รินใจ
ภาพประกอบ : อ้อย กาญจนะวณิชย์
singh
เมื่อ ๕๐ ปีก่อน พม่าและฟิลิปปินส์เคยถูกจับตามองว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวต่อไปของเอเชีย ตะวันออกตามหลังญี่ปุ่น แต่ทุกวันนี้ความฝันนั้นก็ยังเลือนราง  สิบปีต่อมาบราซิลได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในบรรดา ประเทศกำลังพัฒนา แต่แล้วก็กลับอับแสงลงไป  จวบจนเมื่อ ๓๕ ปีมานี้เอง ซีไอเอยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตอาจล้ำหน้าสหรัฐอเมริกาใน ทศวรรษต่อไปด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง ๒ ทศวรรษ สหภาพโซเวียตก็หายไปจากแผนที่โลก

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญผู้มากด้วยข้อมูลและ ประสบการณ์ แต่ก็เช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย นักปราชญ์ย่อมพลาดพลั้งได้เสมอ  ในขณะที่โลกจับตามองพม่า ฟิลิปปินส์ และบราซิลนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือไต้หวันจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรุดหน้าทางเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้  แม้แต่ลีกวนยิวเอง เมื่อแรกเป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ก็ยังยอมรับว่าเพียงแค่การนำประเทศให้ ไปรอดได้ก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง เพราะทั้งเกาะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่จะส่งออกเลย แถมคนว่างงานก็มีสูงถึง ๑๔ เปอร์เซ็นต์  ส่วนเกาหลีใต้ก็เต็มไปด้วยคนยากจน คนหิวโหยมีมากมายเพราะบ้านเมืองเพิ่งฟื้นจากสงคราม ขณะที่การเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายระส่ำระสาย

การคาดการณ์อนาคตนั้นแม้จะออกมาจากมันสมองของผู้เชี่ยวชาญก็มีโอกาสผิด ได้ เสมอ เพราะนอกจากมนุษย์จะมีขีดจำกัดในการรับรู้และวิเคราะห์แล้ว อนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีเหตุปัจจัยต่างๆ ที่พร้อมจะผันแปรได้ตลอดเวลา  ดังนั้นการคาดการณ์ที่เป็นบวกอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นลบ ในทำนองเดียวกันการคาดการณ์ที่เป็นลบอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นบวกได้

เมื่อ ๒๐ ปีก่อนน้อยคนจะคาดคิดว่าอินเดียจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจที่มาแรงอย่างยิ่ง เป็นรองก็แต่จีนเท่านั้น จนถึงวันนี้อินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องเกือบ ๒ ทศวรรษแล้ว บางคนถึงกับคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียจะสูงกว่าจีนใน อีก ๓ ปีข้างหน้า ธุรกิจของอินเดียที่ติดอันดับโลกมีมากมาย รวมทั้งบริษัทเหล็กกล้าใหญ่ที่สุดในโลก แม้แต่รถยี่ห้อดังเช่นจากัวร์หรือแลนด์โรเวอร์ก็กลายเป็นของบริษัทอินเดีย ชื่อทาทาไปแล้ว

ย้อนหลังไปเมื่อปี ๒๕๓๔ อินเดียไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจที่น่าเกรงขามอย่างทุกวันนี้เลย ตรงกันข้ามบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เศรษฐกิจของอินเดียกำลังย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤต ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลือน้อยมากพอจ่ายหนี้และสินค้านำเข้าได้เพียง ๒ สัปดาห์เท่านั้น  เพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจของอินเดียพังครืน รัฐบาลต้องสาละวนกับการกู้ยืมเงินเพื่อจ่ายหนี้วันต่อวัน แม้หันไปพึ่งเงินกู้ไอเอ็มเอฟก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก ดูเหมือนวันที่อินเดียประกาศพักชำระหนี้กำลังจะมาถึง

นี้คือสถานการณ์ที่ มันโมฮัน ซิงห์ ต้องเผชิญตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาล ชุดใหม่  ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เขารู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง เขารายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรีว่า “เรากำลังใกล้ล้มละลาย”

