7question05

มวลน้ำมหาศาลจะส่งผลกระทบต่ออ่าวไทยอย่างไร

เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล

เมื่อวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เดินทางเข้าสู่ที่ราบลุ่มภาคกลางช่วงปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ทัพหน้าของมวลน้ำก็เริ่มทยอยไหลลงสู่อ่าวไทย และเริ่มมีรายงานข่าวว่าระบบนิเวศชายฝั่งได้รับผลกระทบ  ปลาและสัตว์น้ำนานาชนิดบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง ลอยคอขึ้นมาหายใจรวยรินและตายเกลื่อน

เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร น้ำท่วมใหญ่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งอย่างไร

พื้นที่ริมทะเลอ่าวไทยตอนในซึ่งรู้จักกันในนามอ่าวไทยรูปตัว ก ประกอบด้วยชายฝั่งตั้งแต่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี สิ้นสุดที่ตอนเหนือของประจวบคีรีขันธ์  คิดเป็นพื้นที่รวมกันราว ๑๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมกัน  อ่าวนี้มีลักษณะเกือบเป็นอ่าวปิด  เคยมีการศึกษาว่าหากทิ้งถุงพลาสติกลงไปจะหมุนเวียนอยู่ในอ่าวไทยรูปตัว ก นาน ๔๙ วันจึงหลุดออกสู่ทะเลเปิดด้านนอก

แม้สิ่งมีชีวิตนานาชนิดและระบบนิเวศชายฝั่งจะปรับตัวเพื่อรับสภาพมวลน้ำจืดไหลลงทะเลมากกว่าปรกติมานานนับร้อยนับพันปี เพราะน้ำบ่าลักษณะนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก  ทว่าสิ่งที่มวลสรรพชีวิตต้องพานพบในครั้งนี้ เทียบกับอดีตแล้วแตกต่าง ด้วยมวลน้ำจืดไหลลงมามากที่สุดในรอบ ๕๐ ปี อีกทั้งยังพัดพาสิ่งแปลกปลอมจากเมืองลงมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นขยะ สารเคมีจากโรงงาน ตลอดจนน้ำเน่าเสีย

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่าตามปรกติ น้ำทะเลของอ่าวไทยมีค่าความเค็มหรือเกลือละลายอยู่ประมาณร้อยละ ๓.๕ ขณะที่น้ำกร่อยและน้ำจืดมีค่าความเค็มประมาณร้อยละ ๐-๒.๕ และ ๐ ตามลำดับ  เมื่อเกิดปรากฏการณ์น้ำจืดไหลลงมามากกว่าปรกติ  จึงทำให้ค่าความเค็มนี้เปลี่ยนแปลง เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “น้ำเบียด” เช่นพื้นที่ซึ่งเคยมีค่าความเค็มร้อยละ ๐.๕ อาจลดลงเหลือร้อยละ ๐ คือกลายเป็นน้ำจืด  สัตว์น้ำ ปะการัง รวมทั้งระบบนิเวศที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงจึงย่อมได้รับผลกระทบ

ขณะเดียวกันน้ำจืดจากบนแผ่นดินยังพัดพาเอาสารอาหารลงมา ซึ่งหากมีปริมาณอยู่ในระดับพอดีย่อมช่วยให้ทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่หากมีปริมาณมากเกินไปกลับจะทำให้แพลงก์ตอนพืชและสัตว์เพิ่มขึ้น เกิดปรากฏการณ์ “ขี้ปลาวาฬ” ที่ทำให้สัตว์ทะเลล้มตายจากภาวะออกซิเจนในน้ำลดลงหรือจากพิษของแพลงก์ตอนบางชนิด

สัตว์ทะเลที่ได้รับผลกระทบแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ไม่อาจหลบหนีไปอยู่ถิ่นอื่นได้ เช่น ลูกสัตว์น้ำ ปูเสฉวน ซึ่งต้องอาศัยอยู่ริมฝั่ง ไม่ต่างจากสัตว์น้ำที่ถูกเลี้ยงไว้ในกระชัง รวมถึงหอยหลอดที่ดอนหอยหลอดซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบาง ไม่มีป่าชายเลน หากรับน้ำจืดปริมาณมากอาจทำให้หอยหลอดแม่พันธุ์ตาย ต้องรอวัฏจักรอีกนานกว่าหอยหลอดจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม

