Page 155 - Skd 373-2559-03
P. 155

โจเซฟ เวเบอร์                                                                        อยา่ งไรกต็ ามการคน้ พบนไี้ มไ่ ดพ้ บคลนื่ ความโนม้ ถว่ งโดยตรง
และอุปกรณ์ตรวจจับ                                                               ยงั เปน็ แคก่ ารเหน็ ผลออ้ ม ๆ หากเปรยี บเทยี บอยา่ งงา่ ย ๆ กค็ ลา้ ยกบั
คลื่นความโน้มถ่วง                                                               การท่ีเรามองไปไกล ๆ  แล้วเห็นเงาของคนเดินผ่าน  โดยท่ีเราไม่เห็น
ของเขา                                                                          ตัวคน  และจากการเห็นเงาและตรวจวัดค่าบางอย่างอย่างแม่นย�ำ
                                                                                ท�ำใหส้ รปุ ไดว้ ่ามคี นอยู่จรงิ

                                                                                     ความส�ำคัญของคล่ืนความโน้มถ่วงน้ันมีมากแค่ไหน  ลองคิด
                                                                                ดวู า่ แคเ่ หน็ เงากท็ ำ� ใหน้ กั วิทยาศาสตรไ์ ด้รบั รางวัลโนเบลแลว้

