นิ้วกลม
หนังสือทุกเล่มไม่ได้จบลงที่หน้าสุดท้าย และทุกประโยคไม่ได้จบลงที่จุดฟุลสตอปซึ่งผู้ประพันธ์เขียนไว้
แต่ผู้อ่านสามารถต่อเติมประโยคในหนังสือแต่ละเล่มด้วยจินตนาการและความคิด- -ไม่รู้จบ

Wandering - รอนแรม ถนนทุกสายพาเรากลับบ้าน

รอนแรม / Wandering  – แฮร์มันน์ เฮสเสอะ เขียน  / “แมกไม้” แปล  / พจนา จันทรสันติ บรรณาธิการ  / สำนักพิมพ์สามัญชน

ทะเลสีดำตรงหน้าชวนให้คิดถึงวันคืนที่ผ่านมา

ในวันวัยที่เข้าใจว่าสักวันชีวิตจะลงหลักปักฐานมั่นคง เข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง จัดสมดุลให้ความต้องการต่างๆ ลงตัว จนกระทั่งไม่มีความทุกข์ใจอะไรอีก

ผมเคยคิดว่าเราเรียนรู้ชีวิตเพื่อรอวันนั้น

แต่เวลาที่ผันผ่านก็นำความจริงมาวางไว้ตรงหน้า ว่าทุกช่วงวัยล้วนมีความทุกข์ของมันเอง ไม่ต่างจากคลื่นสีดำลูกแล้วลูกเล่าที่พัดเข้าสู่ชายหาดไม่หยุดหย่อน บางช่วงอาจเว้นระยะบ้าง แต่อีกไม่นานคลื่นลูกถัดไปก็จะซัดเข้าหาฝั่ง

ทะเลไม่มีวันไร้คลื่น

เช่นกันกับที่มนุษย์เราไม่มีวันไร้ทุกข์

คลื่นสีดำตรงหน้าชวนให้ผมหวนคิดถึงความเรียงของ แฮร์มันน์ เฮสเสอะ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมัน

Wandering คือชื่อหนังสือเล่มนั้น ผมหยิบมันใส่กระเป๋าใบเล็ก พกติดตัวไว้ระหว่างการเดินทางไกลครั้งนี้ด้วย เดินทางคนเดียวกับหนังสือเล่มบางที่อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ไม่รู้เบื่อ

“ฟ้าครึ้ม” คือความเรียงที่ผมพูดถึง…

คลื่นสีดำในชีวิตที่ฉันหวาดกลัว มักมาถึงฉันอย่างแน่นอน สม่ำเสมอ…ผู้คน บ้านเรือน สรรพสี ส่ำเสียง สิ่งอันเคยเป็นที่พึงใจของฉันกลับดูไม่จริงและชวนเคลือบแคลง เสียงดนตรีทำให้ฉันปวดหัว จดหมายทุกฉบับเริ่มกลายเป็นความผิดหวังและแฝงซ่อนศรพิษ ในเวลาเช่นนี้ การที่ต้องสนทนากับผู้คนคือความทุกข์ทรมาน และพร้อมจะนำไปสู่การมีเรื่องราว…

หญิงสาวคนหนึ่งเคยเปิดเพลง “ทุ่งสีดำ” ให้ผมฟังบนรถในคืนสุดท้ายที่เราได้พบกัน

ม่านฝนที่โปรยมา เก็บออมเรื่องในตาวันนั้น มองไกลที่ปลายทุ่งสีดำ ที่ฝังเรื่องทรงจำในนั้น ลม…ที่โอบ ประคองภาพเรากลับมา และคำสัญญาก็เป็นได้เพียงแค่เสียง ฉันถูกคลื่นน้ำตาจมลงตอนนี้ ด้วยเหตุจากรักที่มากมายในวันก่อนนั้น ในทุ่งสีดำ ภาพเธอฉัน ไม่เคยลาจากฉันไป…

