๕
น้ำท่วม “อู่ข้าวอู่น้ำ” ส่งผลอย่างไรต่อ “ความมั่นคงทางอาหาร”
เรื่อง : วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ธนาคารโลกได้ประเมินคาดการณ์ว่า ประชากร ๔๔ ล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นผู้มีฐานะยากจนอันเป็นผลกระทบจากราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นถึง ๔๐๐ %
สยามประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ดินแดนด้ามขวานทองอันอุดมสมบูรณ์แห่งเอเชีย ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับวิกฤตการณ์อาหารที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ววันนี้ โดยเฉพาะมหาอุทกภัยครั้งนี้ทำให้พื้นที่กว่า ๓๐ จังหวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกต้องจมอยู่ใต้น้ำ ผลผลิตข้าวสูญไปถึง ๑ ใน ๓ ของพื้นที่เพาะปลูกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ๒๕-๓๐ % (กรุงเทพธุรกิจ ๒๙ พ.ย.๒๕๕๔)
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินผลกระทบภาคเกษตรกรรมจากน้ำท่วม ตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึง ๑๗ พ.ย. ๒๕๕๔ ว่าพื้นที่การเกษตรใน ๖๘ จังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับผลกระทบ ๑๑.๔๘ ล้านไร่ มูลค่าความเสียหาย ๗๖,๖๗๓ ล้านบาท แบ่งเป็นพืชผลเสียหาย ๑๑.๑๙ ล้านไร่ โดยเฉพาะข้าวเสียหายมากที่สุด ๙.๑๘ ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่ารวม ๖๖,๔๒๐ ล้านบาท ด้านประมงเสียหาย ๒๓๐,๙๐๖ ไร่ มูลค่า ๔,๗๗๙ ล้านบาท และด้านปศุสัตว์ ๒๘.๗๔ ล้านตัว มูลค่า ๕,๔๗๔ ล้านบาท คาดว่าจะทำให้ GDP ภาคเกษตรปีนี้ลดลง ๓.๘๔ % (ไทยรัฐ ๒๐ ธ.ค.๒๕๕๔)
ประเด็นเรื่อง “ความมั่นคงทางอาหาร” กลายเป็นวาระเร่งด่วนระดับภูมิภาค ดังในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๙ ที่บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ย. ที่ผ่านมา บรรดาผู้นำอาเซียนต่างเห็นพ้องกันว่าอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อภาคการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก จนนำไปสู่ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน +๓ ในแถลงการณ์ว่าด้วยความร่วมมือในด้านการป้องกันอุทกภัย การลดผลกระทบ การบรรเทา การฟื้นฟู และการบูรณะ (คมชัดลึก ๑๘ ธ.ค.๒๕๕๔)
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าพื้นที่เกษตรได้กลายเป็นพื้นที่รองรับมวลน้ำมหาศาลแทนพื้นที่อุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพฯ ดังที่ กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “ความเป็นธรรมในการจัดการน้ำท่วม : มิติความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม” เมื่อ ๒๒ พ.ย.๒๕๕๔ ไว้ว่า
“นโยบายการจัดสรรน้ำที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าภาคเกษตรถูกละเลยมาตลอด ภาคเมือง ภาคอุตสาหกรรมมาก่อน แต่พอจัดสรรน้ำท่วม พื้นที่รับน้ำท่วมกลับเป็นภาคเกษตรในที่ราบลุ่มภาคกลางที่จะต้องรับน้ำก่อน ถัดมาคือชานเมือง ซึ่งถือเป็นแหล่งกินของคนกรุงเทพฯ ทั้งผักหญ้าทั้งเรือกสวนเต็มไปหมด การจัดสรรน้ำจึงชัดเจนว่าเราเอาภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ทุกอย่างมากองอยู่ตรงปากอ่าวไทย แล้วสร้างเขื่อนล้อมตัวเองเอาน้ำไปให้ภาคเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศนี้”
นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ “สภาวะหนี้สินถาวร” ของเกษตรกร อุทกภัยที่รุนแรง ยาวนานและยืดเยื้อในหลายจังหวัด ทำให้เกษตรกรรายย่อยกว่า ๒ ล้านคนได้รับความเดือดร้อน ไม่อาจเข้าถึงการเยียวยาช่วยเหลือได้ทันท่วงที หรือเลวร้ายกว่านั้นกรณีเกษตรพันธสัญญาที่เกษตรกรรายย่อยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบรรษัทธุรกิจการเกษตร และแม้ว่าราคาข้าวและพืชอาหารจะสูงขึ้น แต่รายได้ของเกษตรกรกลับสวนทางรังแต่จะลดลงเนื่องจากผลผลิตได้รับความเสียหายทั้งหมด
“น้ำท่วมคราวนี้พืชผักตายเกลี้ยงแบบสูญพันธุ์ ชาวนาต้องเจอกับนาล่มเพราะเกี่ยวไม่ทันเนื่องจากน้ำมาเร็ว มามากผิดปรกติ สวนมะม่วงที่ลงทุนไร่ละราว ๒ หมื่นบาท ใช้เวลาอย่างน้อย ๔-๕ ปี เสียหายทั้งหมด นาบัวที่คลองโยง เจ้าของไม่อาจเก็บดอกบัวขายได้เพราะน้ำลึกเกินบัวไม่ออกดอก พวกเขาจึงขาดรายได้ไป ๒-๓ เดือน นอกจากไม้เศรษฐกิจ ยังมีความเสียหายจาก ‘ไม้แดก ไม้ดอก’ ที่ต้องจมน้ำทั้งหมด ทั้งตะไคร้ ขิง ข่า พริก มะนาว ฯลฯ” ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นความเสียหายในภาคเกษตร
ภาระหนี้สินและความเดือดร้อนของเกษตรกรอาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่เราคาดคิด วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มเกษตรกรรายย่อยในภาคกลางซึ่งส่วนใหญ่มีภาระหนี้สินและได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนมือที่ดินไปสู่การครอบครองของกลุ่มนายทุนที่เตรียมกว้านซื้อหรือเช่าที่ดินเกษตรกรรมได้ (ไทยโพสต์ ๒๐ ต.ค.๒๕๕๔)
