วิชาสารคดี ๑๐๑ ศาสตร์ ศิลป์ เคล็ดวิธี ว่าด้วยการเขียนสารคดี
เวลาชวนเด็กหัดเขียนหนังสือ วิชาเรียงความที่ทุกคนเคยเรียนมาแต่ชั้นประถม เป็นพื้นฐานที่นำมาใช้ต่อได้อย่างได้ผล
ด้วยการย้อนทวนไปถึงองค์ประกอบของเรียงความ
ทุกคนตอบได้พร้อมเพรียงว่าประกอบด้วย บทนำ เนื้อเรื่อง สรุป
- บทนำ อาจเป็นการเกริ่นอารัมภบทถึงเรื่องที่จะเล่าแบบรวมๆ ในภาพกว้าง
- เนื้อเรื่อง เล่าเนื้อหาใจความที่ต้องการนำเสนอ
- สรุป ตรงตามตัวเป็นการการขมวดปม เป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เล่ามา
ทำได้ตามนี้ก็ตอบโจทย์เรียงความ งานเขียนเรียบง่ายที่เน้นเนื้อหาและแนวความคิดที่ต้องการนำเสนอแบบเขียนง่ายอ่านง่าย
เมื่อเป็นสารคดี สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความมีวรรณศิลป์ หรือรสรื่นรมย์ทางภาษายามเมื่อเสพ
ใครจับสังเกตสักหน่อยก็จะเห็นว่าในงานวรรณศิลป์อย่าง เรื่องสั้น นิยาย หรืองานศิลป์สายภาพยนตร์ จะไม่เรียกฉากแรกว่า บทนำ และไม่เรียกตอนจบว่า สรุป
แต่จะเรียกว่า เปิดเรื่อง และปิดเรื่อง
กับมี ชื่อเรื่อง ไว้เบื้องต้นสุดเหมือนคำแนะนำตัวแรกของผู้เขียนที่จะบอกผู้เสพว่าเรื่องนั้นน่าสนใจแค่ไหน
สารคดีก็เช่นกัน เราควรตั้งโครงสร้างไว้ในใจเสมอว่ามีองค์ประกอบ ๔ อย่าง และทำแต่ส่วนให้ดีที่สุด
- ชื่อเรื่อง
- เปิดเรื่อง
- ตัวเรื่อง
- ปิดเรื่อง
เพราะเมื่อตั้งธงไว้เช่นไร เราก็จะเดินต่อไปเช่นนั้น
เมื่อส่วนแรกไม่ติดอยู่กับการเป็น บทนำ ผู้เขียนจะจินตนาการถึงฉากเปิดเรื่องได้หลากหลาย โดยเน้นที่การจู่โจมเข้าครองใจคนอ่าน และตราตรึงให้ต้องติดตามเข้าไปยัง ตัวเรื่อง
เช่นเดียวกับฉาก ปิดเรื่อง ที่หากผู้เขียนติดอยู่กับการ สรุป เรื่องจะเอนไปทาง บทความ ที่เน้นโน้มน้าวให้เห็นคล้อยตามที่ผู้เขียนแสดงความเห็นมา หรือการออกหน้าสรุปแบบโจ่งแจ้งก็อาจทำให้สารคดีกลายเป็นนิทานอีสปที่ต้องจบว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
ความจริงเนื้อความหรือ ตัวเรื่อง ในงานสารคดีเป็นการ “แบ” ข้อมูล แสดงสิ่งที่ปรากฏการณ์อยู่ แง่มุม ความรู้สึก ความเคลื่อนไหว ให้ผู้เอ่านได้ห็น สรุป หรือตัดสินเอง ไม่ใช่ผู้เขียนจะไปชี้นำหรือแสดงความเห็นอย่างในงานเขียนบทความ
ธงนำ เป้าหมายแฝงเร้นในใจผู้เขียนย่อมมีได้ แต่ต้องสื่อแบบแนบเนียนไปในเนื้อหา ชี้นำโดยข้อมูล แหล่งข้อมูล หรือการเลือกเหลี่ยมมุมที่นำมาเล่า
เมื่อมีความเข้าใจและแม่นยำเรื่ององค์ประกอบของโครงสร้างงานสารคดี ไว้เป็นธงนำในใจ
ไม่ว่าจะลงมือเขียนเรื่องอะไรตอนไหน ก็จะตั้งต้นได้โดยไม่อับจนหนทาง