|
|
นาฬิกาที่เที่ยงตรงที่สุดในโลก นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงที่สุดอยู่ที่ใด (Nuttapon Benjapornthavee) |
| นาฬิกาที่คุณอยากรู้
เรียกว่า นาฬิกาอะตอม ถ้านาฬิกาอะตอมเดินอยู่นานกว่า ๑ ล้านปี มันจะจับเวลาผิดพลาดไปไม่ถึง ๑ วินาทีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงที่สุดในโลกเหนือกว่านาฬิกาทั้งปวง นาฬิกาอะตอมทำงานจากการสั่นสะเทือนของอะตอม เป็นนาฬิกาที่ใช้ในงานวิทยาศาสตร์เพื่อจับเวลาที่ต้องการความแม่นยำสุดยอด "ซองคำถาม" ไม่รู้เหมือนกันว่ามีขายที่ไหน |
|
|
นั่งเครื่องบินแล้วตาย
! มีคนบางคนตายเพราะโดยสารเครื่องบิน "ซองคำถาม" เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม (ไม่ลงชื่อ / กรุงเทพฯ) |
| "ซองคำถาม"
เคยได้ยินมาว่า
ผู้โดยสารบางคนเมื่อนั่งอยู่ในที่นั่งแคบ
ๆ เป็นเวลานาน
จะมีปัญหาเรื่องการไหลเวียนของโลหิต
ฝรั่งเขาเรียกโรคนี้ว่า Economy
class syndrome economy class เป็นที่นั่งชั้นประหยัด ตั๋วราคาถูกกว่าเพื่อน ที่นั่งจึงออกจะคับแคบ ไม่กว้างขวางเหยียดขาสบายเหมือนพวกชั้นธุรกิจ (business class) และชั้นหนึ่ง (first class) ซึ่งราคาแพงหูฉี่ ผู้โดยสารส่วนใหญ่นั่งชั้น economy class นี่แหละ เพราะคนจนนั้นมีมากกว่าคนรวย โรค Economy class syndrome พบในผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน โดยใช้ระยะเวลาบินครั้งละนานเกิน ๓ ชั่วโมงขึ้นไป บางคนจะป่วยทั้งในขณะเดินทาง หรือหลังจากเดินทางแล้ว โรคนี้มิใช่โรคใหม่แต่อย่างใด ที่จริงคือโรคเส้นโลหิตดำอุดตัน หรือ Deep Venous Thrombosis (DVT) หรือเรียกย่อ ๆ ว่าโรค DVT นอกจากโรคดังกล่าวจะเกิดกับผู้โดยสารชั้นประหยัดแล้ว ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ หรือแม้แต่นักบินก็เสี่ยงเป็นโรคนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่มากเท่า ทั้งนี้บุคคลในกลุ่มอาชีพอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค DVT ได้แก่ พนักงานขับรถแท็กซี่ รถโดยสารประจำทาง รถบรรทุกส่งของเดินทางระหว่างจังหวัด หรือผู้ที่นั่งโต๊ะทำงานเป็นประจำตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผู้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องยาว ๆ ละคร หรือคอนเสิร์ต ก็อาจจะเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน อาการของผู้ที่เป็นโรค DVT โดยทั่วไปจะมีอาการปวดบวมแดงบริเวณน่องหรือข้อเท้า จะสังเกตได้ว่าเวลาอยู่บนเครื่องบินนาน ๆ นั้น เมื่อถอดรองเท้าแล้วจะสวมรองเท้ากลับเข้าไปได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเท้าบวมเพราะไม่ได้เคลื่อนไหว อาการของโรค DVT เกิดจากการที่เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรือเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วไหลเข้าไปตามกระแสเลือด และอาจไปอุดตันตามอวัยวะที่สำคัญ เช่น ปอด หรือหัวใจ ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรค DVT ตามร่างกายส่วนล่างตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงไป ได้แก่ การนั่งในที่คับแคบเป็นเวลานาน ๆ หลายชั่วโมงโดยไม่ค่อยได้เปลี่ยนอิริยาบถ การนั่งไขว้ขา การดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือการมีเส้นโลหิตขอดหรือโป่งพอง ก็ล้วนเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น โรค DVT สามารถป้องกันได้ในระหว่างเดินทาง ดังนี้คือ -รับประทานยาแอสไพริน วันละครึ่งเม็ดก่อนเดินทาง ๒ วัน