เรื่องและภาพ : บาตาน-ยศวดี สนธิไชย

“สุเปี๊ยก” กระรอกข้างชีวิต

กลางทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทย ใครเลยจะรู้ว่ามีกระรอกเด็กอายุ 2 เดือนกว่าลอยอยู่กลางทะเล บนสปีดโบตที่มุ่งหน้าฝ่าคลื่นอย่างกระแทกกระทั้นไปยังเกาะเสม็ด

วันที่ 75 ของการดูแลเจ้ากระรอกเด็กมากับมือของฉันเอง วันนี้ท้องฟ้าสดใสมาก ลมทะเลปะทะหน้าฉันอย่างรุนแรงเหมือนโดนสาดไม่ยั้งด้วยเม็ดเกลือเพราะความเร็วของสปีดโบตที่เหินย้อนคลื่น ฉันกำลังจะไปตามหาความสนุกสนานร่าเริงที่เกาะเสม็ดหลังการต่อสู้งานอย่างหนักหน่วงติดต่อกันมาหลายสัปดาห์

การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางธรรมดาอย่างทุกครั้ง โดยปรกติหากอยากเดินทางเพื่อการพักผ่อนฉันมักจะเดินทางคนเดียวเพราะฉันอยากพักหลบจากความยุ่งยากมากความ แต่ครั้งนี้ฉันมากับเจ้านายและพี่สาวของเธอ พี่ทั้งสองคนเป็นคนที่ฉันเที่ยวด้วยง่าย พวกเราสนิทกันมากเหมือนเป็นคนในครอบครัว และก็เป็นคนที่เข้าใจความอิสระที่ฉันต้องการ

ความพิเศษของการเดินทางครั้งนี้ยังไม่ถึงขีดสุด ถ้าฉันไม่ได้เล่าว่าครั้งนี้ฉันยอมถือกระเป๋าพะรุงพะรังมากกว่าจะแบกแค่เป้หลัง ฉันยอมสะพายกระเป๋าใบหนึ่งสีชมพูแปร๊ดซึ่งไม่เข้าอะไรกับชุดสีแดงลายขวางของฉันเลยแม้แต่น้อย

กระเป๋าใบนั้นมีกระรอกตัวกลมไม่รู้เดียงสานอนขดอยู่ รอคอยการสูดดมลมทะเลไปพร้อมกับฉัน

“สุเปี๊ยก” นักปรับตัว

กระรอกวัย 2 เดือนกว่านั่งขดตัวนิ่งทำตาแป๋วอยู่ในกระเป๋าแมว เฝ้ามองภาพวิวภายนอกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากบรรยากาศสลัวๆ แลเห็นแต่หน้าของฉันบนรถตู้ที่วิ่งตรงจากสถานีขนส่งเอกมัยมายังท่าเรือในจังหวัดระยอง

หลังจากเจ้าสุเปี๊ยก กระรอกตัวเล็กจิ๋ว นั่งเฝ้ามองวิวจำเจมืดสลัวอยู่เกือบ 4 ชั่วโมง ฉันก็หอบหิ้วเอากระเป๋าใบใหญ่เท่ากล่องใส่กระดาษ A4 ห้ารีมลงจากรถตู้ มาเผชิญแดดร้อนจ้าที่ท่าเรือ ก่อนจะขึ้นสปีดโบตเพื่อไปยังอ่าวนวล

บนสปีดโบตฉันเป็นห่วงเจ้าเปี๊ยกอย่างมาก เพราะฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาฉันขึ้นสปีดโบตไปกับพ่อ ยังมีผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกไม่ดีหรือเมาเรือได้เลย แล้วเปี๊ยกตัวแค่นี้แถมเป็นกระรอกจะไหวไหมนะ

แต่เมื่อไปถึงเกาะฉันก็สบายใจได้ เมื่อคว้าเจ้าเปี๊ยกออกมาแล้วเปี๊ยกวิ่งพันแขนพันขาฉันไปมาดูร่าเริง แต่ฉันก็ต้องให้เปี๊ยกอยู่ในกระเป๋าเพราะแมวมาป้วนเปี้ยนหลายตัวเหลือเกิน

