![]() |
![]() |
คำว่า "จิงโจ้" ในภาษาไทย
ใช้เรียกอะไรบ้าง .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๑๒๘-๑๓๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.......คำว่า "จิงโจ้" ในภาษาไทย
มีความหมายหลายอย่าง เช่นเรียก แมลงตัวลีบ
ขาหน้าสั้น ขาสองคู่หลังยาว เวลาวิ่งไปตามผิวน้ำ
จึงดูโย่งเย่ง มักเรียกกันว่า จิงโจ้น้ำ
อีกอย่างหนึ่ง เป็นสัตว์ขาหน้าสั้น ขาหลังยาว
กระโดดไปได้ไกลๆ ตัวเมียมีถุงที่หน้าท้อง
สำหรับใส่ลูก เรียกกันว่า แกงการู
(Kangaroo) มีมากในออสเตรเลีย ที่เรามาเรียกว่า
จิงโจ้ จะเป็นเพราะเห็น ขาสั้นยาวไม่เท่ากันแบบ
แมลงจิงโจ้ ที่เรารู้จักมาก่อน
หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ .....มีคำร้องของ เด็กสมัยโบราณอยู่บทหนึ่งว่า
.....จิงโจ้ในบทร้องนี้
จะมีรูปร่างอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่เมื่อ พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เขียนรูป
จิงโจ้โย้สำเภา ตามคำร้องเล่น ของเด็กไว้ด้วย
โดยเขียนเป็นรูป สัตว์ประหลาด หรือคนประหลาด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงอธิบายถึงรูปนี้ไว้ว่า
.....ความจริงในสมัยโบราณ คงมี นกชนิดหนึ่งชื่อ
จิงโจ้ เพราะมีกลอนว่า "กะลุมพู
จับกะล้อพ้อ จิงโจ้ จับจิงจ้อ แล้วส่งเสียง"
ช่างเขียน คงนึกรูปร่างจิงโจ้ไม่ออก
แต่เมื่อมาโย้สำเภา ก็ต้องมีมือแบบคน
แต่ชื่อเป็นนกจิงโจ้ จึงทำตีนเป็นนก .....ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หัดพวกโขลนขึ้นเป็นทหาร แต่งตัวเสื้อแดง กางเกงแดง เสื้อมีชายยาวถึงเข่า หมวกแก๊ปสูง ในพระราชนิพนธ์ โคลงดั้น เรื่อง โสกันต์ ได้กล่าวถึงทหารจิงโจ้ว่า
......พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รับสั่งเรียกทหารหญิงครั้งนั้นว่า จิงโจ้
และได้เรียกต่อมาอีกนาน คำสั่งที่ใช้ บอกทหาร
ก็แปลกกว่าทหารอื่นๆ คือแทนที่จะใช้ว่า
วันทิยาวุธ ก็บอกว่า "จิงโจ้กัด"
ดังที่กล่าวไว้ใน โคลงบาทสุดท้ายข้างต้น
และแทนที่จะใช้ คำว่า บ่าอาวุธ ก็ใช้ว่า "จิงโจ้หยุด"
และแทนที่จะ บอกว่า เรียบอาวุธ ก็สั่งว่า "จิงโจ้นอน"
ดังนี้เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
"ขวัญ" ของคนอยู่ที่ไหน และดูเหมือน
ไม่เฉพาะแต่คนเท่านั้น ที่มีขวัญ สัตว์
และสิ่งอื่นๆ ก็มีขวัญด้วย ใช่หรือไม่ .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๑๑๖-๑๑๘ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......ขวัญของคนอยู่ที่ไหน
ไม่มีใครตอบได้ชัดเจน แต่ตามที่เข้าใจกัน
เชื่อว่าขวัญอยู่ที่ศรีษะ
เพราะจะอยู่ที่ส่วนอื่น ก็ไม่เหมาะ
ถ้าจะมีอีกแห่งหนึ่ง ก็ตรงทรวงอก ซึ่งจะเห็น
เวลาเด็กตกใจ ผู้ใหญ่จะเอามือ ลูบศรีษะ
