โดย ศรัณย์ ทองปาน

เดือนตุลาคม 2500 มีข่าว “กรุแตก” ครั้งใหญ่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อกลุ่มคนร้ายลักลอบขุดกรุใต้ฐานพระปรางค์ใหญ่วัดราชบูรณะ พบมหาสมบัติสมัยอยุธยาที่อุทิศถวายแด่พระบรมสารีริกธาตุเพื่อเป็นพุทธบูชา จึงลักลอบนำโบราณวัตถุที่เป็นทองคำจำนวนมากออกมาหลอมขายกันอย่างเอิกเกริก สุดท้ายข่าวจึงรั่วไหลเข้าหูเจ้าหน้าที่ทางการ นำไปสู่การจับยึดทรัพย์แผ่นดินที่ยังไม่ทันได้หลอมทำลายบางส่วน
ชะตากรรมที่เกิดขึ้นแก่โบราณวัตถุจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ อยุธยา ทำให้ผู้รักศิลปะอย่างศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือนาย ซี. เฟโรจี (2435-2505) ถึงกับรำพันในบทความ“การค้นพบจิตรกรรมไทยครั้งใหม่” (2501) ว่า
“ในการร่วมทางไปตรวจดูสิ่งของพร้อมกับท่านอธิบดีและข้าราชการในกรมศิลปากรอีกหลายท่าน ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง ศึกษาศิลปวัตถุต่างๆ เหล่านี้ ช่างเป็นชั่วโมงแห่งความชื่นชมโสมนัสที่ได้เห็นของอันวิจิตรงดงามอะไรเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นชั่วโมงที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวในหัวใจอย่างมหันต์ ที่ได้ทราบว่าศิลปวัตถุบางชิ้น ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยน้ำมือของคนชั่วร้าย จนเสียหายอย่างไม่สามารถจะซ่อมแซมได้…โธ่เอ๋ย ไม่มีอาชญากรรมสำหรับลงโทษเนื่องในการกระทำอันชั่วร้ายเช่นนี้ ให้สาสมได้เจียวหรือ”
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ได้ค้นพบในคราวเดียวกันนี้ คือภาพจิตรกรรมที่เขียนบนผนังภายในกรุ อันนับเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยค้นพบกันมาในประเทศไทย คือเชื่อว่าเขียนตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จเจ้าสามพระยา เมื่อพุทธศักราช 1967 หรือครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 20
ในห้องกรุใหญ่ชั้นบน ผนังสองด้านเขียนเป็นรูปเทพชุมนุม อีกสองด้านเป็นภาพกลุ่มชาวจีนที่ดูเหมือนกำลังกินดื่มในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง แม้มีภาพที่ดูเหมือนเป็นตัวอักษรจีนอยู่ด้วย แต่ก็อ่านไม่ออก เพราะเป็นเพียงลายเส้นขีดที่ “ดูคล้าย” อักษรจีนเท่านั้น
ถัดลงไปในกรุชั้นล่างซึ่งอยู่ลึกเกือบถึงระดับพื้นดิน เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในห้องแคบปิดตาย ขนาดกว้างยาวเพียงด้านละ 1.40 เมตร และสูง 2.75 เมตร บนผนังโดยรอบปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระอดีตพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก กับเรื่องราวในชาดก เขียนด้วยลายเส้นสีแดง ดำ บนพื้นสีขาว และมีการปิดทอง
ทั้งกรณีภาพลายเส้นชาดกในอุโมงค์มณฑปวัดศรีชุม สุโขทัย และภาพเขียนภายในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา ล้วนอยู่ในที่ลับตา จึงย่อมมิได้มีจุดมุ่งหมายจะให้ผู้ใดเข้าไปเที่ยวชมดู หากแต่คงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เช่นถวายเป็นพุทธบูชา หรือเพื่อเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานเสียมากกว่า ดังที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี สรุปไว้ในบทความเรื่องเดิมที่อ้างมาแล้วข้างต้นว่า
“ศิลปินไทยครั้งโบราณนั้น ถึงจะเขียนภาพไว้ในสถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้เห็นหรือชมเชยผลงานของท่านเลย ก็คงทำงานของท่านเพื่ออุทิศถวายและเชิดชูพระกิตติคุณของพระบรมศาสดาเท่านั้น”