และอีกครึ่งเม็ดรับประทานเมื่ออยู่บนเครื่อง ยาแอสไพรินมีฤทธิ์ทำให้เกล็ดเลือดไม่จับกลุ่มหรือเป็นลิ่ม -เลือกที่นั่งใกล้ทางเดิน อย่านั่งด้านใน เพราะนั่งใกล้ทางเดินจะมีที่ว่างพอให้เหยียดแขน ขา แก้อาการเมื่อยขบ -อย่านั่งไขว้ขา ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ และลุกขึ้นเดินบ้าง -หมั่นบริหารขาโดยยื่นเท้าทั้งสองข้างออกไป ยกขึ้นสูงเท่าที่จะยกได้ เหยียดนิ้วเท้ากางออกสัก ๓ วินาที แล้วยกเท้าลง เหยียดนิ้วเท้าชี้ลงพื้นดินอีก ๓ วินาที ก็จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยขบได้ -สวมเสื้อผ้าชุดค่อนข้างหลวมสบาย อย่าสวมถุงน่องที่มีแผ่นอิลาสติกรัดใต้เข่า เพราะจะทำให้เลือดเดินไม่สะดวก -ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ สุรา อาหารรสเค็มจัด และควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ นอกจากโรค DVT ที่มากับการโดยสารเครื่องบินแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ ที่อาจติดต่อกันได้ในห้องโดยสาร เช่น โรคหวัด วัณโรค โรคผิวหนัง เป็นต้น ดังนั้นจึงควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บเข้ามาสู่ร่างกายได้โดยง่าย ข้อมูลเรื่องนี้ "ซองคำถาม" คัดมาจากบทความของ พเยาว์ รอดโพธิ์ทอง ใน จดหมายข่าว วท. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๒ กุมภาพันธ ๒๕๔๔ |
|
|
ทำไมพระสังกัจจายน์จึงอ้วน เหตุใดพระสังกัจจายน์จึงมีรูปลักษณ์แปลกไปกว่าพระพุทธรูปอื่น ๆ คืออ้วนพุงพลุ้ย ถือเป็นพระพุทธรูปปางหนึ่งหรือ (นิลรัตน์ อรุณวงศ์ / กรุงเทพฯ) |
| พระสังกัจจายน์
หรือพระมหากัจจายนะ
เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านเป็นเอตทัคคะในทางอธิบายพุทธพจน์ที่ตรัสไว้โดยย่อให้พิสดาร
เกิดที่เมืองอุชเชนี
เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนัก
พระมหากัจจายนะมีนามเดิมว่า
กัญจนะ เพราะมีรูปร่างสวย
คนทั่วไปจึงเรียกชื่อท่านตามสกุลของท่านว่า
กัจจายนะ
ต่อมามีโอกาสได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ได้ฟังพระธรรมเทศนาก็บรรลุอรหัตผลพร้อมกับเพื่อนทั้งหมด
และได้อุปสมบทโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทา การที่พระมหากัจจายนเถระเป็นผู้มีรูปงาม มีผิวเหลือง ทำให้พระภิกษุอื่น ๆ เห็นท่านแต่ไกล เข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา จึงลุกขึ้นยืนต้อนรับบ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้น กล่าวคือ เศรษฐบุตรคนหนึ่ง แห่งเมืองโสเรยยะ เห็นพระมหากัจจายนะ แล้วนึกอกุศลว่า หากตนได้ภรรยามีรูปงามอย่างท่าน จะดีนักหนา ด้วยอำนาจบาปนั้น เขาได้กลายเป็นเพศสตรีทันที ด้วยความละอาย เขาจึงได้ไปอาศัยอยู่ที่เมืองตักสิลา จนมีสามีและบุตร ต่อไปเขาได้ไปขอขมาพระมหากัจจายนเถระ จึงได้กลับเพศเป็นชายตามเดิม ว่ากันว่าตั้งแต่นั้นมา พระมหากัจจายนเถระได้อธิษฐาน ให้ร่างกายของท่านอ้วน เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนชาวพุทธในยุคหลัง ได้สร้างพระพุทธรูปอ้วนลงพุง เป็นอนุสรณ์ให้แก่ท่าน เรียกว่า พระสังกัจจายน์ ในบางถิ่นบางที่ คนที่อยากมีลูกจะไปอธิษฐานขอกับพระสังกัจจายน์ เพราะเชื่อว่าในพุงอันใหญ่ของท่านมีเด็กอยู่ |
|
|
ทำไมจึงเรียก
เย็นตาโฟ ทำไมก๋วยเตี๋ยวใส่ซอสแดงจึงเรียกว่า เย็นตาโฟ เคยถามมานานแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบจนถึงวันนี้ (ตระกูลวัฒนา trakulwattana@hotmail.com) |
| คุณยังไม่ได้คำตอบ
ก็เพราะ "ซองคำถาม"