หรือตบที่อกเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า ขวัญเอ๊ย
อยู่กับเนื้อกับตัว อาการที่
ขวัญออกจากตัวไปนั้น มีคำเรียกอยู่หลายคำ เช่น
ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญบิน และขวัญหนีดีฝ่อ หรือ
ขวัญแขวน ......ขวัญของไทย จะมีรูปร่างอย่างไร ไม่ทราบ แต่ขวัญของลาว มีรูปเป็น จิ้งหรีด, ขวัญของพม่า เรียกว่า เล็บบยา (Leip-bya แต่อ่านเป็น Layk-pyah) แปลว่า ผีเสื้อ, เซมังกัด หรือ ขวัญของมลายู มีรูปเป็น นกตัวเล็กๆ , เปิงคเมา ขวัญของมอญ ไม่ทราบรูปร่าง, ขวัญของเขมร เรียกว่า ประลึง ไม่ทราบรูปร่าง อีกเหมือนกัน ......ขวัญ นอกจากจะอยู่ในคนแล้ว ยังมีอยู่ในสัตว์ ที่คนเคยใช้ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต อย่างอื่น เช่น เสาเรือน เรือ เกวียน ข้าวเปลือก ฯลฯ ก็มีขวัญ เพราะมีประเพณีกล่าวถึง คำทำขวัญ เรียกขวัญ เป็นหลักฐานอยู่ ......เรื่องขวัญ เขียนอธิบายยาก จะขอยกคำอธิบายในหนังสือ ขวัญและประเพณีการทำขวัญ ของ "เสถียรโกเศศ" ซึ่งเปรียบ เจตภูติ กับ ขวัญ ไว้ดังต่อไปนี้ ......"เจตภูตนั้น
มีลักษณะอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับขวัญ คือ
ไม่มีแต่หนึ่งเท่านั้น ตามคติของชาวบ้านว่า
เจตภูต มีอยู่สี่ด้วยกัน
เมื่อคนเจ็บไข้มีอาการหนัก เข้าขั้นตรีทูต
คือบอกลักษณะว่า จะไม่รอด ก็แสดงว่า เจตภูต
ออกไปจากตัวแล้วสาม ยังคงเหลืออยู่
อีกหนึ่งเท่านั้น
ถ้าที่ยังเหลือนี้ออกไปเมื่อใด
คนไข้นั้นก็จะตาย..." |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
เหตุใดในวัดพระแก้ว
จึงมีรูปปั้นยักษ์มากมาย .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๘๕-๘๗ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......วัดในกรุงเทพฯ
ที่ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีหลายวัด เช่น วัดพระเชตุพน
วิมลมังคลาราม ก็ตกแต่ง ประดับประดา
ตามแบบจีน มีตุ๊กตาจีน เป็นต้น ส่วนวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(วัดพระแก้ว) มีภาพจิตรกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ตามระเบียงรอบ
ถ้าจะเป็นรูปปั้นอย่างอื่น คงไม่เหมาะ
จึงเอาตัวเอกในเรื่อง รามเกียรติ์
โดยเฉพาะยักษ์ มาปั้นให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ......อีกประการหนึ่ง ตามตำนานพระแก้วมรกต กล่าวว่า เมื่อพระนาคเสนะเถระ จะสร้างพระพุทธรูปด้วยรัตนะ พระอินทร์ จึงอาสา และให้ พระวิสสุกรรม ไปนำแก้วมณีสีขาวนวลมาจาก ภูเขาวิบุลบรรพต แต่พวกกุมภัณฑ์ ที่เฝ้าอยู่ไม่ยอมให้ พระอินทร์ ต้องเสด็จไปเอง พวกกุมภัณฑ์ก็ขอร้องว่า อย่าเอาแก้วมณีโชติ ซึ่งเป็นของ พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ประเสริฐนี้ไปเลย เอาแก้วอมรโกฏสีเขียว ไปแทนเถิด พระอินทร์จำต้องรับเอา แก้วอมรโกฏ มาถวายพระนาคเสนะเถระ พระวิสสุกรรม ได้แปลงร่างเป็นช่าง มารับทำ พระแก้วอมรโกฏ จนสำเร็จ ......