ในวันที่ 2 ฉันชวนเปี๊ยกออกมาหายใจนอกกระเป๋าหลังจากใช้ชีวิตอยู่แต่ในนั้นตั้งแต่มาถึง ฉันอยากให้เปี๊ยกได้ลองสัมผัสทรายดูบ้าง ครั้งแรกของการสัมผัสทรายเจ้าเปี๊ยกดูจะกลัวอย่างเห็นได้ชัด ตัวสั่น ตาโต วิ่งกลับมาเกาะที่ไหล่ ฉันจึงเลิกพยายาม แต่ไม่นานเจ้าเปี๊ยกก็วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่บนแขนข้างซ้าย วิ่งบนไหล่ขวาไปไหล่ซ้ายอย่างกระตือรือร้น

เปี๊ยกวิ่งวุ่นขึ้นลงจากตัวฉัน กระโดดไปบนทราย กระโดดกลับขึ้นมา วิ่งขึ้นหัว ฉี่บนไหล่ของฉันอีกครั้งก่อนจะวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว แค่ไม่นานเปี๊ยกก็เริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศของทะเลและหาดทราย

เจ้าเปี๊ยกมักจะทำให้ฉันสบายใจเวลาพาไปไหนมาไหน เพราะเจ้าเปี๊ยกปรับตัวเก่ง คุ้นเคยกับคนง่าย และไม่ดูเป็นกระรอกซึมเศร้าอย่างที่ฉันอ่านเจอในอินเทอร์เน็ต ที่มักจะบอกว่ากระรอกจะซึมเศร้าได้ง่ายในวันแรกๆ ที่เปลี่ยนที่อยู่

“พี่ว่าจุดหนึ่งที่พี่ทำไม่ได้แน่ๆ คือการตื่นขึ้นมาให้นมทุกๆ 2 ชั่วโมง พี่คงยอมปล่อยให้มันตายเอาจริงๆ วันแรกแอบภาวนาให้มันตายเพราะคิดว่ามึงไม่รอดหรอก อยู่ต่อไปน่าจะยาก

“แต่แกก็เลี้ยงได้จนมันโต พี่เลยรู้สึกว่าแกมีอิทธิพลกับมันมากและมันเองก็ปรับตัว แล้วตอนนี้มันก็มีชีวิตว่ะ ก็น่าทึ่งดี ทำให้พี่นึกถึงเรื่องทาร์ซานตลอดเลย

“ชอบที่นึกได้ว่า เออว่ะ จริงๆ แล้วมนุษย์ก็เป็นสัตว์ ก็อยู่ปนๆ กันได้ นึกได้อีกทีตอนมันโตมามีชีวิตได้ขนาดนี้แล้ว”

เจ้านายของฉันเคยบอกไว้ในวันหนึ่งที่เห็นเจ้าเปี๊ยกโตขึ้นมาผ่านการอนุบาลของฉัน

วันที่ฉันต้องกลับจากเสม็ดเข้ากรุงเทพฯ ฉันต้องเปลี่ยนวิธีการเดินทางกลับจากรถตู้เป็นรถบัสเพราะรถตู้รอบสุดท้ายหมดไปแล้ว และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้ฉันพาเปี๊ยกขึ้นไปบนรถด้วย

เจ้าเปี๊ยกต้องไปอยู่ที่เก็บของด้านล่างของรถปนกับสัมภาระจำนวนมาก ฉันกังวลมาก กลัวไปหมดว่าด้านล่างนั้นจะร้อนมากเกินไปไหม หรือจริงๆ แล้วจะเย็นจัด แล้วเปี๊ยกจะต้องอยู่ตรงนั้นไปอีกประมาณ 4 ชั่วโมง ฉันพยายามนั่งฟังเพลงเพื่อสงบความกังวล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสุนทรีย์ใดๆ เลย ฉันไม่มีทางออก ทั้งเครียด ทั้งกังวล

ฉันเลยหลับ

ฉันหลับยาวมากเหมือนไม่มีเรื่องอะไร หลับจนถึงสี่แยกบางนาแล้วตื่นมาเครียดต่อ ทันทีที่รถจอดฉันพุ่งตัวขึ้นจากที่นั่ง แต่ก็ต้องหยุดอยู่ตรงนั้นแหละเพราะทุกคนก็อยากลงจากรถเหมือนกัน ฉันถูกเบียดจนคิดว่าช่างเถอะ ไม่รีบก็ได้

ฉันลงเป็นคนเกือบสุดท้าย วิ่งไปหากระเป๋าเปี๊ยก รีบยื่นมือเข้าไปหาเปี๊ยก

“หมับ”
เจ้าเปี๊ยกงับมือฉันทันทีเมื่อมือถึงตัวเปี๊ยก เปี๊ยกไม่ตาย ฉันสบายใจแล้วไปหาราเม็งกินต่อตอน 5 ทุ่ม