อีกกลุ่มคือสัตว์ทะเลที่หลบไปถิ่นอื่นได้ เช่น ฝูงปลาทู กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย  พวกมันจะอพยพหนีน้ำจืดและน้ำเสียลงทางใต้  คนเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์จึงน่าจะจับสัตว์น้ำได้มากขึ้น สวนทางกับประมงพื้นบ้านจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร ที่ต้องพบกับความยากลำบาก  สัตว์น้ำกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบ แต่ไม่ถึงกับสูญพันธุ์ หลังจากธรรมชาติใช้เวลาเยียวยาตัวเอง พวกมันก็น่าจะกลับคืนสู่ถิ่นเดิม

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายงานภาพรวมของระบบนิเวศในอ่าวไทยรูปตัว ก ว่าเมื่อถึงช่วงปลายปี ลมตะวันออกเฉียงเหนือจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น พัดพาให้กระแสน้ำในอ่าวไทยตอนในไหลทวนเข็มนาฬิกา  มวลน้ำจืดที่ไหลลงทะเลจะเคลื่อนไปทางจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี เป็นพื้นที่ซึ่งมวลน้ำจืดจะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำในธรรมชาติและสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้เป็นลำดับต่อไป  ส่วนพื้นที่ชายฝั่งชลบุรีน่าจะปลอดภัยเพราะมีน้ำทะเลจากอ่าวไทยตอนนอกไหลเข้ามา

บางส่วนของผลกระทบต่อระบบนิเวศ (จากรายงานข่าว)

โพสต์ทูเดย์  ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

สัมพันธ์ พวงทองดี ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงหอยแมลงภู่ฝั่งตะวันออก แม่น้ำท่าจีน กล่าวว่าขณะนี้หอยแมลงภู่ที่เลี้ยงไว้ในแปลงเพาะเลี้ยงตายหมด หลายคนลงทุนไปนับแสนบาทต้องหมดเนื้อหมดตัว จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาเยียวยาใดๆ

“ถ้าน้ำยังท่วมขังนานเป็นเดือนๆ แล้วทยอยปล่อยลงทะเล พวกเราลำบากแน่ เพราะน้ำที่ไหลลงมาเป็นน้ำเสียและเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลมากมายจนสัตว์น้ำอยู่ไม่ได้ จริงๆ แล้วรัฐบาลควรหาวิธีแก้ตั้งแต่ต้นทาง หน่วยงานในท้องถิ่นและทุกบ้านเรือนควรเก็บขยะไม่ให้ลอยในน้ำ ควรจะต้องบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำ  โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมควรบำบัดน้ำจริงๆ ไม่ใช่แอบปล่อยน้ำเสีย ชายทะเลแห่งนี้ถือเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนเมือง”

ไทยโพสต์  ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน หัวหน้ากลุ่มวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจแนวปะการังที่เกาะค้างคาว ท้ายเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี พบว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจากมวลน้ำจืดมหาศาลที่ไหลลงทะเล

“ตั้งแต่วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ผลสำรวจที่สถานีศึกษาเกาะค้างคาวพบปะการังดอกกะหล่ำฟอกขาว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ปะการังเขากวางฟอกขาว ๙๘ เปอร์เซ็นต์ ปะการังโขด ๕๒ เปอร์เซ็นต์ เป็นผลกระทบจากมวลน้ำจืด เมื่อปะการังเจอน้ำค่าความเค็มและออกซิเจนละลายต่ำจะฟอกขาว สาหร่ายในเนื้อเยื่อหายไป และยังพบเม่นทะเลหนามดำตาย ๔๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นการตายหมู่ที่เกาะค้างคาว”

นักวิจัยยังกล่าวว่าหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ถี่ขึ้น จะทำให้แนวปะการังฟื้นตัวไม่ทัน ต่างกับการฟอกขาวจากอุณหภูมิน้ำทะเลผิดปรกติที่เกิดขึ้นทุก ๕-๑๐ ปี ทำให้ปะการังมีเวลาพักมากกว่า