ด้วยเหตุที่แก้วอมรโกฏ เคยมีพวกกุมภัณฑ์ พิทักษ์รักษามาก่อน เมื่อมาเป็นพระพุทธรูปแล้ว ก็ควรจะมีบรรดา กุมภัณฑ์ พิทักษ์รักษาเช่นเดิม ฉะนั้นจึงได้สร้างรูปยักษ์ ยืนเรียงรายหันหน้าเข้าหา พระอุโบสถ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งมีทั้งหมดหกคู่ด้วยกันคือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
โจงกระเบน
เกี่ยวอะไรกับปลากระเบนหรือไม่ .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๓๓-๓๔ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......การนุ่งผ้าแบบโบราณ ที่เรียกว่า
นุ่งโจงกระเบนนั้น ไม่เกี่ยวกับปลากระเบน
เพียงแต่ เอาลักษณะ หางของปลากระเบน
มาใช้เรียกเท่านั้น ......วิธีนุ่งผ้าโจงกระเบน ให้เอาผ้าโอบทางด้านหลัง จับชายผ้าให้ปลายเสมอกัน แล้วจึงขมวดชายพกให้แน่น เหมือนนุ่งผ้าขาวม้า ถ้าไม่ไว้ใจ กลัวจะหลุด ก็คาดเข็มขัดไว้ ต่อจากนั้น จึงรวบชายผ้าทั้งสอง เข้ามาทบกัน แล้วม้วนให้กลมเรียว ซึ่งเราเรียกส่วนนี้ว่า หางกระเบน สอดหางกระเบน ลอดหว่างขา เอาปลายหางกระเบน ไปเหน็บไว้กับ ขอบผ้านุ่งด้านหลัง ซึ่งต่อมา เราเรียกส่วนนั้นของร่างกายว่า กระเบนเหน็บ ......ถ้าเรามองจากด้านหลัง จะเห็นว่า ส่วนล่างของหางกระเบนนั้นแผ่ออก แล้วเรียวแหลมขึ้นไป ลักษณะคล้ายหางกระเบน ด้วยเหตุนี้ จึงได้เรียการนุ่งผ้าแบบนี้ว่า โจงกระเบน (โจง ก็คือ โยงเอาหางกระเบนขึ้นไป เหน็บไว้ที่สะเอวนั่นเอง) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
ผ้าม่วง... เหตุใดจึงเรียก "ม่วง"
ทั้งที่ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน หรือสีกรมท่า .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๓๔ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......เรื่องนี้ค้นกันมานานแล้ว
ยังหาข้อยุติไม่ได้ สมัยที่ข้าราชการ
นุ่งผ้าโจงกระเบน ก็เรียกผ้านุ่งนั้นว่า ผ้าม่วง ไม่ว่าสีอะไร
แต่ที่นุ่งสีน้ำเงิน ดูเหมือนจะมีมากกว่าสีอื่น
เคยสันนิษฐานกันว่า แต่เดิม จะมีเฉพาะสีม่วง
จึงได้เรียกกันว่า ผ้าม่วง แต่ก็มีผู้แย้งว่า คำ
"ม่วง" อาจจะเป็นภาษาอื่น
ที่ไม่ได้หมายถึงสีก็ได้ ......ขุนวิจิตรมาตรา ได้กล่าวถึง ผ้านุ่งของคนไทยไว้ว่า ผ้านุ่ง ถ้าทอด้วยไหมเรียกว่า ผ้าไหม และผ้าไหมนี้ ถ้าทอให้มีลายดอกต่างๆ ทั้งผืนเรียกว่า ผ้าปูน แต่ถ้าเป็นผ้าเกลี้ยงๆ เรียกว่า "ผ้าม่วง" ถ้าทอให้มีเชิงที่ริมผ้า เป็นลายต่างๆ เรียกว่า "ม่วงเชิง" ......ถ้าเป็นดังกล่าวข้างต้น ผ้าม่วงก็คือ ผ้าไหมที่ไม่มีลาย ไม่มีดอกนั่นเอง แต่สาเหตุที่เรียกว่า "ม่วง" ไม่มีคำอธิบาย (ดูเรื่อง "ข้าราชการสมัยก่อน มีเครื่องแบบหรือไม่" ประกอบด้วย) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