ทริปแรกของฉันกับเปี๊ยก สนุกสนาน มีความสุข ฉันมีความสุขที่รู้ว่าเปี๊ยกทนกับแทบทุกสภาพอากาศ และที่สำคัญเรียนรู้ว่าเปี๊ยกปรับตัวเก่ง เพราะมันแปลว่าโอกาสที่ฉันจะพาเปี๊ยกไปไหนมาไหนกับฉันในทุกที่นั้นไม่ยากเลย

ฉันเคยต้องทนคิดถึงเปี๊ยกอย่างมาก เฝ้ารอวันจะได้กลับมาเจอเมื่อครั้งหนึ่งที่ฉันต้องเดินทางไปทำงานที่จังหวัดนราธิวาสเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ฉันต้องฝากเปี๊ยกไว้กับแม่และพี่ชาย ในสัปดาห์นั้นฉันอยากอยู่กับเปี๊ยกมากเพราะเป็นช่วงเวลาที่เปี๊ยกมีโอกาสที่จะลืมตาครั้งแรกในช่วงนั้น

และในที่สุดเปี๊ยกก็ลืมตาดูโลกครั้งแรกในวันที่ฉันไม่อยู่

ฉันอยากจะอยู่กับเปี๊ยกในทุกช่วงการเจริญเติบโต แต่ฉันรู้ดีว่าเปี๊ยกรอลืมตาในวันที่ฉันพร้อมไม่ได้ และฉันเองก็ต้องมีความรับผิดชอบในพื้นที่ของฉัน แค่ฉันกับเปี๊ยกได้ไปเที่ยวที่ต่างๆ ด้วยกันอย่างในวันนี้มันก็ดีมากพอแล้ว

กระรอกขาเลาะ

“คุณต้องดูแลและอยู่กับเค้าตลอดเวลา ป้อนนมทุกๆ 2-3 ชั่วโมง” สัตวแพทย์ที่โรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแล exotic pet แนะนำฉันเพื่อดูแลเจ้ากระรอกน้อยที่ตอนนั้นมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์

“เราเป็นคนเดินทางบ่อย แทบจะตลอดเวลา คุณหมอมีคำแนะนำอย่างไรบ้างมั้ยคะ หรือควรนำมาฝากผู้เชี่ยวชาญเลี้ยงเวลาต้องเดินทาง” ฉันถามคุณหมอ เพราะระหว่างรอเข้าพบคุณหมอฉันเห็นป้ายรับฝากเลี้ยงข้ามคืนแปะอยู่ที่กระจกด้านหน้าโรงพยาบาล

“ถ้าเราเดินทางบ่อยก็ฝึกให้เค้าเดินทางได้ซะตั้งแต่ตอนนี้สิคะ” คุณหมอพูดและยิ้มอย่างใจดีให้กับฉัน

“กระรอกเป็นสัตว์ที่อึดและทนมากนะคะ เราแค่ต้องคอยระวังเรื่องท้อง ไม่ให้ท้องผูกและท้องอืดเท่านั้นเอง” คุณหมอพูดเสริมประโยคและยังคงยิ้มอย่างให้กำลังใจฉันที่ดูไม่มั่นใจในการดูแลสัตว์แรกเกิดแม้แต่น้อย

ฉันเดินออกจากโรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำและเลี้ยวขวาเข้าร้านขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ตั้งอยู่ติดกับโรงพยาบาล ฉันเดินดูของที่อาจจะจำเป็นกับเจ้ากระรอกเด็ก ฉันรู้สึกสนุกสนานมากกับการเดินในร้านที่มีของเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเต็มไปหมด

ตัวฉันเองไม่เคยเลี้ยงสัตว์ใดๆ เลย ไม่แม้แต่หมา แมว แต่จะว่าไปจริงๆ แล้วฉันเคยเลี้ยงปลาทอง แต่ก็ทำเจ้าปลาทองท้องแตกตาย โดยพื้นฐานของความคิดฉันแล้วไม่เคยอยากเลี้ยงตัวอะไรเลยเพราะแค่ต้องดูแลตัวเองก็รู้สึกว่ายุ่งยากและขี้เกียจมากพอแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าเปี๊ยกมาเปลี่ยนชีวิตของฉันไปและพาฉันไปรู้จักกับพื้นที่ที่ฉันไม่เคยแม้แต่จะหันมามอง อย่าง pet shop นี้เป็นต้น