ผมไม่เคยตั้งใจฟังเพลงนี้ทุกถ้อยคำเหมือนในคืนนั้น เนื้อร้องสีดำกับท่วงทำนองหม่นเศร้าช่างสวยงามเหลือเกิน เธอจ้องตาผมเนิ่นนานก่อนลงจากรถ ราวกับจะบันทึกทุกรายละเอียดบนใบหน้าของผมไว้ ผมเองก็ไม่ต่างกัน แปลกเหลือเกินที่เสียงเพลงสามารถบรรจุบรรยากาศในห้วงเวลาหนึ่งไว้ได้ และมันก็ฟุ้งกระจายขึ้นอีกทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนั้น แม้เพียงการได้ยินในใจ

ในวันที่คลื่นสีดำถาโถมอยู่ตรงหน้า ผมเข้าใจความรู้สึกของเฮสเสอะที่บอกว่า เสียงดนตรีทำให้ฉันปวดหัว จดหมายทุกฉบับเริ่มกลายเป็นความผิดหวังและแฝงซ่อนศรพิษ

คนเรารอนแรมเพื่อตามหาความสุขหรือหลีกหนีความเศร้า สองสิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่

ความเป็นผู้ใหญ่อาจไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจชีวิตเสมอไป ตรงกันข้าม-มันกลับนำมาซึ่งความสับสนใหม่ที่เราไม่เคยสงสัยในวัยหนุ่ม เคยคิดว่ายิ่งผ่านวันเวลา ชีวิตคนเรายิ่งน่าจะลงหลักปักฐานมั่นคง ไม่ต้องรอนแรมไปที่นั่นที่โน่นราวกับคนไร้บ้าน

ไม่ได้หมายถึงบ้านเป็นหลังๆ เป็นรูปธรรมจับต้องได้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงที่สถิตของหัวใจและความต้องการของตัวเราเองที่น่าจะหยุดนิ่ง แน่นอนในสิ่งที่รัก ศรัทธา ปักหลัก และจงรักภักดีกับสิ่งนั้น

เฮสเสอะบอกเล่าความรู้สึกของเขาในวัย ๔๓ ปีว่า

ฉันคือคนแรมทาง มิใช่ชาวไร่ ฉันเป็นคนบูชาความไม่จงรักภักดี ความเปลี่ยนแปลง และความน่าพิศวง ฉันไม่ยอมยึดโยงความรักของฉันไว้กับผืนดินว่างเปล่าบนโลกนี้ ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เรารักนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ เมื่อใดก็ตามที่ความรักของเรายึดติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกินไป ไม่ว่าศรัทธา หรือคุณงามความดี นั่นล้วนชวนให้เคลือบแคลง… ฉันคือคนแรมทาง ไม่ใช่ชาวไร่ เป็นผู้แสวงหา ไม่ใช่ครอบครอง

คนแรมทางย่อมได้เผชิญสิ่งต่างๆ มากมายในโลก มากไปกว่าผู้อยู่กับเหย้า แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่หวนคิดถึงบ้าน-สถานที่อันอบอุ่น คุ้นเคย ปลอดภัย ไว้ใจได้

หากฉันเป็นมนุษย์ผู้เต็มเปี่ยมหรือคนแรมทางที่แท้จริงย่อมต้องไม่คิดถึงบ้าน แต่ฉันรู้ดีว่าฉันไม่ใช่คนเต็มเปี่ยม ไม่แม้แต่มุ่งมั่นที่จะเป็น ฉันยังอยากลิ้มรสชาติของความโหยหาอาลัย ดุจดังที่ได้ดื่มกินรสชาติของความหรรษาร่าเริง

หนังสือเล่มบางบอกผมว่าคนแรมทางมีบุคลิกนิสัยเฉพาะตัว

เหล่าคนแรมทางส่วนใหญ่พึงใจที่ได้รัก หลงใหลในกาม และเสน่ห์ยวนใจในการรอนแรม อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมันหาใช่สิ่งใด นอกเสียจากความกระตือรือร้นที่จะผจญภัย อีกครึ่งนั้นคือความกระตือรือร้นอีกแบบ-คือแรงขับไร้สำนึกเพื่อที่จะเปลี่ยนแปรและขจัดตัณหาให้หมดไป พวกเราคนแรมทางล้วนเจ้าเล่ห์-เราบ่มเพาะความรู้สึกที่ไม่อาจเติมเต็มให้เป็นไปได้

