จิตรกรรมโกศล #2 - ภาพเขียนสี

ดูเหมือนว่าตามความนิยมในปัจจุบัน คำว่า “จิตรกรรม” จะสงวนไว้สำหรับภาพเขียนยุคหลังลงมาเป็นหลัก ทว่าเมื่อเป็นผลงานศิลปะยุคเก่าก่อนขึ้นไป เช่นภาพเขียนของมนุษย์ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเวลาที่เรียกกันว่า “ยุคก่อนประวัติศาสตร์” คือก่อนหน้าที่มนุษย์จะรู้จักบันทึกข้อความด้วยตัวอักษร กลับเรียกกันด้วยอีกคำหนึ่งคือ “ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์” หรือไม่ก็เป็น “ศิลปะถ้ำ” ด้วยเหตุที่มักพบอยู่ตามเพิงผาและผนังถ้ำในทุกภาคของประเทศไทย

ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองไทย ได้แก่ที่ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เขาจันทร์งาม อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ถ้ำผีหัวโต อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ฯลฯ

อมรา ศรีสุชาติ อธิบายในหนังสือ “ศิลปะถ้ำ ภาพสะท้อนชีวิตบรรพชนบนแผ่นดินไทย” (2536) ว่า

“ศิลปะถ้ำเป็นพัฒนาการของการสร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นงานสร้างสรรค์เพื่อส่วนรวม หรือเป็นของชุมชน เรียกได้ว่าเป็น ศิลปะเพื่อชุมชน (communual art) ยิ่งสมัยโบราณหรืออดีตเมื่อนับพันนับหมื่นปีมาแล้วที่คนยังอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ มีถ้ำ เพิงผา เป็นที่พักพิง ศิลปะถ้ำสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อตอบสนองกิจกรรมร่วมกันของชุมชนมากยิ่งกว่าสร้างเพื่อตอบสนองอารมณ์สุนทรีย์ของปัจเจกบุคคล ผู้ที่มีฝีมือทางศิลปะหรือศิลปินนิรนามจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เขียนภาพหรือจำหลักรูปรอยลงบนพื้นหินตามเนื้อหาสาระที่คนในชุมชนเห็นพ้องร่วมกัน ใช้เป็นสื่อในการบันทึกเพื่อการติดต่อ ระหว่างพวกเดียวกัน และเพื่อสื่อกับพลังนอกเหนืออำนาจที่ไม่อาจควบคุมได้”

แม้เป็นข้อสันนิษฐานที่ฟังดูเข้าที ทว่าการศึกษาภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ยังมีข้อจำกัดอีกมาก

อย่างแรกคือเราไม่อาจระบุให้แน่ชัดได้ว่าผู้วาดเป็นใคร เผ่าพันธุ์ใด มีวัฒนธรรมหรือภาษาแบบไหน จึงไม่สามารถเข้าใจว่าผู้วาดต้องการสื่อถึงสิ่งใด ภาพเขียนบางแห่งที่ดูเหมือนรูปคนรูปสัตว์ อาจเทียบเคียงกับของจริงตามตาเห็นได้ เช่นภาพ (ที่ดูเหมือน) ปลาบนผนังผาแต้ม อำเภอโขงเจียม อุบลราชธานี มักได้รับคำอธิบายว่าเป็นรูปปลาบึก สัตว์น้ำประจำถิ่นในแม่น้ำโขง

หากแต่เมื่อเป็นภาพสัญลักษณ์ หรือลายเส้นเรขาคณิต ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คำอธิบายใดๆ นอกจากนำไปเชื่อมโยงกันเองในความคิดของผู้ศึกษา หรือใช้คำบรรยายภาพที่ปราศจากความหมาย เช่น “ภาพลายเส้นเรขาคณิต”

ปัญหาประการถัดมาก็คือ แม้จะรู้ว่าเป็นรูปสัตว์อะไร ก็ไม่อาจกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการวาดได้อย่างชัดเจนแน่นอน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอะไร หรือเป็นการประดับตกแต่งพื้นที่ว่าง หรือจะเป็นภาพเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น หรือเป็นแค่การระบายอารมณ์ความรู้สึกของผู้วาด หรือมีความหมายอย่างใดกันแน่

รวมถึงยังไม่สามารถกำหนดอายุเวลาของภาพเขียนสีเหล่านี้ได้แน่ชัด เท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ใช้วิธีเทียบเคียงกับพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่น เช่นภาพที่ดูเหมือนการเพาะปลูก ทำนา ก็อาจเทียบเคียงว่าคงเขียนขึ้นเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงจากยุคเก็บของป่า-ล่าสัตว์ มาสู่สังคมเกษตรกรรมแล้ว ส่วนภาพที่ดูคล้ายคนเดินเป็นแถวเป็นแนว มีภาพวัตถุที่ดูคล้ายกลองมโหระทึกอยู่ในขบวนแห่ ก็ถูกนำไปเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมยุคสำริดเป็นต้น

ที่ผ่านมา การศึกษาภาพเขียนสีในประเทศไทยอย่างเป็นระบบ จึงมีเพียงการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของผงสีที่ใช้ หรือไม่ก็เทียบเคียงรูปแบบภาพที่คล้ายคลึงกัน เช่นที่พบในประเทศเพื่อนบ้าน ว่าอาจเป็นกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกัน หรือมีการอพยพเคลื่อนย้าย กับมีแหล่งภาพเขียนสีบางแห่งที่อาศัยผลการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณใกล้เคียงมาช่วยกำหนดอายุสมัยได้บ้าง