ฉันซื้อกระเป๋าบุผ้าสำลีใบเล็กที่สุดในร้าน

จากวันนี้ไปฉันตั้งใจแล้วว่าฉันไปที่ไหนเจ้าเปี๊ยกจะอยู่ที่นั่น ในวันที่เปี๊ยกยังต้องมีคนดูแล ฉันเองก็จะเป็นคนนั้น

ก่อนหน้านี้ฉันเคยพาเจ้าเปี๊ยกขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ฉันนั่งรถกลับบ้านเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ตลอดทางฉันต้องอุ้มเจ้าเปี๊ยกไว้ในมือเพื่อให้อุณหภูมิรอบตัวของเปี๊ยกยังคงอบอุ่นเพียงพอ บางครั้งฉันนึกโกรธมือและร่างกายของฉันที่ไม่อบอุ่นพอ ฉันเป็นคนมือเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ทางออกของฉันในการให้ความอบอุ่นเจ้าเปี๊ยกบนรถแท็กซี่แอร์เย็นเฉียบคันนั้นคือ ฉันเอามือทั้งสองข้างที่อุ้มเปี๊ยกไว้ล้วงเข้าไปในเสื้อของตัวเองและวางไว้บนพุงอันนุ่มนิ่มของฉัน แล้วมือของฉันกับตัวของเปี๊ยกก็อบอุ่นบนพุงไปด้วยกัน

อีกครั้งหนึ่งฉันเคยต้องไปช่วยงานเพื่อนแถวบางกอกน้อยและต้องค้างคืน ฉันต้องพาเปี๊ยกไปด้วย เมื่อฉันต้องเดินทางกลับมายังที่ทำงาน เพื่อนฉันมาส่งที่จตุจักร และฉันก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะท้าทายความสามารถของเปี๊ยกขึ้นไปอีกขั้นด้วยการพาขึ้นรถเมล์สาย 8 รถเมล์สายที่ขึ้นชื่อด้านความผาดโผนโลดแล่น รถเมล์สาย 8 เป็นรถเมล์ที่ฉันต้องใช้บริการอยู่เป็นประจำเพราะเป็นรถประจำเส้นทางที่ผ่านที่ทำงานของฉัน

ฉันและเปี๊ยกผจญภัยกันไปบนรถเมล์สาย 8 ฉันวางเปี๊ยกไว้ในหมวกของฉันและอุ้มไว้ในมือข้างเดียวเพราะอีกข้างต้องจับราวไว้แน่นที่สุดเพื่อรักษาชีวิตฉันและสวัสดิภาพของเปี๊ยก เจ้าสุเปี๊ยกในวันนั้นยังไม่ลืมตา นอนหลับปุ๋ยอยู่ในหมวก ไม่เหนื่อย ไม่หือไม่อือ เผลอๆ คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอยู่บนรถเมล์สาย 8 ในตำนาน

แต่หลังจากวันนี้ที่ฉันได้ซื้อกระเป๋าใบจ้อย เปี๊ยกจะได้อยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องมาอยู่บนมือที่เย็นเจี๊ยบ บนพุง หรืออยู่ในหมวกแล้ว เปี๊ยกจะมีพื้นที่ของตัวเองที่เคลื่อนที่ไปยังที่ต่างๆ ข้างๆ ตัวฉัน

กระรอกผู้รอดชีวิต

สุเปี๊ยกหยุดหายใจไปแล้ว

เปี๊ยกตัวแห้งเหี่ยว นอนแน่นิ่งอยู่ในมือของฉัน

โดยปรกติต่อให้เปี๊ยกหลับอยู่เราก็รู้ว่าเปี๊ยกยังมีแรง ไม่ได้ปล่อยตัวไปตามแรงโน้มถ่วงโลกขนาดนี้ แต่ตอนนี้เปี๊ยกไม่มีเรี่ยวแรง ฉันจับมือเปี๊ยกยกขึ้นแล้วปล่อยก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป

แล้วฉันต้องทำอย่างไร

ย้อนกลับไปเมื่อเช้า ฉันตื่นมาแต่เช้าหลังจากเข้านอนไป 3 ชั่วโมงเพื่อมาป้อนนมเจ้าเปี๊ยก เช้านี้มีบางอย่างแปลกไป ฉันไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก แต่ตื่นเพราะเสียงร้องของเจ้าเปี๊ยก แต่ฉันก็คิดว่าเปี๊ยกคงหิวเลยตื่นมาอุ่นนมแมวในถุงซิปล็อกที่ฉันเตรียมไว้ แล้วใช้ไซรินจ์ป้อนนมให้กับเปี๊ยกตามปรกติ

