วิชาสารคดี ๑๐๑ ศาสตร์ ศิลป์ เคล็ดวิธี ว่าด้วยการเขียนสารคดี
ภาพโดย เมืองแคน อิสระธรรม
๑
จุดเด่นของค่ายวรรณศิลป์สัญจร มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ ๕ คือเป็นค่ายวรรณกรรมที่มีฐานการเรียนรู้ผู้ร่วมค่ายได้สัมผัสเรียนรู้มากถึง ๑๐ ฐาน
ประกอบด้วย นิยาย เรื่องสั้น บทกวี สารคดี เป็น ๔ ฐานหลักเช่นในค่ายวรรณกรรมโดยทั่วไป
นอกจากนั้นยังมีฐาน เพลง บทละคร ภาพเขียน ภาพถ่าย หนังสั้น และการสื่อสารมวลชน
สมาชิกค่ายเป็นนักศึกษาเอกภาษาไทย คณะครุศาสตร์ ม.กาฬสินธุ์ ชั้นปีที่ ๑-๓ นั่นหมายความว่า ก่อนสำเร็จเป็นบัณฑิต นักศึกษาเอกไทยของมหาลัยนี้จะมีโอกาสได้เรียนรู้ ฝึกปฏิบัติจริงในหลักสูตรนอกห้องเรียนได้ถึง ๓ ครั้ง
นี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย แม้แต่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองหลวง
ภาพโดย พินิจ นิลรัตน์
๒
ค่ายนักเขียน หรือค่ายวรรณกรรม ถือเป็นเรื่องใหม่ในเมืองไทย นักเขียนที่มีอายุงานเกิน ๒๐ ปี ส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยผ่านค่ายฝึกเขียนมาก่อน เพราะกิจกรรมในลักษณะค่ายอบรมการเขียน (ที่ทำแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะกิจแบบครั้งคราวหรือครั้งเดียวผ่าน) น่าจะเพิ่งมีมาไม่เกิน ๒๕ ปี ตามอายุค่ายวรรณกรรมสัญจร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ถือเป็นค่ายนักเขียนที่มีอายุมากที่ของในเมืองไทยเวลานี้
ส่วน “ค่ายวรรณศิลป์สัญจร” (ม.กาฬสินธุ์) จะนับว่าเป็นความต่อเนื่องมาจาก “ค่ายวรรณกรรมสัญจร” (ม.สารคาม) ก็คงว่าได้ เพราะอาจารย์วัชรวร วงศ์กัณหา และ อาจารย์อนุชา พิมศักดิ์ ที่เป็นกำลังหลักผลักดันให้เกิดค่ายวรรณศิลป์สัญจร ก็เป็นศิษย์ค่ายวรรณกรรมสัญจร เช่นเดียววิทยากรส่วนใหญ่ที่ผ่านค่ายไปเติบโตในวรรณศิลป์แขนงต่างๆ แล้วกลับมาช่วยเพื่อน-ส่งต่อความรู้สู่คนรุ่นหลังที่สนใจในสายงานศิลป์เดียวกับตน
ถึงที่สุดแล้ว ค่ายนักเขียนจึงไม่ได้เพียงสร้างผลิตผลฝึกคนให้เป็นคนเขียนหนังสือเท่านั้น แต่ยังสร้างนักสร้างค่ายต่อเนื่องไปด้วย
ภาพโดย พินิจ นิลรัตน์
๓
กระบวนการในค่ายไม่ได้มีอะไรมาก แค่มาใช้ชีวิตรวมหมู่อยู่ด้วยกันกลางธรรมชาติ ซึ่งในค่ายครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๖-๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ จัดกันที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว หน่วยศาลาพรม จังหวัดชัยภูมิ กลางป่าที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เดินป่าศึกษาธรรมชาติด้วยกัน ต่อไฟเติมฝันสรรหาแรงบันดาลใจมาสร้างสรรค์งานในสาขาที่สมัครลงกลุ่มไว้ แล้วมาล้อมวงคุยกัน นำเสนองาน วิจารณ์ติชม รับคำเสนอแนะจากคณะวิทยากร
