ผู้คนรุมซื้อสินค้าลดราคาที่ตลาดกิมหยง หาดใหญ่
ภายหลังระดับน้ำลดจนเป็นปรกติ
สินค้าเปียกน้ำจำพวกเสื้อผ้าวางขายทอดตลาด
เต็มสองข้างทาง ถนนสายเศรษฐกิจในเมือง
เจ้าของร้านยอมลดราคาอย่างไม่กลัวขาดทุน
บ้านดอนคัน ต.คูขุด อ.สทิงพระ พื้นที่รอบนอกของ จ.สงขลา
สวนตาล-นาข้าว จมอยู่ใต้น้ำนานนับเดือน ชาวบ้านต้องใช้เรือในการสัญจร
๔
ใช่แต่ภาคใต้ของไทยที่ประสบความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม จังหวัดส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และบางจังหวัดในภาคเหนือ ล้วนประสบภัยน้ำท่วมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นับจากสัปดาห์ที่ ๓ ของเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าฤดูฝนของไทยมาถึงแล้ว ในพื้นที่ครึ่งซีกบนของประเทศอาจเรียกได้ว่าเผชิญภาวะน้ำท่วม “ปรกติ” ไม่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด หากแต่ไม่กี่เดือนผ่านไปสถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นอุทกภัยครั้ง ร้ายแรงที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง และกินระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า ๒-๓ เดือน
เริ่มตั้งแต่สิงหาคม เมื่ออิทธิพลของลมพายุ “มินดอลเล” ที่ก่อตัวบริเวณอ่าวตังเกี๋ย เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลให้กระแสลมตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลางของ ไทย ร่วมกับมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางมีฝนตกหนัก กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศวันที่ ๑๒ สิงหาคม ขอให้ประชาชนใน จ. เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก เพชรบูรณ์ เลย จันทบุรี และตราด ระวังอันตรายจากน้ำท่วม
ที่ จ. เชียงใหม่ หลังมีฝนตกติดต่อกัน ๓ วัน รุ่งเช้าวันที่ ๑๓ สิงหาคม กระแสน้ำจากดอยสุเทพไหลบ่าเข้าท่วม อ. หางดง ส่งผลให้ถนนถูกตัดขาดต้องปิดเส้นทางการสัญจร ตลอดจนถนนหลายสายใน อ. เมืองเชียงใหม่ อาทิ ถ. ข่วงสิงห์ สุเทพ ห้วยแก้ว ถนนสายหางดงขาออก ประสบภาวะน้ำท่วมขัง ต้องระบายน้ำลงคูเมืองเพื่อไหลลงสู่แม่น้ำปิง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้าน อ. หางดงคนหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมกล่าวแสดงความไม่พอใจการทำงาน ของเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยเห็นว่าไม่มีการเตรียมรับมือเสียแต่เนิ่นๆ “ปีนี้เทศบาลไม่ทำอะไร รู้ว่าฝนมาแต่ไม่ได้เตรียมขุดลอกคูคลองไว้ ปล่อยให้ขยะ ถุงพลาสติกเต็มเมือง ที่น้ำท่วมสูงก็เพราะมีถุงไปอุดท่อระบายน้ำ” (ข่าวสด ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๓)
ปลายเดือนสิงหาคม อิทธิพลของลมพายุมินดอลเลทำให้หลายจังหวัดในภาคเหนือมีฝนตกต่อเนื่อง กรมป้องกันสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงานสถานการณ์วันที่ ๒๔-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ว่ามีพื้นที่ประสบภัย ๑๗ จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดทางภาคเหนือ
ย่างเข้าเดือนกันยายน สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย เมื่อน้ำไหลลงสู่พื้นที่ต่ำกว่า ทางภาคเหนือตอนล่าง-ภาคกลางตอนบน ตลอดจนพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง จ. สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก ระดับน้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรริมฝั่ง เสียหาย เช่นเดียวกับ จ. สระบุรี นครนายก ลพบุรี ที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
ที่ จ. พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำน้อย เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน สาเหตุสำคัญเกิดจากเขื่อนต่าง ๆ ที่สร้างกั้นแม่น้ำเร่งระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน เมื่อมีฝนตกอย่างต่อเนื่องจนระดับน้ำในเขื่อนเข้าขั้นวิกฤตจนต้องปล่อยน้ำ ได้แก่ เขื่อนเจ้าพระยา จ. ชัยนาท ปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ. ลพบุรี และเขื่อนพระรามหก จ. พระนครศรีอยุธยา ปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำป่าสัก ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำที่กล่าวมาข้างต้นรวมทั้งแม่น้ำสาขาเพิ่มสูงขึ้นไม่ ต่ำกว่า ๓๐ เซนติเมตร ที่ อ. ท่าเรือ พื้นที่ที่แม่น้ำป่าสักไหลผ่านประสบภาวะน้ำท่วมทั้งอำเภอ ระดับน้ำสูงสุดถึง ๓ เมตร
เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ. พระนครศรีอยุธยา ขยายคลุมพื้นที่ลุ่มสองฝั่งแม่น้ำ โบราณสถานสำคัญมีน้ำท่วมขัง อาทิ หมู่บ้านโปรตุเกส วัดมเหยงค์ วัดไชยวัฒนาราม เวลาต่อมาสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสรุปจำนวนวัดที่ประสบ อุทกภัยในพื้นที่ว่ามีถึง ๕๐๕ วัด ขณะที่ในภาคอีสานอิทธิพลจากพายุมินดอลเลส่งผลให้ จ. นครราชสีมามีฝนตกหนักมาตั้งแต่วันที่ ๓-๔ กันยายน เกิดน้ำท่วมขังในตัวเมืองเนื่องจากระบายน้ำไม่ทัน อีกราว ๒ สัปดาห์ถัดมา ฝนตกหนักที่โคราชอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงแสนสาหัส น้ำป่าหลากเข้าท่วม ๑๔ อำเภอ
ที่ อ. เมืองนครราชสีมา กลางดึกคืนวันที่ ๑๗ ตุลาคม ระดับน้ำในคลองส่งน้ำลำตะคองซึ่งไหลผ่านตัวเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจน เอ่อล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนริมลำน้ำตลอดทั้งสาย แม้แต่ด้านหลังโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลใหญ่ขนาด ๑,๓๐๐ เตียง ก็ประสบภาวะน้ำท่วมสูงกว่า ๑ เมตร ต้องปิดให้บริการและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเล เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเซนต์แมรี่ที่กำแพงกั้นน้ำของโรงพยาบาลไม่อาจต้านทาน แรงน้ำและพังทลายจนน้ำไหลเข้าท่วมโรงพยาบาล รถยนต์นับร้อยคันถูกน้ำท่วมจมมิดหลังคา
ที่ อ. ปักธงชัย นับเป็นพื้นที่ประสบภัยร้ายแรงที่สุดของโคราช ชุมชนชัยมงคลและชุมชนตลาดเก่าได้รับความเสียหายมากที่สุด สภาพบ้านเรือนช่วงปลายตุลาคมไม่ต่างกับ “เมืองร้าง” กลางกระแสน้ำเชี่ยว
กระแสน้ำยังพัดพาความหวังและความสุขหายไปกับสายน้ำ ยายส้ม เทียมคำ ชาวบ้านชุมชนชัยมงคล เล่าว่า “น้ำท่วมครั้งนี้เป็นครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่ยายอาศัยอยู่ที่นี่ มันเพิ่งมีในประวัติศาสตร์ เมื่อก่อนน้ำท่วมอย่างมากก็แค่ระดับอก แต่คราวนี้ท่วมถึงหลังคา หลังจากอพยพไปอยู่ที่อื่นนาน ๔-๕ วัน วันนี้ยายตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ก็พบว่าน้ำยังไม่ลดลง” (KCTV ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓)
นครราชสีมา จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด มีประชากรมากเป็นอันดับ ๒ ของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคอีสาน และทั้งที่ตัวเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช หลายคนจึงเกิดคำถามว่า เหตุใดน้ำจึงท่วมเมืองโคราชอย่างหนักหนาและเนิ่นนาน
ดร. รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร อธิบายว่า “ปัจจัยที่ทำให้น้ำท่วมเมืองโคราชเกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักสะสม เฉลี่ยวันละมากกว่า ๑๐๐ มิลลิเมตร โดยฝนที่ตกลงมามีสาเหตุจากความแปรปรวนของร่องฝนบวกกับอิทธิพลของปรากฏการณ์ ‘ลานีญา’ ซึ่งทำให้อุณหภูมิของผิวน้ำทะเลมีค่าต่ำกว่าปรกติ เข้าปะทะกับลมเย็นจากฝั่งอันดามัน ขณะเดียวกันมีการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำของโคราชไม่ว่าลำตะคองหรือลำพระเพลิง เป็นจุดอ่อนทำให้พื้นที่ไม่สามารถเก็บกักน้ำเอาไว้ได้” (ข่าวสด ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓)
ขณะที่ ผศ. ดร. ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ชี้ว่า “แม้โคราชจะตั้งอยู่บนที่ราบสูง แต่ความเป็นจริงพื้นที่ถูกน้ำท่วมในทางภูมิศาสตร์เป็น ‘พื้นที่ราบน้ำท่วมถึง’ หรือ ‘Flood Plain’ ซึ่งมักอยู่ใกล้กับลำน้ำ คิดเป็นร้อยละ ๖.๓ ของทั้งจังหวัด ขณะที่พื้นที่โคราชอีกร้อยละ ๙๓.๗ ไม่ได้มีปัญหาน้ำท่วมขังแต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตาม ผศ. ดร. ประเทืองยังกล่าวถึงสาเหตุสำคัญของปัญหาอุทกภัยในพื้นที่โคราชว่าไม่ได้มา จากปรากฏการณ์ธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบกับการก่อสร้างสิ่งกีดขวางเส้นทางน้ำไหล การตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบน้ำท่วมถึง หรือพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม การขาดการบำรุงรักษาหรือขุดลอกทางระบายน้ำจนตื้นเขิน การละเลยไม่บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง กระทั่งการรุกล้ำลำตะคองและลำพระเพลิงจากความเฟื่องฟูของธุรกิจโรงแรม
ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) วิเคราะห์เหตุการณ์น้ำท่วมไทยปี ๒๕๕๓ ว่า “เหตุอุทกภัย
ในปีนี้ตัวเลขปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยอาจไม่ต่างจากปรกตินัก คืออยู่ที่ประมาณ ๒,๐๐๐ มิลลิเมตร หากแต่เป็น ๒,๐๐๐ มิลลิเมตรที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพายุเท่านั้น แต่เกิดจากร่องมรสุมที่แช่ตัวอยู่นานจนเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อน เพราะโดยปรกติเมื่อเกิดร่องมรสุมแล้ว ร่องมรสุมก็จะเคลื่อนตัวผ่านไปด้วยความเร็วราว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อวัน หากแต่ตัวอย่างที่โคราชพบว่าร่องมรสุมถูก ‘ล็อก’ ด้วยความกดอากาศต่ำ ๒ หย่อม คือจากอ่าวเบงกอลและมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้เมฆฝนไม่เคลื่อนที่ แช่ตัวอยู่นานนับสิบวันกระทั่งเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโคราช ซึ่งสาเหตุเป็นไปได้ทั้งจากวัฏจักรธรรมชาติหรือเกิดจากภาวะโลกร้อน”
สำหรับการวางแผนแก้ปัญหา ดร. อานนท์เชื่อว่าการวิเคราะห์พื้นที่น้ำท่วมครั้งนี้มีความสำคัญมาก “เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้ว่าสภาพพื้นที่น้ำท่วมจริงเป็นอย่างไร ข้อมูลเรื่องความสูงต่ำของพื้นที่ไม่มีความละเอียดพอเพราะส่วนใหญ่ไม่ได้มา จากการลงพื้นที่จริง สิ่งที่เราเห็นบนกระดาษว่าเป็นแนวราบเหมือนกระจก แท้จริงจึงอาจมีร่องบุ๋มให้น้ำขัง ยกตัวอย่างพื้นที่ต่ำเพียง ๑๐ เซนติเมตร แต่หากมีความยาวถึง ๑๐๐ กิโลเมตรก็สามารถเกิดน้ำท่วมได้เช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการวิเคราะห์สถานการณ์ว่าหากฝนตกหนักน้ำจะท่วม อย่างไร และจะทำให้เรารู้วิธีจัดการความเสี่ยงได้
“…ในอนาคตเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับน้ำ ต้องคิดว่าน้ำเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไล่มันออกไป การใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันตัวเองยังไม่พอ แต่ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่าพยายามเอาชนะโดยไม่คิดจะปรับตัวเข้าหา” (เว็บไซต์ไทยโพสต์ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓)
๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคมถึงปัจจุบันว่ามีจังหวัดประสบเหตุอุทกภัยทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๗,๐๓๘,๒๔๘ คน เสียชีวิต ๑๘๐ ราย พื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย ๗,๗๘๔,๓๖๘ ไร่ ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้วทุกจังหวัดและกำลังอยู่ระหว่างฟื้นฟู
ส่วนพื้นที่ภาคใต้ เหตุอุทกภัยตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายนถึงปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ ๑๒ จังหวัด มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๑,๙๓๒,๔๐๕ คน เสียชีวิต ๗๘ ราย ปัจจุบันมี ๒ จังหวัดที่ยังคงประสบเหตุอยู่คือสุราษฎร์ธานีและพัทลุง
เหตุอุทกภัย ๒๕๕๓ ครอบคลุมพื้นที่ ๕๑ จังหวัด คิดเป็น ๒ ใน ๓ ของทั้งประเทศ ไม่เพียงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า แต่ยังสร้างความตกตะลึงให้คนไทยทั้งประเทศ การรายงานสถานการณ์-ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน ไปกว่าการค้นหาสาเหตุ ตามหาต้นตอของปัญหา เพื่อค้นหาแนวทางป้องกันอุทกภัยในอนาคต
เพราะความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้น มนุษย์มีส่วนรับผิดชอบและต้องร่วมกันรับ
ขอขอบคุณ : คุณบารมี เต็มบุญเกียรติ คุณวันชัย พุทธทอง