แต่มีสิ่งที่ไม่ปรกติคือ เจ้าเปี๊ยกไม่กลืนนมและเริ่มสะอึก เจ้าเปี๊ยกสะอึกอยู่อย่างนั้น สักพักเริ่มไม่เกาะมือฉัน แล้วอีกไม่นานต่อมาเปี๊ยกก็แน่นิ่งไป พุงของเปี๊ยกไม่มีการขยับจากการหายใจ อ้าปากค้างจากปรกติที่เปี๊ยกไม่เคยอ้าปากแบบนี้

เปี๊ยกแน่นิ่งอยู่เกือบนาที ฉันพยายามเคาะตัว ดึงแขนขึ้นลง แต่เปี๊ยกก็ไม่ตอบสนองใดๆ

ฉันหันไปเรียกน้องที่เป็นเพื่อนร่วมงานสองคนมาดูและบอกน้องๆ ว่าเปี๊ยกตายแล้ว

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร ฉันไม่อยากให้เปี๊ยกตาย ตอนนี้ฉันรักเปี๊ยกมากและภาวนาทุกวันให้เปี๊ยกได้เติบโตเป็นกระรอกที่แข็งแรง สมบูรณ์ และสามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติของกระรอกทั่วไป

ฉันลองกดลงที่หน้าท้อง จินตนาการว่าเป็นลิ้นปี่ใต้ซี่โครงของมนุษย์ ฉันกดซ้ำๆ เป็นจังหวะเท่าๆ กันอยู่สักพักเจ้าเปี๊ยกก็กลับมาสะอึก สะอึกอยู่สองสามทีก็กลับไปแน่นิ่ง

ฉันยกตัวเปี๊ยกขึ้นแล้วกดตำแหน่งเดิมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ฉันออกแรงกดอย่างสม่ำเสมอด้วยมือข้างเดียว แต่ส่วนอื่นในร่างกายโดยเฉพาะใจของฉันมันสั่นไม่เป็นจังหวะไปหมดแล้ว ฉันนึกขึ้นได้ถึงโรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำที่เพื่อนของฉันแนะนำ

เพื่อนของฉันได้รู้ข่าวว่าฉันเก็บกระรอกเด็กจิ๋วมาเลี้ยงผ่านการบอกเล่าในเฟซบุ๊กของฉัน และโทร.มาแนะนำว่ามีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่สามารถรักษาเจ้าสัตว์ฟันแทะแบบนี้

ฉันไม่รอช้า พอฉันเห็นโอกาสว่าเจ้าเปี๊ยกยังไม่ตาย ฉันหิ้วเจ้าเปี๊ยกวิ่งไปหาเจ้านายเพื่อขออนุญาตพาเปี๊ยกไปหาหมอในเวลางาน เจ้านายและเพื่อนร่วมงานของฉันทุกคนอนุญาตให้ฉันพาเจ้าเปี๊ยกไปให้ถึงมือหมอ ฉันรู้ดีว่าทุกคนต่างเอาใจช่วยการมีชีวิตอยู่ของเปี๊ยกไม่น้อยไปกว่าฉัน และตอนนั้นสภาพของฉันคงดูแย่จริงๆ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง น้ำตาเริ่มไหลออกมา ฉันพูดกับเปี๊ยกไว้หนึ่งประโยคก่อนรีบออกจากออฟฟิศไป

“หายใจเถอะเปี๊ยก หายใจต่อมันง่ายกว่ากันเยอะ”

ฉันพาเจ้าเปี๊ยกขึ้นรถแท็กซี่อีกครั้ง ระหว่างทางเจ้าเปี๊ยกเหมือนจะหายดีแล้ว ฉันใจเย็นลงมาก และให้เจ้าเปี๊ยกนอนอยู่ในมือ เมื่อไปถึงฉันนั่งรอเข้าพบคุณหมอประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง พอได้เจอคุณหมอฉันดีใจมากๆ เพราะที่ผ่านมาฉันอนุบาลเจ้าเปี๊ยกผ่านข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต แต่ละแหล่งข้อมูลก็ให้ข้อมูลแตกต่างกันไป และต่างก็บอกเล่าถึงความยากลำบากในการดูแลกระรอก ฉันอยากฟังและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญอย่างสัตวแพทย์มาตลอด