ตอบไม่ได้น่ะซี เย็นตาโฟไม่ใช่ภาษาไทยแน่นอน ยิ่งเป็นชื่อเรียกก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่งด้วยแล้ว ชื่อนี้ต้องมาจากภาษาจีนแน่ ๆ แต่ถ้าไปถามคนจีนในประเทศจีนว่า เคยกินเย็นตาโฟไหม เขาคงงง ! เพราะ "เย็นตาโฟ" เป็นภาษาจีนที่เรียกอย่างสะดวกปากคนไทย อาจารย์นพพร สุวรรณพานิช ผู้จัดทำพจนานุกรมหัวป่าก์และปลายจวัก กล่าวถึงอาหารชนิดนี้ว่า เย็นตาโฟที่เราชอบกินกันนั้น ภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ยี่อ่องเต่าฝู่ เป็นอาหารคาวใส่ผักบุ้ง เต้าหู้ เลือดหมู ภาษาอังกฤษพูดว่า brewed bean curd ชื่อ ยี่อ่องเต่าฝู่ คนไทยเรียกกันไปเรียกกันมา ก็กลายเป็น เย็นตาโฟ เรื่องภาษาเพี้ยนนี่ เป็นเรื่องถนัดของคนไทย ภาษาต่างชาติที่ออกเสียงยาก คนไทยจะดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นตัวเอง...สบายไป "ซองคำถาม" ขอเสริมว่า เย็นตาโฟที่ชาวไทยกินอยู่เวลานี้ ต้องใส่ซอสแดง (บางทีอาจใช้เต้าหู้ยี้มาก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นซอสแดงให้ถูกสตางค์ลง) ปลาหมึกกรอบ บางร้านใส่แมงกะพรุน แต่ระยะหลังมีคนเจ้าคิด (อาจคิดโดยผู้นิยมอาหารมังสวิรัติ) ใช้เห็ดหูหนูขาวแทน "ซองคำถาม" ขอยกนิ้วให้คนคิด เพราะเห็ดหูหนูขาวเคี้ยวเพลิน ให้สัมผัสเหมือนแมงกะพรุน แต่ไม่เหม็นคาวเลย |
|
|
เคี้ยวก่อนกลืน ยาซองหนึ่งที่ผมได้รับมาจากโรงพยาบาล มีตัวหนังสือเขียนบอกไว้ ที่หน้าซองว่า "เคี้ยวก่อนกลืน" ผมสงสัยว่าทำไมยาซองนั้น ต้องเคี้ยวด้วย ทั้งที่ยาชนิดอื่นไม่เห็นต้องเคี้ยวเลย (คนป่วยขี้สงสัย / จ. สมุทรปราการ) |
| ยาบางชนิดต้องเคี้ยว
แต่ยาบางชนิดก็ห้ามเคี้ยว ยาเม็ดที่ต้องเคี้ยวละเอียดก่อนกลืน ก็เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น เช่น ยาลดกรด ยาขับลมแก้แน่นท้อง ยาถ่ายพยาธิบางชนิด ส่วนยาเม็ดที่ห้ามเคี้ยว ก็เพราะเป็นยาที่มีโครงสร้างพิเศษ เช่น เคลือบเม็ดยาเพื่อให้ไปแตกตัวที่ลำไส้เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือใช้โครงสร้างที่ทำให้ยาปลดปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นาน ไม่ต้องรับประทานบ่อย ๆ การเคี้ยวจะทำให้โครงสร้างพิเศษนี้เสียไป ยาจะแตกตัวทันทีที่กระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องได้ หรือยาจะถูกปลดปล่อยออกมาทีเดียว ทำให้ได้ยามากเกินขนาดได้ ปรกติเมื่อเราได้ยามา ถ้าไม่มีคำสั่งเป็นพิเศษ เวลากินยาก็ให้กลืนลงท้องไปเลยแล้วดื่มน้ำตาม |
|
|
ทารกมีกระดูกมากกว่าผู้ใหญ่จริงหรือ
? หนังสือถาม-ตอบจำพวก "เกมเศรษฐี" ถามว่า ทารกแรกเกิดมีกระดูกกี่ชิ้น คำเฉลยคือ ๓๕๐ ชิ้น เราสงสัยมาก เพราะเคยเรียนมาว่า ผู้ใหญ่มีกระดูก ๒๐๖ ชิ้น ถ้าทารกมีกระดูก ๓๕๐ ชิ้นจริง กระดูกร้อยกว่าชิ้นนั้นหายไปไหนเมื่อเราโตขึ้น มันคงไม่ได้ละลายหายตัวไปใช่ไหม " (ไซเบอร์เกิร์ล / กรุงเทพฯ) |
|
หนังสือเขาเฉลยถูกแล้วละจ้ะ ทารกแรกเกิดมีกระดูกอ่อน ๓๕๐ ชิ้น ซึ่งมากกว่าผู้ใหญ่ประมาณ ๑๕๐ ชิ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกหลายชิ้นจะเชื่อมกันเป็นชิ้นเดียว เช่น กระดูกสันหลังห้าชิ้นจะค่อย ๆ เชื่อมกันเป็นเนื้อเดียว กลายเป็นกระดูกกระเบนเหน็บ ซึ่งได้ชื่อนี้เนื่องจากอยู่ตรงบริเวณที่เหน็บชายกระเบนเวลานุ่งโจง กระดูกจะเชื่อมกันสมบูรณ์เมื่อคนเราอายุประมาณ ๒๐-๒๕ ปี ทำให้มีกระดูกเหลืออยู่ทั้งหมด ๒๐๖ ชิ้น เป็นกระดูกที่แข็งและอยู่อย่างถาวร แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะผู้ใหญ่บางคนอาจมีกระดูกสันหลังเกินมาหนึ่งชิ้น หรือกระดูกซี่โครงเกินมาหนึ่งคู่ |