๗
โมเดล “วันนี้ -วันหน้า” เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรต่อไป
เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
หลังผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ลำดับต่อไปมิใช่เพียงเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ เยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย แต่ยังเป็นการเฟ้นหาวิธีป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มภาคกลางและกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน
ความจริงแผนงานแก้ปัญหาน้ำท่วมประเทศไทยอย่างบูรณาการและยั่งยืนมีมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ในสารคดีพิเศษเรื่อง “น้ำท่วมไทย พ.ศ. ๒๕๓๘” หัวข้อ “ระบบป้องกันน้ำท่วม (ในอุดมคติ)” ตีพิมพ์ใน สารคดี ฉบับที่ ๑๓๐ เดือนธันวาคม ๒๕๓๘ ตอนหนึ่งยังกล่าวว่า
“ที่ผ่านมามีความพยายามคิดแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ อยู่หลายวิธี เช่น การขุดแม่น้ำเจ้าพระยา ๒ ผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังแม่น้ำที่ขุดใหม่ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาวะน้ำท่วมกรุงเทพฯ หรือการคิดสร้างประตูน้ำขนาดใหญ่กั้นปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไม่ให้น้ำทะเลหนุน และกันไม่ให้น้ำเค็มไหลเข้าแม่น้ำยามน้ำทะเลขึ้น”
และ
“…เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. ๒๕๓๘ จะมีผลผลักดันให้เกิดระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างถาวรขึ้นหรือไม่ การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างถาวรเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ (โดยละเลยการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมในจังหวัดใกล้เคียง) จะช่วยให้กรุงเทพฯ รอดพ้นการเป็นเมืองใต้บาดาลในอนาคตหรือไม่ บางทีคำตอบอาจยัง ‘จมอยู่ใต้น้ำ’ ก็เป็นได้”
จากปี ๒๕๓๘ ถึง ๒๕๕๔ ผ่านมา ๑๖ ปี แนวทางป้องกันน้ำท่วมบางวิธีถูกหยิบขึ้นมาปฏิบัติจริง ขณะที่บางวิธียังอยู่เพียงระดับความคิด และบางวิธีก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นไปตามหวังไว้ อาทิ ความพยายามป้องกันกรุงเทพฯ เพียงจังหวัดเดียว เป็นต้น
ภายหลังน้ำลดจึงมีข้อเสนอเรื่องการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มภาคกลางและกรุงเทพฯ จำนวนมาก ไม่ว่าจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ หรือองค์กรเอกชน ซึ่งอาจจัดกลุ่มได้เป็น ๓ แนวทาง ดังนี้
แนวทางระยะสั้น ทำได้ทันทีหรือใช้เวลา ๑-๒ ปี อาทิ การขุดลอกคูคลอง ปรับปรุงพนังกั้นน้ำ ปรับปรุงประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ
แนวทางระยะกลาง ใช้เวลา ๓-๕ ปี อาทิ พัฒนาพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแก้มลิง ปรับปรุงคลองบางแก้ว-แม่น้ำลพบุรี ปรับปรุงคลองชัยนาท-ป่าสัก ขุดช่องลัดแม่น้ำท่าจีนและสร้างประตูระบายน้ำเพิ่ม
แนวทางระยะยาว ใช้เวลามากกว่า ๕ ปี อาทิ การสร้างมอเตอร์เวย์น้ำหรือเส้นทางด่วนพิเศษน้ำท่วมไหลหลาก การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ เป็นต้น
ชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาในประเทศด้านแหล่งน้ำและพลังงาน (ทีมกรุ๊ป) หนึ่งในผู้เสนอให้มีมอเตอร์เวย์น้ำเล่าว่า
“เรามีความจำเป็นต้องหาวิธีเร่งระบายน้ำในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างและกรุงเทพฯ นอกเหนือจากระบายน้ำผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีน ในอดีตมีการศึกษาเรื่องการสร้างฟลัดเวย์หรือเส้นทางน้ำหลากแบบธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่กว้าง ๒-๕ กิโลเมตร เพื่อระบายน้ำจากอยุธยาผ่านมาทางทุ่งรังสิต หนองเสือ ทุ่งด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ลงสู่ทะเล แต่ปัจจุบันสภาพการใช้ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปมาก มีสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ การสร้างทางน้ำหลากในพื้นที่บริเวณกว้างจึงทำได้ยากขึ้นและทางน้ำอาจคดเคี้ยวเนื่องจากต้องหลบหลีกสิ่งปลูกสร้าง
“จึงเสนอให้มีการสร้างมอเตอร์เวย์น้ำเป็นคลองกว้าง ๑๘๐ เมตร ลึก ๘ เมตร มีประตูควบคุมน้ำที่บางปะอินและท้ายน้ำ ระบายน้ำได้ ๑,๑๕๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สร้างคู่ขนานไปกับถนนวงแหวนรอบที่ ๓ เมื่อบูรณาการร่วมกับแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีนจะสามารถระบายน้ำจากตอนเหนือและลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ ๕๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน”
ขณะที่ ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอทางแก้ไขน้ำท่วมแบบบูรณาการหลายมิติซึ่งเน้นย้ำความสำคัญของการแก้ปัญหาโดยใช้ทั้ง “สิ่งก่อสร้าง” และที่ “ไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง”
“การแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาของไทยส่วนใหญ่ใช้ structure หมายถึงสิ่งก่อสร้าง อาทิ เทคโนโลยีผันน้ำ หน่วงน้ำ หรือสร้างพื้นที่ปิดล้อม ขณะที่วิธี non-structure หรือไม่ใช้สิ่งก่อสร้างยังใช้น้อยมากแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์”
ศ.ดร.ธนวัฒน์อธิบายว่าการใช้สิ่งก่อสร้างแตกต่างจากไม่ใช้ คืออย่างแรกทำแล้วเห็นผลทันที ขณะที่ non-structure เน้นเรื่องการจัดการ เช่นการบริหารลุ่มน้ำ หรือควบคุมไม่ให้มีการตัดไม้ทำลายป่า มาตรการแก้ไขน้ำท่วมที่ดีที่สุดควรจะนำมาตรการทั้งสองอย่างมาใช้ประกอบกัน
“นอกจากสิ่งก่อสร้าง เราเสนอให้ออกมาตรการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมือง วางแผนแม่บทกำหนดระยะเวลาเพาะปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมให้เหมาะสมกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ปรับกฎหมายทุกข้อที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น การจ่ายเงินชดเชยในพื้นที่รับภาระเป็นแก้มลิง กำหนดให้ผู้ที่ต้องทนน้ำท่วมนานได้รับเยียวยามากกว่า เป็นมาตรการที่ต่างประเทศกำหนดชัดเจน ชาวบ้านก็ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ว่าจะได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่ นอกจาก
นี้ต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติของภาครัฐด้วย” ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว
ด้าน หาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ผู้เสนอทฤษฎีเฉลี่ยน้ำ กล่าวว่า
“โจทย์ของเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่ผ่านมาตอบแล้วว่ามันมีขีดจำกัดของตัวเอง ทั้งพื้นที่สร้างเขื่อนก็เหลืออีกไม่มากนัก โครงการที่จะสร้างและมีความจุมากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร มีเพียงแก่งเสือเต้น ที่เหลือเช่นเขื่อนแม่วงก์ก็มีความจุแค่ ๑๐๐-๒๕๐ กว่าล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น วันนี้เราสร้างเขื่อนเก็บน้ำรวมกันทั้งประเทศได้ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เฉพาะภาคเหนือได้ไม่เกิน ๓,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อน้ำท่วมครั้งนี้มีปริมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ถึงมีแก่งเสือเต้น ๒๐ เขื่อนก็เอาไม่อยู่ ต้องหาระบบอื่นที่ครอบคลุมกว่า เช่น กระทรวงเกษตรฯ อาจต้องเป็นเจ้าภาพประกาศเรื่องการทำนาระบบใหม่ หากทำไม่ได้ปัญหาน้ำท่วมอีก ๑๐-๒๐ ปีก็ไม่มีทางแก้”
ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้ความเห็นเพิ่มเติมประเด็นนี้ว่า
“การแก้ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ ระบบระบายน้ำของคลองรังสิตประยูรศักดิ์มีส่วนช่วยสำคัญ หากเราสร้างระบบระบายน้ำในรูปแบบเดียวกันได้อีก ๓๐-๕๐ ระบบ จัดพื้นที่แก้มลิงและทางระบายน้ำที่ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ คือออกแบบให้เกิดระบบนิเวศที่ดีกับสัตว์น้ำ ในพื้นที่ลุ่มภาคกลางน่าจะจัดการปริมาณน้ำเป็นหมื่นล้านลูกบาศก์เมตรได้” เป็นอีกข้อเสนอหนึ่งในการบริหารพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมภาคกลาง
พร้อมกันนั้นก็ต้องไม่ละเลยเรื่องการดูแลป่าต้นน้ำ รักษาระบบนิเวศในภาพรวม เมื่อวันนี้ภูมิอากาศโลกมีความผันผวนผิดปรกติ ฝนตกหนักและถี่ขึ้น เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง
ดร.เจริญวิชญ์ หาญแก้ว ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้ว่า
“ปัจจุบันเรามีพื้นที่ป่าเหลือเพียง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าที่พึงจะมี คือ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ ทำให้ไม่มีพื้นที่ดูดซับน้ำ อย่างที่ทราบว่าเวลาฝนตกลงมา ป่าจะเป็นกันชน (buffer) คอยกักเก็บน้ำไว้ แล้วค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมา แม้พายุเข้า น้ำมามาก ป่าไม้ก็ช่วยดูดซับไว้จำนวนหนึ่ง ช่วยให้เหตุการณ์ไม่รุนแรงมากนัก ฉะนั้นเราต้องไม่เปิดป่าใหม่และฟื้นฟูพื้นที่ป่าตอนบน ป่ากันชนต้องชัดเจน แม้ไม่มีน้ำท่วมครั้งนี้ก็ต้องทำ เพราะประเทศไทยไม่ได้มีพื้นที่ป่าเพียงพออีกแล้ว”
ว่ากันว่าทรัพยากรน้ำแตกต่างจากทรัพยากรธรรมชาติอื่นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสถานะและที่อยู่ได้ ไหลได้ ซึมได้ ระเหยได้ อยู่ได้ทั้งอากาศ ใต้ดิน และผิวดิน จึงเป็นทรัพยากรที่จัดการยากที่สุด ปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยและทั่วโลกในอนาคต
เชื่อว่าความสูญเสียอันประเมินค่าไม่ได้ครั้งนี้ จะทำให้คนไทยทุกคนตั้งความหวังกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างถูกทางและจริงจัง ไม่ให้อุทกภัยที่เกิดขึ้นผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นในอดีต