังไง ฝนตกมากขึ้นไหม สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่แนวทางคิดหากลยุทธ์ หรือปรับวิถีชีวิตคนในพื้นที่ อนาคตฝนตกหนักขึ้น หรือกระจุกตัวมากขึ้น อาชีพใหม่ที่พัฒนาขึ้นต้องเพียงพอรองรับสภาพอากาศแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันอาชีพใหม่ที่เราปรับต้องทำให้รายได้ของคนในชุมชน ณ ปัจจุบันดีขึ้นด้วย เป็นโจทย์ท้าทายที่ยากมาก ๆ ของคนทำงานด้านการปรับตัว ไม่ว่าระดับชุมชนหรือผู้กำหนดนโยบาย

ประเทศไทยมีแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National adaptation plan : NAP) แต่เราไม่สามารถเอาแผนนี้มาใส่มือชุมชน 70,000 กว่าชุมชนแล้วทำได้เลย เพราะแนวทางปรับตัว สุดท้ายต้องกลับไป area based อยู่ดี เพราะสภาพพื้นที่ สภาพชุมชน ในแต่ละภูมิอากาศแตกต่างกัน

หวังว่าในอนาคตเราคงไม่ได้มีแค่แผนการปรับตัวฉบับที่ 1 แล้วจบแค่นั้น อนาคตมีการทบทวนแผน หวังว่าจะทำเป็นพื้นที่นำร่อง ให้เห็นสภาพภูมิเศรษฐกิจ ด้านอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้แต่ละพื้นที่นำไปใช้เป็นไกด์ไลน์หรือเข็มทิศ แต่สุดท้ายเอาไปปฏิบัติ หรือก๊อบปี้ได้เลยมันคงไม่ใช่ สุดท้ายก็ต้องวิเคราะห์ว่าสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่เป็นยังไง

จะไม่ดูแค่ปีนี้พายุเข้ากี่ลูก น้ำท่วมสูงเท่าไหร่ ถึงเป็นการรับมือในปีนั้น ๆ แต่เวลาทำเรื่องการปรับตัว ส่วนใหญ่จะดึงข้อมูลย้อนหลัง 20-30 ปี ให้เห็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของอากาศว่าแนวโน้ม 30 ปีที่ผ่านมาฝนตกหนักขึ้นไหม รุนแรงขึ้นไหม รับมือหรือปรับตัวยังไง แล้ววิเคราะห์ช่องว่างว่าที่ผ่านมายังมีสิ่งใดทำได้ดีกว่านี้อีก

เอาข้อมูลอากาศในอนาคตที่นักวิทยาศาสตร์เสิร์ฟถึงมือของเราเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นย่อยง่าย ๆ ให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนเข้าใจได้ ชวนเขาคุยว่าถ้าพี่ป้าน้าอาทำอาชีพแบบเดิมแล้วฝนตกแบบนี้ รายได้ที่ควรได้จากการขายข้าวหายไปหมดเลยทั้งฤดูจะทำยังไง เวลาทำงานวิชาการด้านการปรับตัว เราลงไปในชุมชนแล้วชวนเขาคุยแบบนี้

สิ่งที่ชอบมากคือเราไม่สามารถบอกได้ว่าพี่เปลี่ยนมาปลูกต้นไม้ชนิดนี้สิ เพราะเขาก็จะถามว่าทำแล้วขายที่ไหน

การทำงานกับชุมชนต้องเป็นแบบภาคี ชวนคนทำหน้าที่ให้องค์ความรู้ ส่งเสริมว่าปรับยังไง ใช้เทคโนโลยีอะไรลงไปด้วยกัน

เม็ดเงินสำหรับทำงานด้านการปรับตัวจริง ๆ แต่ละปีเราต้องการเงินถึง 1 ล้านล้านบาท แต่เม็ดเงินที่เข้ามาไทยในปัจจุบันสะสมอยู่ที่ 1 แสน 4 หมื่นกว่าล้านบาท ยังมีช่องว่างต้องเติมเต็ม ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ เรื่องเม็ดเงินยังเป็นคอขวดที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่ลงไปที่โครงสร้างพื้นฐาน สีเทาเกือบทั้งหมด กลายเป็นช่องว่าง

ธนาคารบ้านเราปล่อยกู้สินเชื่อสีเขียว แต่ถามว่าสินเชื่อสีเขียวเหล่านี้ไปโครงการประเภทไหน ไปโครงการลักษณะลดการปลดปล่อยก๊าซค่อนข้างเยอะ เช่นเรื่องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ พลังงานหมุนเวียน ถามว่าทำไมไม่ลงไปที่โครงการปรับตัว เพราะถ้าพูดในศัพท์เศรษฐศาสตร์เราเรียกว่าเป็นสินค้าสาธารณะ ปรับแล้วไม่ใช่คนที่ปรับคนเดียวได้ประโยชน์ สร้างผลกระทบเชิงบวกให้คนอื่น ในมุมธนาคารเวลาคิดว่าคุ้มไหมในการปล่อยกู้ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งคุ้นเคยสำหรับเขา กลายเป็นว่าที่ผ่านมา เงินทุนด้านการปรับตัวในชุมชนมาจากวิสาหกิจชุมชนที่มีการจับมือกัน หรือองค์กรภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน แต่ถามว่าพอไหม กลับไปที่ตัวเลข บ้านเราอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ จาก 100 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการ ยังมีช่องว่างอยู่พอสมควรที่ต้องทำต่อ