เด็กไทยสมัยก่อน ที่เรียนหนังสือกับพระ
เรียนวิชาอะไรบ้าง .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๓๕-๓๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() ......นอกจากเรียนหนังสือแล้ว ยังได้รับการสั่งสอนเรื่อง กิริยา มารยาท การพูดจา เพราะเด็กผู้ชายจะอยู่ที่วัด หรือไปกลับก็ตาม จะต้องคอยปรนนิบัติพระ เช่น ประเคนอาหาร ต้มน้ำชงชา ตำหมาก จนถึงบีบนวด เพราะพระที่สอนส่วนมาก จะมีอายุมากแล้ว ต้องรู้จัก หุงอาหารกินเอง ทำความสะอาดกุฏิที่อยู่ ก่อนนอนก็ต้อง สวดมนต์ไหว้พระ ......สรุปว่า การเรียนหนังสือกับพระ สมัยก่อน ได้ทั้งวิชาหนังสือ และความประพฤติที่ดีไปด้วย ......ที่มาของภาพ Twentieth Century Impression of Siam, Arnold Wright editor |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
กระดานชนวนสมัยโบราณเป็นอย่างไร .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๔๑-๔๒ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......เมื่อพูดถึงกระดานชนวน
ส่วนมากจะนึกถึง แผ่นหินชนวนสีดำ
เพราะยังมีให้เห็นอยู่ ส่วนกระดานชนวน
ทำด้วยไม้หายไป พระยาศรีสุนทรโวหาร
(น้อย) ได้อธิบายไว้ว่า
กระดานที่ใช้เขียน มีสองอย่าง สำหรับ
นักเรียนชั้นแรกหัดเขียน ก ข เรียกว่า กระดานดำ
ทำด้วยไม้กระดานกว้างประมาณ ๑ คืบ ยาวประมาณ ๒-๓
ศอก หนาราว ๒ กระเบียด ด้านที่ใช้เขียนหนังสือ
ไสกบ จนเกลี้ยงเรียบ ทาด้วย เขม่าหม้อ กับน้ำข้าว
ผึ่งแดดให้แห้ง เมื่อจะลบตัวหนังสือ
ที่เขียนด้วยดินสอขาว ใช้น้ำลบทำให้ กระดานเปียก
ฉะนั้นจึงต้องหยุด ตากกระดาน ให้แห้งเสียก่อน
แล้วจึงเรียนต่อไป เด็กที่ขี้เกียจเรียน
จะแกล้งเอาน้ำ ลบมากๆ กระดานจะได้แห้งช้า
มีที่สังเกตว่า กระดานของเด็กที่ขี้เกียจ
สีดำจะจางเร็ว จนเห็นเนื้อกระดาน เรียกว่า กระดานแดง ......กระดานชนวน อีกชนิดหนึ่ง สำหรับนักเรียนชั้น ๓ ทำด้วย ไม้ทองหลาง หรือไม้งิ้ว ทำให้เป็นแผ่นกระดาน กว้างศอก ยาวศอกคืบ ที่ต้องใช้ไม้ดังกล่าว ก็เพื่อจะให้ ทารัก ติดแน่นดี (ขี้รัก ผสม ขี้เถ้าใบตองแห้ง เรียกว่า สมุก ทาให้เป็นสีดำ) ต่อจากนั้น ใช้ผงกระเบื้องถ้วยที่ป่นละเอียด คลุกกับน้ำรัก ทาฉาบอีกครั้งหนึ่ง ให้เรียบเสมอกัน แล้วขัดเงาด้วยหิน หรือเมล็ดสะบ้า เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ก็ทำกรอบ ......ดินสอที่ใช้เขียนกับ กระดานชนวน ใช้ดินสอพอง คือเอาดินสอพองแช่น้ำให้เปียก หรือโขลกให้แหลก พรมน้ำพอให้ปั้นได้ ทำเป็นแท่ง ขนาดหัวแม่มือ ยาวไม่เกินคืบ ด้วยเหตุที่ ดินสอพองถูกน้ำแล้วเหนียว จึงต้องคั้นน้ำใบตำลึง พรมที่กระดาน สำหรับปั้นดินสอเสียก่อน ไม่เช่นนั้น ดินสอพองก็จะเหนียว ติดมือ ปั้นยาก เสร็จแล้วตากให้แห้ง ก็ใช้เขียนได้ ......ตำรา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