“เปี๊ยกเป็นกระรอกเด็กที่แข็งแรง เลี้ยงมาได้ถึงวันนี้เค้าก็น่าจะรอดแล้ว” หมอบอกในวันที่ฉันดูแลเปี๊ยกมาได้ 18 วัน หรือประมาณได้ว่าเจ้าเปี๊ยกอายุเกือบ 3 สัปดาห์

ฉันดีใจมากๆ ที่การดูแลแบบงูๆ ปลาๆ ตามวิธีต่างๆ ที่ฉันสังเกตและดัดแปลงสิ่งต่างๆ เอาเอง มันก็ยังทำให้เจ้าเปี๊ยกมีสุขภาพแข็งแรงทัดเทียมกับมาตรฐานทั่วไปจนคุณหมอยืนยัน

ฉันปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติมเพราะเจ้าเปี๊ยกคอบวมมาเกือบสัปดาห์แล้ว คุณหมอยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเปี๊ยกเป็นอะไร แต่วินิจฉัยว่าอาจจะเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบหรือไม่ก็เป็นฝี ฉันจึงเล่าให้คุณหมอฟังถึงความตะกละตะกลามของเปี๊ยกเวลาดูดนมจากไซรินจ์ เปี๊ยกมักจะกระเสือกกระสนเอาตัวเองพุ่งเข้าหาไซรินจ์อย่างมาก โดยไซรินจ์ที่ฉันใช้นั้นมีการต่อปลายด้วยหลอดอ่อนเล็กเพื่อให้ปริมาณในการให้แต่ละครั้งไม่มากจนทำให้สำลัก แต่ฉันคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝีหรือเป็นแผลข้างในคอจนอักเสบและบวมแบบนี้

แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเปี๊ยก กระรอกเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับฉันมา ได้ฟื้นคืนชีพแล้ว คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นอีกเราสามารถกู้ชีพอย่างเดิมได้ และสอนท่ากู้ชีพที่ดีกว่าเพิ่มมาอีกสองท่า

เปี๊ยกรอดแล้ว
เปี๊ยกไม่ตาย
เปี๊ยกรอดแล้ว
เปี๊ยกไม่ตาย

สุเปี๊ยกกับสังคมมนุษย์

เจ้าเปี๊ยกเจริญเติบโตมาตามพัฒนาการทั่วไปของกระรอก ลืมตา มีขนขึ้น มีหนวดยาว มีฟันคู่หน้า มีเล็บแหลม และเริ่มผลัดขน

เมื่อวันที่ฉันเริ่มเห็นว่าขนของเปี๊ยกเริ่มเปลี่ยนไป ไล่จากหน้าไปหู หูไปท้อง และท้องไปยังหาง เปี๊ยกเริ่มเหมือนกระรอกที่ฉันมักจะมองเห็นที่นอกหน้าต่างโต๊ะทำงานของฉันแล้ว ฉันเองก็เริ่มคิดและปรับใจให้เข้าใจว่า อีกไม่นานเปี๊ยกก็ต้องไปจากฉันเพื่อมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติจริงๆ ของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ฉันพาเปี๊ยกไปยังที่ต่างๆ อยู่ข้างตัวฉันเสมอในวันที่เปี๊ยกยังต้องกินนมที่ป้อนจากมือของฉัน

เปี๊ยกขดตัวอยู่ในกระเป๋าและออกมากินนมเวลาที่ฉันเปิดให้ออกมา เปี๊ยกไม่ค่อยออกไปไหนหรือวิ่งวุ่นเลย ฉันจับเปี๊ยกได้อย่างง่ายดายเวลาไปข้างนอก อาจเป็นเพราะเปี๊ยกเองก็ฉลาด รู้ว่าตรงไหนเป็นที่ที่ปลอดภัย และจะอยู่กับพื้นที่ที่ตัวเองเคยฉี่รดไว้

แต่หลายครั้งที่ธุระของฉันไม่สามารถพาเปี๊ยกออกไปได้ ความรับผิดชอบจึงต้องไปตกอยู่กับเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ เปี๊ยกตัวเล็กจิ๋วที่ใครๆ ก็รัก ได้รับการดูแลจากหลายๆ มือ