ขั้นตอนกระบวนการในช่วง ๓ วัน ที่ชมรมวรรณศิลป์ ม.กาฬสินธุ์ ผู้รับผิดชอบจัดค่ายออกแบบไว้ง่ายๆ เพียงเท่านั้น แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย และแง่มุมส่วนตัวที่เกิดขึ้นในแต่ละคน เป็นเรื่องที่อยู่ในใจเฉพาะตน
ดังที่เพื่อนชาวค่ายคนหนึ่งได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเพื่อนในสังคมออนไลน์ หลังวันกลับจากค่าย ด้วยน้ำเสียยงสุดเท่ ว่า
ภาพโดย BlackRiver Whitewind
๔
ถ้าไม่เจอเอง ผมก็คงไม่รู้
เป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่จงใจ ไม่เตรียมการ ไม่ได้จะสำรวจอะไรทั้งนั้น เพียงแต่มักถามเปรยๆ กับนักศึกษาทุกคนที่ได้คุยกันบนเส้นทางวรรณกรรม
คำถามของผมคือ ทำไมจึงเรียนคณะนี้ (หากเขาหรือเธอเรียนในสายอักษรฯ หรือวารสาร) ทำไมอยากเป็นนักเขียน ทำไมอยากเป็นคนทำหนังสือ หรือ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับว่าอะไรทำให้เขาสนใจการอ่านการเขียน
คำตอบแตกต่างหลากหลายกันไปตามความบันดาลใจและจุดพลิกเปลี่ยนชีวิตของแต่ละคน
แต่ที่สะดุดใจผมคือ ในช่วง ๓-๔ มานี้มีเด็กใต้อย่างน้อย ๓ คน บอกผมว่า เพราะเขาได้ผ่าน “ค่ายนักเขียนน้อย” ตอนอยู่ ม.ปลาย
ค่ายนี้เกิดจากการลงแรงของนักเขียนใต้ กลุ่มคลื่นใหม่ ตระเวนไปทำค่ายตามโรงเรียนมัธยมในภาคใต้หลายจังหวัดนับสิบปี ทุกวันนี้เด็กๆ ที่เคยผ่านค่ายเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือเรียนจบกันไปแล้ว
บางคนเล่ารายละเอียดด้วยว่าจุดเปลี่ยนชีวิตที่ยังอยู่ในความทรงจำมาจนบัดนี้ เป็นฉากที่พี่เลี้ยงค่ายพาพวกเขานั่งเรือข้ามฝั่งสู่เกาะพิทักษ์ใต้แสงจันทร์ แล้วไปนั่งเขียนบทกวีกันที่ริมชายหาด เด็ก ม.ปลายคนหนึ่งบอกตัวเองในคืนนั้นว่า งานวรรณศิลป์นี่แหละเป็นเส้นทางที่เธอจะเลือกเดิน
ไม่ใช่แต่เด็ก ม.ปลายส่วนใหญ่ แม้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็มีไม่น้อย ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอะไร รักชอบอะไร ที่เรียนๆ กันอยู่อาจเป็นไปตามปัจจัยนานาหลากหลาย ที่ไม่ได้มาจากหัวใจของตัวเอง
นักเขียน เป็นสายวิชา-อาชีพ ที่มีสถานะไม่ชัดเจนในสังคมของเรา ค่ายนักเขียนจึงนับว่ามีผลมากในการเปิดโลกทัศน์ให้ยุวชนคนรุ่นใหม่ได้รู้ว่ามีอาชีพนี้อยู่ด้วยและเขาเลือกที่จะเป็นได้
แม้แน่นอนว่าคนหนุ่มสาวจำนวนเป็นร้อยที่มาร่วมในแต่ละค่าย ย่อมไม่ได้เป็นนักเขียนทั้งหมด แต่เชื่อได้ว่าอย่างน้อยที่สุดกระแสความรักการอ่านการเขียนที่ถูกเปล่งขานปลุกเร้าสู่กันตลอดช่วงเวลาในค่าย ย่อมจะติดตัวเขาไปด้วยแล้ว
สิ่งนี้จักส่งผลบวกต่อชีวิตข้างหน้าของเขาแน่นอน หากเรายังเชื่อว่า หนังสือหนังหาคือขุมปัญหาของผู้คนและสังคม
ดังที่ปรมาจารย์ด้านศิลปะของเมืองไทยเคยกล่าวไว้
“นายไม่อ่านหนังสือ นายจะรู้อะไร”