ข้าราชการสมัยก่อน มีเครื่องแบบหรือไม่ .......ร้อยแปดเรื่องไทย, "ส.พลายน้อย", ตุลาคม ๒๕๔๑, หน้า ๖๖-๖๗ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
......ข้าราชการสมัยโบราณ
ไม่มีเครื่องแบบ บางสมัยไม่สวมเสื้อด้วยซ้ำ
ถ้าจะมีที่สังเกตว่า เป็นขุนนางข้าราชการ
บางทีจะสังเกตได้ที่ ผ้านุ่ง คือนุ่งผ้าสมปัก
แต่โดยมาก จะนุ่งเฉพาะเวลาเข้าเฝ้า
ถ้าอยู่ตามธรรมดา ก็นุ่งผ้าพื้น ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มหาดเล็กหลวง
หัดเป็นทหาร พระราชทานเครื่องแบบ ให้แต่งตัว
และเมื่อมีเครื่องแบบ
สำหรับแต่งตัวทหารมหาดเล็กขึ้นแล้ว
ทรงพระราชดำริให้มี เครื่องแบบสำหรับ
ฝ่ายพลเรือน แต่งเข้าเฝ้าในเวลาปรกติด้วย ......สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึง การแต่งกายของ ขุนนางในสมัยแรก ไว้ดังต่อไปนี้ "ให้แต่งใส่เสื้อแพรสีต่างกัน ตามกระทรวง คือเจ้านาย สีไพล, ขุนนางกระทรวงมหาดไทย สีเขียวแก่, กลาโหม สีลูกหว้า, กรมท่า (กระทรวงการต่างประเทศ) สีน้ำเงินแก่ (จึงเกิดเรียกสีนั้นว่า สีกรมท่า มาจนทุกวันนี้), มหาดเล็ก สีเหล็ก (อย่างเดียวกับ เสื้อแบบทหารมหาดเล็ก), อาลักษณ์ กับโหร สีขาว ......รูปเสื้อ แบบพลเรือนครั้งนั้นเรียกว่า เสื้อปีก เป็นเสื้อปิดคอ มีชาย (คล้ายเสื้อติวนิค แต่ชายสั้น) คาดเข็มขัดนอกเสื้อ, เจ้านาย ทรงเข็มขัดทอง, ขุนนาง คาดเข็มขัดหนังสีเหลือง หัวเข็มขัดมีตราพระเกี้ยว นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน แทนสมปัก แต่เครื่องแบบพลเรือนนี้ ไม่ได้บัญญัติให้ใช้ทั่วกันไป เป็นแต่ใครได้พระราชทาน ก็แต่ง ที่ไม่ได้พระราชทาน ก็คงแต่งตัวอย่างเดิม คือใส่เสื้อกระบอกผ้าขาว, เจ้านายทรงผ้าม่วงโจงกระเบน คาดแพรแถบ, ขุนนาง นุ่งสมปักชักพก คาดผ้ากราบ แต่เครื่องแบบพลเรือนที่ว่านี้ ใช้มาเพียงปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๕ พอเสด็จกลับจากอินเดีย ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น" ......ในสมัยนั้น การใช้เสื้อผ้าพระราชทาน ต้องระวังกันมาก ถ้าไม่มีแต่งเข้าเฝ้า ก็ถือว่าเสียหาย ฉะนั้นจึงต้องระวัง ไม่จำเป็นก็ไม่ใช้นุ่ง เพราะเกรงจะเก่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Click here to visit the Website
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]
สงวนสิทธิ์ ตามกฏหมาย
CopyRight. All rights reserved.