เราแยกความรักออกจากเป้าหมายของมัน เพราะเพียงแค่ความรักก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา ในการรอนแรมก็เช่นกัน เราไม่มองหาจุดหมาย เรามองหาแต่ความสุขจากการรอนแรม มีเพียงได้รอนแรมเท่านั้น

นี่คือความรู้สึกของคนอายุ ๔๓ ปี วัยที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็นว่าได้เวลาที่จะหยุดนิ่งแล้ว

ในวันที่อยู่ห่างไกลจากบ้านนับพันกิโลเมตร ผมนั่งพยักหน้าให้หนังสือเล่มบางในมือ ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ผู้เต็มเปี่ยม และรู้สึกประทับใจที่เฮสเสอะเข้าอกเข้าใจว่ามนุษย์จำพวกนี้มิเพียงต้องการรสชาติความหรรษาร่าเริงเท่านั้น แต่ยังต้องการลิ้มรสชาติความโหยหาอาลัยด้วย

เหมือนเพลงเศร้า เหมือนดอกไม้ที่กำลังโรย เหมือนวันฟ้าครึ้ม ความรู้สึกเช่นนี้มิได้นำมาซึ่งความสดใส มิอาจเรียกได้ว่าความสุข แต่กลับมอบความรู้สึกดีบางอย่างให้ส่วนลึกในหัวใจ นี่คือสิ่งที่รักสมหวังมอบให้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ความปลอดภัยไม่อาจหยิบยื่น ความอบอุ่นไม่อาจตอบสนอง และเป็นสิ่งที่ไม่มีในบ้านอันคุ้นชิน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรอนแรมเพียงลำพังเพื่อสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ในบางห้วงยามของชีวิต

เป็นความหลงใหลในความไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนนักเดินทางที่เร่ร่อนไปตามตลาดนัดมือสองเพื่อตามหาแจกันเก่าที่มีรอยร้าวซึ่งตัวเองทิ้งไป โดยไม่มีเป้าหมายว่าจะต้องเจอ หากต้องการเพียงแค่ได้ออกตามหา- -อาจเป็นการตามหาบางส่วนซึ่งไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตของตัวเอง

เช่นกันกับที่ผมนั่งจ้องมองทะเลอีเจียนที่หาดสีดำ หรือ Black Beach บนเกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ การเดินทางคนเดียวเปิดโอกาสให้ได้พบความรักที่คาดไม่ถึง และเปิดโอกาสให้ได้ทักทายความทรงจำในยามว่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่

อดคิดไม่ได้ว่า ที่นักรอนแรมหลงใหลความไม่สมบูรณ์แบบหรือความโหยหาอาลัยนั้นเป็นเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา หากชีวิตมีแต่ด้านสดใส สุขสมบูรณ์ เราย่อมไม่มั่นใจว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิตจริงหรือ ความรู้สึกหม่นเศร้าช่วยขับเน้นให้ความสดใสเป็นจริงขึ้น

การพรากจากทำให้สิ่งที่ยังเหลืออยู่มีคุณค่า

ความทรงจำทำให้โหยหาอดีต ขณะเดียวกันก็ทำให้เราดูแลรักษาอนาคต

อารมณ์ทั้งสองด้านคือพลวัตของชีวิตที่ผลักดันชีวิตให้หมุนเวียนต่อไป สัมผัสความไม่สมบูรณ์แบบเพื่อตามหาความสมบูรณ์แบบ สัมผัสความหม่นเศร้าเพื่อโหยหาความชื่นมื่น

ถึงที่สุดแล้วแม้เราไม่เดินทางรอนแรมทางกายภาพ เราก็ยังคงรอนแรมทางความรู้สึกอยู่ดี แม้จะนั่งนิ่งอยู่กับบ้าน ความรู้สึกเราก็ยังเดินทางไปสู่อดีตและอนาคต ผ่านทุกข์สุขมากมายไม่ต่างกัน ราวกับอารมณ์ความรู้สึกดีร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจหลีกเลี่ยง ไม่ต่างจากที่ดินฟ้าอากาศกระทำกับต้นไม้