                                                                                     หกลาังร ๑ต รศวตจวพรบรษ

   แคเ่ หน็ เงา กไ็ ด้โนเบล                                                          การประกาศข่าวการค้นพบคล่ืนความโน้มถ่วง  ท�ำให้โลกรู้จัก
                                                                                ไลโก (LIGO) ท่ีคนส่วนใหญไ่ ม่เคยไดย้ ินชอื่ มาก่อนในชัว่ ข้ามคนื
     ใน  ค.ศ.  ๑๙๖๙  โจเซฟ  เวเบอร์  (Joseph  Weber)  แห่ง
มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ อ้างวา่ สามารถตรวจจบั คลืน่ ความโน้มถ่วง                        LIGO  คือชื่อย่อของ  Laser  Interferometer  Gravitational-
ด้วยอุปกรณ์ท่ีเขาออกแบบและสร้างเอง  ซึ่งท�ำจากอะลูมิเนียม                       Wave Observatory เปน็ เครอื่ งมอื ทส่ี รา้ งขน้ึ เพอื่ ตรวจจบั คลน่ื ความ
ลกั ษณะเปน็ ทรงกระบอกหลายชนั้  ยาว ๒ เมตร เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง                 โน้มถ่วงโดยตรง  ก่อตั้งโดยมีนักฟิสิกส์ระดับโลกผู้เชี่ยวชาญเร่ือง
๑  เมตร  และมีเสาตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง   อุปกรณ์นี้สั่นที่                   หลมุ ดำ�  คปิ  สตเี ฟน ทอรน์  (Kip Stephen Thorn) เปน็ หวั เรยี่ วหวั แรง
ความถเี่ รโซแนนซ ์ ๑,๖๖๐ เฮริ ตซ ์ และใชอ้ ปุ กรณต์ รวจจบั สญั ญาณ              ส�ำคัญในการผลักดัน  และได้รับการสนับสนุนงบประมาณหลักจาก
เพียโซอิเล็กทริก  (piezoelectric)  เพื่อตรวจจับความยาวของ                       NSF  ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการที่สุ่มเส่ียงต่อ
ทรงกระบอกท่ีเปลี่ยนไป   อย่างไรก็ดีนักฟิสิกส์คนอื่น ๆ  ท�ำซ้�ำไม่ได้            การสญู เปลา่ อยา่ งยง่ิ เพราะมีอุปสรรคเชงิ เทคนิคมากมาย
วงการฟสิ ิกสจ์ ึงไม่ยอมรับ
                                                                                     ปรากฏว่าเคร่ืองไลโกรุ่นแรกซ่ึงท�ำงานในช่วง  ค.ศ.  ๒๐๐๒-
     ต่อมาใน  ค.ศ.  ๑๙๗๔  นักดาราศาสตร์สองคน  คือ  รัสเซลล์                     ๒๐๑๐  ไม่สามารถตรวจพบสัญญาณคล่ืนความโน้มถ่วงใด ๆ  เลย
เอ.  ฮัลส์  (Russell  A.  Hulse)  และ  โจเซฟ  เอช.  เทย์เลอร์  จูเนียร์         แต่เมื่ออัปเกรดเครื่องให้มีความไวในการตรวจจับสูงขึ้น  เรียกว่า
(Joseph  H.  Taylor,  Jr.)  ได้ค้นพบระบบพัลซาร์คู่  PSR  1913+16                advanced  LIGO  หรือ  aLIGO  จึงตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงได้
(พลั ซารเ์ ปน็ ดาวนวิ ตรอนทปี่ ลอ่ ยคลน่ื วทิ ยอุ อกมาเปน็ ชว่ งสนั้  ๆ อยา่ ง  เป็นคร้ังแรกเมื่อวันท่ี  ๑๔  กันยายน  ค.ศ.  ๒๐๑๕  เวลา  ๐๙.๕๑  น.
สม่�ำเสมอ  เนื่องจากการหมุนรอบตัวเอง)   เม่ือทั้งสองวิเคราะห์                   UTC  ซึ่งเป็นช่วงท่ีเครื่อง  aLIGO  ยังอยู่ระหว่างการทดสอบเชิง
วงโคจรของระบบพัลซาร์คู่น้ีก็พบว่า  การเปล่ียนแปลงของคาบการ                      วิศวกรรม  (engineering  test  runs)  ก่อนจะเร่ิมการตรวจจับเชิง
โคจรตรงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอย่างน่าทึ่ง  ซึ่งท�ำนายไว้ว่า                   วิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ  (formal  science  observations)
ระบบพัลซาร์คู่ซึ่งเป็นดาวนิวตรอนสองดวงโคจรรอบกันและกัน                          ในอกี  ๔ วันตอ่ มา !
จะสูญเสียพลังงานในรูปคลื่นความโน้มถ่วง คาบการโคจรจึงค่อย ๆ
ส้นั ลงเน่ืองจากดาวนวิ ตรอนเคลือ่ นเขา้ ใกล้กนั มากขน้ึ                              แลว้ เทคนคิ การตรวจจบั คลนื่ ความโนม้ ถว่ งดว้ ยไลโกมหี ลกั การ
                                                                                อยา่ งไร ?
     หลังจากนั้นนักดาราศาสตร์คนอ่ืน ๆ  ได้ศึกษาการปลดปล่อย
คล่ืนวิทยุจากพัลซาร์อ่ืนและพบปรากฏการณ์เดียวกัน  หลักฐาน                             หลกั การโดยยอ่ คอื  การยงิ แสงเลเซอรไ์ ปยงั อปุ กรณแ์ ยกลำ� แสง
ทั้งหมดนี้ท�ำให้นักวิทยาศาสตร์ม่ันใจว่าคล่ืนความโน้มถ่วงมีจริง                  (beam  splitter)  ซ่ึงจะแยกล�ำแสงเป็นสองทิศทางต้ังฉากกัน
ส่วนฮัลส์และเทย์เลอร์ต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส ์ ประจ�ำ                 (เนื่องจากอวกาศยืด-หดในสองทิศทางตั้งฉากกัน  การตรวจจับ
ค.ศ. ๑๙๙๓                                                                       ระยะทางทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปจงึ ตอ้ งวดั สองทศิ ทางดว้ ย)  ลำ� แสงแตล่ ะ
                                                                                ล�ำจะเคลื่อนไปตามท่อสุญญากาศเป็นระยะทาง  ๔  กิโลเมตร  และ
                                                                                สะท้อนกลับหลายรอบ  จนในที่สุดจะมารวมกันอีกครั้งและตรวจจับ
                                                                                โดยอปุ กรณ์ตรวจจับแสง (light detector)

                                                                                     ในสภาวะปรกติซึ่งไม่มีคล่ืนความโน้มถ่วงเคล่ือนผ่าน ล�ำแสง
                                                                                ทั้งสองจะได้รับการปรับให้มีเฟสต่างกัน  ๑๘๐  องศา  (คลื่นหนึ่ง
                                                                                กระเพ่ือมขึ้น  อีกคลื่นกระเพ่ือมลง)  แสงที่มาพบกันจึงแทรกสอดกัน
                                                                                หกั ลา้ งกนั หมด (destructive interference) เปน็ เหตใุ หจ้ อรบั ภาพมดื

                                                                                มนี าคม ๒๕๕๙                                                               153
   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160