ไม่มีเพื่อนคนใดเห็นด้วยที่ซิงห์รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพราะเป็นการ เปลือง ตัวเปล่าๆ  พวกเขาเห็นว่าเศรษฐกิจของอินเดียเลวร้ายเกินกว่าที่เขาจะเยียวยาได้  หลายคนทำนายว่าภายใน ๖ เดือนเขาจะถูกปลดจากตำแหน่งและกลายเป็นแพะที่ต้องรับบาปจากความล้มเหลวของ รัฐบาล ชื่อเสียงเขาจะต้องด่างพร้อยจากงานนี้อย่างแน่นอน

ใช่แต่เพื่อนของซิงห์เท่านั้น ผู้รู้และนักสังเกตการณ์ทั้งหลายก็ไม่หวังในตัวเขา ต่างลงความเห็นว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้  บ้างก็ว่าเขาเป็น “เทคโนแครตที่ไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “ข้าราชการที่ไร้หน้าค่าตา”  แม้ทุกคนจะยอมรับในความเป็นคนดีของเขา แต่ไม่มีใครเห็นว่าเขาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ซิงห์เองยอมรับว่าตนไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลม ทั้งรู้ดีว่าโอกาสที่ตนเองจะล้มเหลวนั้นมีสูง แต่เขาพร้อมจะเปลืองตัว  เขาให้เหตุผลที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังว่า “หากผมล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ใครเล่าจะล้มเหลวหากอินเดียได้รับชัยชนะ”

ซิงห์เห็นว่าแม้สถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ใช่จะไร้ความหวัง โอกาสที่จะแก้ไขยังมีอยู่ แต่นั่นหมายความว่าจะต้องใช้ “ยาแรง” ในขณะที่ใครๆ พากันหมดหวัง เขามองว่าวิกฤตขณะนั้นเป็น “โอกาสที่จะสร้างอินเดียใหม่ โอกาสที่จะทำสิ่งที่หลายคนก่อนหน้านี้เคยคิดและพูดว่าควรทำแต่กลับ
ไม่ได้ทำ”

ไม่กี่วันหลังจากรับตำแหน่ง ซิงห์เรียกประชุมข้าราชการระดับสูงจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและตอกย้ำถึงความจำเป็นต้องปฏิรูประบบ เศรษฐกิจของอินเดียอย่างเร่งด่วนเพื่อกู้วิกฤต โดยเฉพาะการลดบทบาทของรัฐและการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาหลาย ทศวรรษ ซึ่งอาจต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางต่อต้านจากกลุ่มการเมืองต่างๆ  ดังนั้นหากข้าราชการคนใดไม่เห็นด้วยกับแผนปฏิรูปของเขา ก็ขอให้บอกเขาทันที จะได้ย้ายให้ไปทำงานใหม่ที่เหมาะสม  เขาจบการประชุมด้วยการขอร้องว่า “ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

มาตรการเร่งด่วนอย่างแรกที่ซิงห์นำมาใช้คือลดค่าเงินรูปีถึงร้อยละ ๒๐ ซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกมีราคาถูกลง สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น  จากนั้นก็ตามมาด้วยการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนสินค้าส่งออก ซึ่งช่วยลดรายจ่ายของรัฐไปได้มาก แต่ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก็คือการผ่อนคลายการควบคุมของรัฐ มาตรการหลังนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะรัฐได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ กิจการแทบทุกอย่างและทุกขั้นตอนของเอกชนต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ไม่เว้นแม้แต่การผลิตสินค้าตัวใหม่ การนำเข้าอุปกรณ์ หรือการปลดคนงาน ในอดีตความพยายามใดๆ ที่จะลดอำนาจการควบคุมของรัฐมักถูกต่อต้านจากนักการเมืองและข้าราชการ แต่เมื่อบ้านเมืองใกล้ถึงจุดวิกฤต ซิงห์รู้ดีว่านี้คือโอกาสที่ผู้คนพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างหากจะช่วย ให้ผ่านพ้นวิกฤตนั้นได้