สำหรับฉัน ต้นไม้คือนักเทศน์ที่หลักแหลมที่สุด…ฉันนับถือต้นไม้มากยิ่งขึ้นเมื่อมันยืนต้นอย่างเดียวดายเหมือนคนโดดเดี่ยว ต่างพวกฤๅษีที่ปลีกวิเวกเพราะความอ่อนแอบางอย่าง แต่ต้นไม้เป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่เสาะแสวงสันโดษ…ต้นไม้ดิ้นรนด้วยพลังทั้งมวลของชีวิตเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น- -เพื่อเติมเต็มให้ตัวเองตามกฎเกณฑ์ชีวิตของมัน เพื่อก่อกำเนิดรูปทรง และเพื่อแสดงออกถึงตัวมันเอง

ยามเราทุกข์ทนจนไม่อาจทานทนต่อชีวิตของเราได้อีกต่อไป ยามนั้นต้นไม้จะมีบางสิ่งบอกกล่าวแก่เรา : นิ่งเสีย !  นิ่งเสียเถิด ! มองดูฉันสิ ! ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากเย็น…แล้วความคิดของเธอจะเริ่มสงบ เธอกระวนกระวายเพราะเส้นทางของเธอพาเธอไปไกลจากแม่และบ้านเกิด

ถึงตรงนี้ผมหันไปมองต้นไม้บนเกาะซานโตรินีซึ่งมีลักษณะเฉพาะคล้ายกันแทบทั้งหมด คือล้วนแล้วแต่โน้มเอนไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือทิศทางที่ลมจากทิศเหนือพัดเข้ามา เกาะแห่งนี้ลมแรง แต่ต้นไม้ก็ยืนหยัดและปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อมีชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด

ในมุมของผู้มาเยือนเพียงช่วงระยะสั้นๆ อย่างผม ที่นี่ลมแรงมาก แต่สำหรับต้นไม้ที่เติบโตและใช้ชีวิตบนเกาะแห่งนี้มายาวนาน ลมที่พัดมาย่อมเป็นเรื่องปรกติ เพราะชีวิตของมันได้ก่อร่างสร้างรูปทรงให้เหมาะกับเงื่อนไขในการมีชีวิตของมันแล้ว

ความทุกข์เกิดจากการพยายามฝืนตนต่อเงื่อนไขต่างๆ ที่พัดผ่านเข้ามา

เราต่างเป็นผู้รอนแรมเพื่อค้นหาสถานที่ใดสถานที่หนึ่งซึ่งจะมอบความสุขให้แก่เรา แม้ชั่วคราว แต่เราก็จะออกเดินทางไปเรื่อย เพื่อผจญภัยหาความสุขใหม่ๆ และโหยหาความสุขเก่าๆ ที่มิอาจกลับไปสัมผัสได้อีก ทว่าเส้นทางเหล่านี้เองที่ค่อยๆ หล่อหลอมเราให้เข้าใจความหมายของการรอนแรม ให้มองเห็นความเป็นจริงของตนเองซึ่งหลงใหลในกาม หมายถึงความอยากซึ่งสรรพสิ่ง เส้นทางเหล่านี้เองที่จะพาเราผ่านแดด ฝน ลม แล้ง แห่งประสบการณ์ชีวิตที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างรูปทรงจนกระทั่งเรากลายเป็นต้นไม้ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมแห่งชีวิตตนเอง

ดังเช่น แฮร์มันน์ เฮสเสอะ กล่าวไว้ว่า

…ทุกก้าวย่างและทุกวัน มันจะนำเธอกลับคืนสู่แม่และบ้านเกิดอีกครั้ง บ้านมิใช่ที่นี่หรือที่นั่น บ้านอยู่ภายในตัวของเธอเอง หรือมิเช่นนั้นบ้านก็ไม่ได้อยู่ ณ แห่งหนใดทั้งสิ้นเราออกรอนแรมทั้งชีวิตเพื่อกลับสู่บ้านที่เหมาะกับเรา

มนุษย์เหมือนถูกสาปให้รอนแรมทั้งชีวิต…เพื่อกลับบ้าน