๔
น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ส่งผลอย่างไรต่อ “ห่วงโซ่เศรษฐกิจ”
เรื่อง : สุเจน กรรพฤทธิ์
ปริมาณน้ำกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรไหลทะลักลงสู่ ที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง เป็นอุทกภัยครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำลายนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดถึง ๗ แห่งในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี อันถือเป็น “ห่วงโซ่เศรษฐกิจ” ข้อใหญ่ที่นำรายได้เข้าประเทศ
นิคมอุตสาหกรรมซึ่งส่วนมากตั้งอยู่ในที่ลุ่มต่ำ ถูกมวลน้ำเข้าโจมตีตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔
“นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร” พื้นที่ ๑,๔๔๑ ไร่ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นแห่งแรกที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ภายในนิคมฯ มีน้ำท่วมสูง ๒.๙๕ เมตร ที่นี่มีโรงงานขนาดใหญ่ ๔๙ โรง โรงงานขนาดเล็กอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่านิคมอุตสาหกรรมนี้จะฟื้นตัวได้ช้าที่สุด เนื่องจากระบบระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ
จุดที่ ๒ ซึ่งถูกน้ำโจมตีคือ “เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ” พื้นที่ ๑๒,๐๐๐ ไร่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่าการลงทุน ๑.๗ แสนล้านบาท ภายมีโรงงาน ๑๙๘ โรง ส่วนใหญ่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และประกอบรถยนต์ มีโรงงาน/ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกตั้งอยู่ อาทิ ฮอนด้า (ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น) นิคอน และแคนนอน (ผลิตกล้องถ่ายรูป เลนส์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง) ซันโย (ผลิตชิ้นส่วนไอซีใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
น้ำทะลักเข้าท่วมนิคมฯ นี้ตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างคันกั้นน้ำป้องกันอย่างเต็มที่ คาดว่าโรงงานหลายโรงอาจต้องใช้เวลากว่า ๖ เดือนเพื่อฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพเหมือนก่อนเกิดเหตุน้ำท่วม
จุดที่ ๓ และจุดที่ ๔ คือ “นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค)” และ “นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน” อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นิคมฯ ๒ แห่งนี้มีมูลค่าการลงทุนรวม ๑.๒๕ แสนล้านบาท มีโรงงานทั้งสิ้น ๒๓๓ โรง ส่วนใหญ่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยาง และพลาสติก ที่สำคัญคือโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD)
ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ น้ำเริ่มทะลักเข้าท่วมนิคมฯ ทั้งสองอย่างรวดเร็ว คาดว่าทั้งสองแห่งจะกลับสู่ภาวะปรกติได้ใน ๑-๒ เดือน
จุดที่ ๕ “เขตประกอบการอุตสาหกรรมแฟคตอรี่แลนด์” พื้นที่ ๑๓๐ ไร่ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่าการลงทุน ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท ภายในมีโรงงาน ๙๙ โรง ส่วนมากผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก และยารักษาโรค
น้ำเข้าโจมตีนิคมฯ นี้ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ คาดว่าจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดเนื่องจากส่วนใหญ่ในนิคมฯ นี้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) มีเครื่องจักรน้อย ความเสียหายจึงมีไม่มาก
จุดที่ ๖ “นิคมอุตสาหกรรมนวนคร” อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มูลค่าการลงทุน ๑.๘ แสนล้านบาท ภายในมีโรงงาน ๒๒๗ โรง น้ำทะลักเข้าท่วมนิคมฯ ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ แม้รัฐบาลจะระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรจำนวนมากทำแนวป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงน้ำได้
จุดสุดท้าย “สวนอุตสาหกรรมบางกะดี” จังหวัดปทุมธานี มูลค่าการลงทุน ๑.๕ แสนล้านบาท ภายในมีโรงงาน ๔๗ โรง มีโรงงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เช่น โซนี่ โตชิบา พื้นที่ทั้งหมดของนิคมฯ จมอยู่ใต้น้ำตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
นิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งมีมูลค่าการลงทุนรวมกันถึง ๖๔๕,๗๕๔ ล้านบาท จากเหตุอุทกภัย โรงงานอุตสาหกรรมถึง ๔๕๐ โรงจาก ๘๙๙ โรงในนิคมฯ ต้องปิดตัวอย่างไม่มีกำหนด
หลายคนอาจไม่ทราบว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์และสถานที่ประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ป้อนตลาดโลกเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ ๕๐ ซึ่งโรงงานผลิตสินค้าเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมทั้งสิ้น
ห่วงโซ่การผลิตที่ขาดสะบั้น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดการขาดแคลนชิ้นส่วนและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทั่วโลก และกำลังการผลิตรถยนต์ของตลาดโลกลดลงถึงร้อยละ ๓๐
ผลกระทบยังส่งถึงนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองนอกเขตพื้นที่น้ำท่วม โดยเฉพาะโรงงานประกอบรถยนต์ต้องลดกำลังการผลิตลง ด้วยชิ้นส่วนและอะไหล่ส่วนหนึ่งของโรงงานล้วนมาจากนิคมอุตสาหกรรมที่จมน้ำ
น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมครั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นได้รับความเสียหายมากที่สุด คาดว่ามีถึง ๔๖๐ กลุ่มบริษัท ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่าทีของรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นชัดเจนยิ่งว่าต้องการช่วยเหลือรัฐบาลไทยและนักลงทุนของตนอย่างเต็มที่
รัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบเงิน ๑,๐๐๐ ล้านเยน (๔๐๐ ล้านบาท) ให้ความร่วมมือทางการเงินแบบให้เปล่า และให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC)
โคอิชิโร่ เกมบะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เสนอความช่วยเหลือทุกด้านและขอให้รัฐบาลไทยช่วยยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องจักรที่จะมาทดแทนส่วนเสียหายและให้บริษัทของญี่ปุ่นกลับมาผลิตได้เร็วที่สุด
ส่วนผลกระทบต่อนักลงทุนในประเทศ คาดว่าเมื่อรวมโรงงานอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมฯ มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ โรงใน ๒๙ จังหวัด และธุรกิจ SMEs ไม่ต่ำกว่า ๒๒๐,๐๐๐ ราย
อย่างไรก็ตาม คนอีกกลุ่มซึ่งเดือดร้อนที่สุด คือผู้ใช้แรงงาน
จากเหตุการณ์นี้มีแรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบกว่า ๔.๘๖ แสนคนใน ๓๒ จังหวัด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานระบุว่า ณ วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ มีแรงงานถูกเลิกจ้างแล้ว ๕,๓๓๐ คน (กรุงเทพธุรกิจ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) และยังประเมินว่าอาจมีภาวะว่างงานแฝง (ลูกจ้างนอกระบบ) อีกถึง ๖-๗ แสนคน ซึ่งจะก่อปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมา
ทั้งนี้เมื่อมองภาพรวมความเสียหายของประเทศไทย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่ามูลค่าทั้งหมดอาจสูงถึง ๓.๔ แสนล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวถึงต้นปีหน้า
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า GDP ปีนี้จะหายไป ๑.๑ เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลไทย คือการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น) ว่าการบริหารจัดการน้ำจะได้รับการปรับปรุง น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายแก่ภาคอุตสาหกรรมจะไม่เกิดขึ้นอีก การฟื้นฟูภาคการผลิตต่างๆ จะทำได้อย่างรวดเร็ว ฯลฯ
โดยเฉพาะโจทย์สำคัญที่สุด คือ รัฐบาลจะดูแลแรงงานที่ตกงานกะทันหันได้มากน้อยเพียงใด เพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทางสังคมอื่นๆ ตามมา