ด้วยเหตุนี้การฟื้นฟูภาคเกษตรจึงจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบด้าน ในเวทีสัมมนา “การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและเกษตรกรรายย่อย” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อวันที่ ๗ ธ.ค.๒๕๕๔ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จำแนกให้เห็นความเสียหายภาคเกษตรกรรมว่ามี ๓ ลักษณะ คือ
๑. ความเสียหายของผลผลิตและทรัพย์สิน เช่น ผลผลิตข้าวที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวต้องจมน้ำ ปลาในบ่อเลี้ยงไปกับกระแสน้ำ รวมถึงความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สินเพื่อการเกษตร เช่น เมล็ดพันธุ์ อุปกรณ์ทางการเกษตร ฯลฯ
๒. ความสูญเสียโอกาสอันเนื่องมาจากอุทกภัย เนื่องจากเกษตรกรไม่อาจทำการผลิตได้ช่วงอุทกภัย รวมถึงหลังอุทกภัยจนกว่าจะฟื้นฟูขึ้นใหม่ เช่น ไม่อาจทำนารอบใหม่ได้จนกว่าน้ำจะลด หรือชาวสวนต้องรอจนกว่าไม้ผลรอบใหม่จะให้ผลผลิตอีกครั้ง
๓. ความสูญเสียที่ตามมาหากไม่อาจฟื้นฟูหรือฟื้นฟูได้ช้า โดยหากไม่สามารถฟื้นฟูการผลิตได้รวดเร็วพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เกษตรกรต้องตกอยู่ในภาวะหนี้สินที่มากขึ้น และอาจนำมาสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น ขายที่ดินเพื่อชำระหนี้สิน เป็นต้น
พร้อมกับเสนอว่า “การช่วยเหลือชดเชยและฟื้นฟูครัวเรือนเกษตรกรเป็นสิ่งสำคัญ ภาครัฐควรสร้างระบบความรับผิดชอบต่อผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ รวมถึงสร้างกลไกการจัดเก็บภาษีน้ำท่วม โดยนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป้องกันอุทกภัยเป็นพิเศษ ผ่านภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาสังคม โดยนำภาษีส่วนหนึ่งเป็นค่าเบี้ยประกันสำหรับการประกันภัยพืชผลของเกษตรกร”
มหาอุทกภัยครั้งนี้ยังทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ที่ประชาชนแห่กักตุนสินค้าเพราะไม่มั่นใจในความมั่นคงทางอาหารของประเทศ อันนำมาสู่ปัญหาขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ลุกลามไปถึงจังหวัดที่ไม่ถูกน้ำท่วม เช่น ชลบุรี นครราชสีมา บวกกับการคมนาคมที่ไม่สะดวกในการกระจายสินค้า กระทั่งรัฐบาลตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการประกาศอนุญาตให้นำเข้าน้ำดื่มบรรจุขวด ไข่ไก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง อาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์นม และสินค้าพื้นฐานอีกหลายรายการ เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนตามคำร้องขอของโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ อาจเป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นว่าบ้านเรายังไม่มีระบบบริหารจัดการด้านความมั่นคงทางอาหารรองรับ และยังสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าประเภทอาหารตกอยู่ในมือผู้ผลิตอาหารรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และผูกขาดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่
“บ้านเรามีปัญหาเรื่องการกระจายอาหารอย่างรุนแรง แล้วปัญหานี้ได้สะท้อนให้เห็นชัดในวิกฤตน้ำท่วม ว่าเราได้วางโครงสร้างการกระจายอาหารไว้กับ ๖ บริษัทยักษ์ใหญ่และคอนวีเนียนสโตร์อย่างน้อย ๑ เจ้า เราได้ฝากระบบการกระจายอาหารไว้ที่นั่น พอมันล้มเพราะน้ำท่วมก็เลยช็อก และช็อร์ต มันจึงเกิด supply ฝืดเคือง พอถึงเวลาฉุกเฉินเราฝากความหวังกับมันไว้ไม่ได้เลย แต่เราพบว่าถ้าโชห่วยยังทำงานได้อยู่ ระบบการกระจายอาหารขนาดเล็กก็จะทำหน้าที่ของมันได้อยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ” กิ่งกรกล่าวทิ้งท้าย
ดังนั้นในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต ไบโอไทยจึงเสนอให้มีการจัดตั้งระบบการสำรองอาหารอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ ครัวเรือน ชุมชน และประเทศ เพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉินเมื่อเกิดภัยพิบัติ
ขณะที่ เพ็ชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เสนอแนวคิดจัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลด้านอาหารระดับประเทศ (โพสต์ทูเดย์ ๑๖ พ.ย. ๒๕๕๔) เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานอาหาร ทั้งหน่วยงานรัฐ สมาคมผู้ผลิต สถานประกอบการ เกษตรกร ผู้ค้าปลีก ผู้กระจายสินค้า และนักวิชาการ ได้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อลดความตื่นตระหนกอันนำไปสู่การกักตุนสินค้าซ้ำเติมวิกฤตเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้อาจเป็นโจทย์ใหญ่เพื่อรับมือกับวิกฤตอาหารในอนาคตของเมืองอู่ข่าวอู่น้ำนี้