หลังจากที่เปี๊ยกเติบโตมาเป็นกระรอกแรกแย้มแล้ว เจ้าเปี๊ยกก็ยังคงได้รับการทักทาย เล่นด้วยจากทุกคนในออฟฟิศเหมือนเดิม เจ้าเปี๊ยกกระโดดไปมา อย่างอิสระในห้องที่ทำงานของฉัน ป่วนคนในออฟฟิศไปทั่ว

สุเปี๊ยกชอบเดินไปเดินมา ฉี่รดคอมพิวเตอร์ของฉัน ฉี่รดกระดาษงานที่ฉันกำลังทำ ฉี่ใส่ต้นคอของฉันและน้องๆ กระโดดขึ้นไปซุกตัวอยู่ในโคมไฟกระดาษเหนือโต๊ะทำงานของน้อง แถมยังกัดกระจุยกระจาย

สิ่งที่เปี๊ยกมักจะทำอยู่เสมอและฉันมักจะได้ยินเสียงน้องๆ ตะโกนชื่อเปี๊ยกกันอยู่เรื่อยคือการขโมยน้ำกิน พวกเราในออฟฟิศชอบซื้อน้ำต่างๆ จากร้านกาแฟโบราณที่หน้าซอยมากิน และแก้วกาแฟนี้จะมีหลอดดูด สิ่งที่เปี๊ยกทำคือปีนขึ้นไปบนแก้วแล้วเลียที่ปลายหลอด บางครั้งน้ำในแก้วเหลือน้อย น้ำหนักตัวของเปี๊ยกก็จะพาแก้วนั้นล้มลงใส่โต๊ะทำงานของพวกเรา

“เรารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสัตว์ เราตัดอารมณ์ออกไปได้เลยเพราะมันไม่รู้เรื่อง” น้องร่วมงานของฉันคนหนึ่งพูดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอยู่ร่วมกับเปี๊ยก

น้องยังคงตั้งคำถามกับตัวเองต่อไปว่า แล้วทำไมกับคนด้วยกันเองเราถึงต้องโมโหกัน อาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่คุยกันรู้เรื่องทุกอย่างหรือเปล่า เราเลยมีความคาดหวังกันและมีความโกรธต่อกัน

ฉันเห็นด้วยกับน้อง พวกเราไม่เคยโกรธเปี๊ยกเลย ไม่ว่าจะฉี่รด อึใส่ มากัดหู ล้มแก้วน้ำ หรืออะไรก็ตาม ความไม่รู้เรื่องของเปี๊ยกกลับกลายเป็นความน่าเอ็นดู

แต่ในการทำงานที่เราทำงานร่วมกัน พวกเรามักจะมีบางจุดที่รู้สึกไม่ดีต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่รู้ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากที่จะโกรธกันบนเรื่องที่ไม่รู้

ตัวฉันเองมักจะไม่ค่อยพอใจในบางกรณีเวลาที่ฉันถามอะไรแล้วคนตอบว่าไม่รู้ในงานหรือสิ่งที่เรารับผิดชอบหรือทำร่วมกัน บางครั้งมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้กลางทาง บางครั้งฉันไม่โกรธหรอกที่ไม่รู้ แต่ฉันอยากรู้ว่าไม่รู้แล้วอย่างไรต่อ จะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้เรารู้หรือเข้าใจสิ่งต่างๆ แต่บางคนยึดคติที่ว่า “ไม่รู้ ไม่ผิด” มากจนเกินไป ฉันคิดว่าคำนั้นเหมาะกับเปี๊ยกเสียมากกว่า

เปี๊ยกเป็นสัตว์ที่มีสมองคนละประเภทกับมนุษย์อย่างเรา แต่พวกเราเป็นคน บางครั้งฉันก็คาดหวังระบบความคิดบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตามเปี๊ยกก็ทำให้ฉันใจเย็นลง มองเห็นและไตร่ตรองเรื่องความไม่รู้ได้บ้าง

การมาอยู่ของเปี๊ยกก็ทำให้พวกเราเหมือนมีที่พักใจหลังจากทำงานอย่างหนักมานั่งมองสัตว์เล็กไร้เดียงสาตาแป๋วๆ ได้เหมือนกัน

ครอบครัวพร้อมหน้า

เปี๊ยกเป็นกระรอกกำพร้า

ฉันเจอกับเปี๊ยกและพี่ชายที่ตกลงมาพร้อมกัน ทั้งสองตัวขดอยู่ในรังที่ตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ในออฟฟิศ ฉันและเพื่อนๆ แหวกรังดูจนเจอกับตัวอ่อนเล็กๆ สองตัวแดงๆ