สุดท้ายต้องระเบิดจากข้างใน เตรียมฟูลทีมไปแต่สุดท้ายเขาไม่เอามันก็ไม่เกิดขึ้น

เวลาระดมเม็ดเงิน ส่งเสริมชาวบ้าน เราอยากชวนนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี ลงไปให้ความรู้ ชวนคนรับซื้อผลผลิตไปด้วยกันตั้งแต่ต้น ให้เขาเห็นว่าตอนนี้ตลาดเป็นยังไง ขาดสินค้าประเภทไหน แปรรูปแล้วส่งชายที่ไหนได้บ้าง

เรื่องการปรับตัวต้องบูรณาการหลาย ๆ อาชีพ หลาย ๆ ศาสตร์ เดินลงไปที่ชุมชนพร้อมกัน ลงไปการันตีว่าปลูกพืชออแกนิกส์แล้วจะมีคนรับซื้อ การมีตลาดรองรับน่าจะเป็นโจทย์สำคัญ

localglobalwarming04

เยาวชนเป็นหนึ่งในสมการที่มองข้ามไม่ได้ เป็น next generation ที่ต้องใช้ทรัพยากรโลกต่อไป”

ธนกฤต สุภารัตน์
ตัวแทน GYBN Thailand คนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องโลกรวนและความหลากหลายทางชีวภาพ

เยาวชนเป็นหนึ่งในสมการที่มองข้ามไม่ได้ เป็น next generation ที่ต้องใช้ทรัพยากรโลกต่อไป อีก 20-30 ปีข้างหน้าผมก็ต้องโตขึ้น อยากให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย

ปัญหาหลัก ๆ ของคนเมือง เราอยู่ในพื้นที่แออัด มีคอนกรีตมาก รู้สึกเหมือนมีความร้อนครอบเมืองอยู่ บางวันแค่เดินเปลี่ยนตึกเรียนก็ร้อนอบอ้าวมาก ๆ

ในบริบทคนท้องถิ่น คำว่าความร้อนอาจต่างกับเรา บ้านไม้ในชนบทของคนท้องถิ่นก็ร้อน สัตว์เลี้ยงของเขา ไก่ สุนัข ได้ยินเสียงหอนแบบทรมานเพราะร้อนตอนกลางคืน ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยเจอ แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมาเจอเหตุการณ์นี้

ภูมิอากาศเหมือนไม่ตรงเวลา เดือนนี้เดือนเดียวทั้งร้อน ฝน แล้วพายุเข้ามาไม่รู้กี่ระลอก ปัญหาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลจะกระทบคนท้องถิ่นเรื่องเกษตร ระบบการผลิต วางแผนการปลูกยากขึ้น ประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ ในกรุงเทพฯ เมื่อก่อนหิ่งห้อยเยอะมาก เดี๋ยวนี้หายาก รวมถึงแมลงเวลาขับรถแทบจะไม่มีแมลงเฉี่ยวกระจกเหมือนเมื่อก่อน

สำหรับคนท้องถิ่นอาจจะบอกว่าเมื่อก่อนเขาชอบตกปลา ตกได้ปลาสวาย ปลาดุก ปลาหลากหลายชนิด ทุกวันนี้ได้แต่ปลาดุก

เราอาจคิดว่าเยาวชนไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนี้มาก แต่เวลาให้แสดงความเห็น มันเห็นปัญหาที่มาจากสายตาเยาวชน ปัญหาของแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันในบริบทภูมิประเทศ บริบทของวัฒนธรรม

สิ่งที่ผมคิดว่าเราช่วยได้ คือการรู้จักคุณค่าของสิ่งของ พื้นที่ ในแต่ละท้องถิ่นว่ามีคุณค่าอย่างไร เช่น มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีกล้วยไม้สวย ๆ มีพื้นที่ปลูกกาแฟอร่อย การใส่เรื่องราวลงไปทั้งสินค้าและชุมชน ช่วยดึงดูดให้อยากไปที่นั่นมากขึ้น อยากไปเที่ยว ซื้อสินค้า

เราเห็นบางพื้นที่เปลี่ยนแปลงจากปลูกข้าวโพดมาปลูกผักกะหล่ำปลีอินทรีย์ที่อร่อยมาก อยากไปชิมและบอกต่อ

อีกอย่างที่เป็นคีย์เวิร์ดคือการสร้างเครือข่าย ผลักดันอะไรคนเดียวจะเจอความเหงา ความท้อแท้ การมีเพื่อนชอบเหมือนกันเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการผลักดันชุมชน เขียนขอทุนสนับสนุนทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้การทำงานระยะยาวกลายเป็นเครือข่ายที่ยั่งยืน แล้วเราก็ชวนเครือข่ายเยาวชนอื่น ๆ ในระดับท้องถิ่นมาทำคล้าย ๆ แบบเรา