ซิงห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ต้องเจอแรงต่อต้านมากมายโดยเฉพาะจากนักการเมืองอย่างที่คาดไว้ แต่เขาก็สามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้  แม้บุคลิกของเขาจะนุ่มนวลแต่คำเตือนของเขานั้นรุนแรงหนักแน่น  หากไม่มีการปฏิรูป อินเดียจะประสบหายนะ เขาเรียกร้องการเสียสละจากทุกฝ่าย  ความซื่อสัตย์และความสุภาพของเขาเป็นแรงดึงดูดผู้คนหลายฝ่ายให้มาร่วมมือกัน ขับเคลื่อนการปฏิรูป

ภายในเวลาไม่ถึง ๒ ปี เศรษฐกิจของอินเดียก็ฟื้นตัว อุตสาหกรรมที่รัฐเคยผูกขาดหลังจากเปิดให้เอกชนมาลงทุน ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียพุ่งพรวด  ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มเป็น ๑๒ เท่าตัวในเวลาไม่ถึง ๓ ปี

ห้าปีในฐานะรัฐมนตรีคลัง ซิงห์นำความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจขนานใหญ่มาสู่อินเดีย  การปฏิรูปของเขาได้ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์และผลิตภาพของอินเดียออกมาอย่าง ที่ไม่เคยมีมาก่อน เปิดโอกาสให้ธุรกิจของอินเดียก้าวสู่เวทีระดับโลกและมีบทบาทอย่างสูงในยุค โลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่ทำให้อินเดียกลายเป็นศูนย์กลางด้านการให้บริการทางธุรกิจแก่บริษัทชั้นนำ ทั่วโลก

ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๙ ปีที่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่านักเศรษฐศาสตร์และอดีตข้าราชการที่จับพลัดจับผลูมาเป็น รัฐมนตรีคลังอย่าง มันโมฮัน ซิงห์ จะสามารถนำอินเดียผ่านพ้นวิกฤตมาได้  อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่เป็นรากฐานให้อินเดียเจริญ เติบโตอย่างต่อเนื่องร่วม ๒ ทศวรรษ จนผู้รู้บางคนเรียกว่าเป็น “ปาฏิหาริย์” ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของโลก  แต่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ซิงห์ก็เป็นคนเดิมที่ถ่อมตัว  “ผมเป็นคนตัวเล็กที่ถูกดึงให้มานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่” เขาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ “ผมคิดว่า ไม่ว่าผมได้ทำอะไรไป ผมหวังว่าผมจะได้มีชื่ออยู่ในเชิงอรรถของประวัติศาสตร์อันยาวนานและ ทุรกันดารของอินเดีย”

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ  ในที่สุดเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดียถึงสองครั้งสอง ครา และได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชีย”  ขณะที่นิตยสาร นิวสวีก คัดเลือกเขาเป็น ๑ ใน ๑๐ ผู้นำโลกที่ได้รับความเคารพอีกทั้งเป็น “ผู้นำที่ผู้นำคนอื่นรัก”

การปฏิรูปบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิด การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบ่อยครั้งเกิดขึ้นในยามที่ผู้คนสิ้นหวัง แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของผู้รู้ก็สามารถเป็นจริงได้ในที่สุด  สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ก็ได้  ดังนั้น แม้ใครต่อใครจะท้อแท้หมดหวัง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะสิ้นศรัทธาในอนาคต  แม้ใครต่อใครจะไม่มั่นใจในตัวเรา นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหมดศรัทธาในตนเอง ขอเพียงแต่ใช้ปัญญาและวิริยะอย่างถึงที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยมุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวมยิ่งกว่าตนเอง  สักวันหนึ่งผลแห่งธรรมดังกล่าวย่อมปรากฏอย่างไม่ต้องสงสัย

ตีพิมพ์ใน : นิตยสาร สารคดี ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๓๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