ในวันที่ได้เจอรัง ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลว่าต้องทำอย่างไร และทำตามโดยการนำตัวอ่อนทั้งสองตัวไปวางคืนบนต้นไม้เดิมเพื่อรอพ่อแม่มารับ

แต่แล้ว 1 วันผ่านไปพ่อแม่ก็ไม่มารับ และจากข้อมูลที่ได้ค้นหามา ฉันก็รู้ได้ว่าเปี๊ยกจำเป็นต้องได้รับการดูแลเหมือนเด็กทารก ฉันจึงไปพาเปี๊ยกและพี่ชายลงมาจากต้นไม้และดูแลหาความอบอุ่นให้ตัวอ่อนตัวเย็นเฉียบทั้งสอง

ฉันดูแลเปี๊ยกและพี่ชายได้เพียง 2 วัน พี่ชายของเปี๊ยกปีนป่ายขึ้นขวดน้ำร้อนที่ฉันเตรียมไว้ให้ความอุ่นเนื่องจากความหนาวและตกลงไปในน้ำ และเมื่อฉันไปเจอพี่ชายเปี๊ยกก็ตัวซีดและหยุดหายใจไปแล้ว

เปี๊ยกกลายเป็นกระรอกไร้ญาติไปโดยปริยาย

จากวันนั้นเปี๊ยกรายล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกับตัวเองล้วนๆ คนมากมายรายล้อมเปี๊ยกและให้ความรักและเอ็นดู เจ้าเปี๊ยกเติบโตมาท่ามกลางคนจำนวนมาก

ในช่วงเวลาที่ฉันต้องไปทำงานต่างจังหวัดที่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินไป ฉันต้องฝากเปี๊ยกไว้กับคนที่ฉันไว้ใจในการดูแลเด็กอ่อนมากที่สุด นั่นก็คือแม่ของฉัน

ครั้งแรกที่แม่ฉันได้เจอกับเปี๊ยก แม่ดูมีความสุขเหมือนได้อุ้มเด็กๆ แม่เอ็นดูเปี๊ยกไม่น้อยไปกว่าฉัน และแม่ดูจะเดาทางการดูแลเปี๊ยกได้ดีกว่าฉันเสียอีก

เมื่อครั้งที่ฉันต้องเดินทางไปทำงานที่จังหวัดนราธิวาสเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ฉันพาเปี๊ยกไปฝากไว้ที่แม่และพี่ชาย ทั้งสองคนดูมีความสุขสนุกสนานที่มีเปี๊ยกอยู่ในบ้าน และคอยส่งภาพถ่ายทอดสดชีวิตเปี๊ยกมาสู่ฉันเสมอ

เมื่อฉันกลับบ้านมาหาเปี๊ยก ทั้งแม่ทั้งพี่ชายแย่งกันอัปเดตชีวิตเปี๊ยกกันยกใหญ่ และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ฉันตื่นเต้นคือการลืมตาครั้งแรกของเปี๊ยก ที่แม้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่เห็นด้วยตัวเอง แต่ฉันก็ยังมีความรู้สึกดีใจและอบอุ่นที่รู้ว่าการลืมตามาครั้งแรกของเปี๊ยกได้เห็นหน้าพี่ชายและแม่ของฉัน

หลังจากนั้นสายโทรศัพท์ระหว่างฉันและครอบครัวจะมีเปี๊ยกอยู่ในบทสนทนาเสมอ และทำให้ฉันโทร.กลับบ้านบ่อยขึ้น และพวกเราก็มีเรื่องให้หัวเราะร่วมกันมากขึ้น

การกลับบ้านของฉันก็มีกิจกรรมมากขึ้น บางครั้งพวกเรานั่งมองเปี๊ยกอยู่ด้วยกัน ให้อาหารและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลเปี๊ยกกัน

ฉันดีใจที่ครอบครัวของเรามีเวลาพร้อมหน้ากันมากขึ้น อันที่จริงแล้วครอบครัวของฉันยังอยู่ที่บ้านเสมอ เป็นตัวฉันเองที่มัวแต่ยุ่งกับการทำงานอยู่เรื่อย แต่เมื่อมีเปี๊ยกเข้ามา ทำให้ฉันกลับมามองเห็นความสนุกสนานและน่ารักของคนในบ้านของฉันชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง

แม่ของฉันเรียกตัวเองเวลาพูดกับเปี๊ยกว่าแม่ ส่วนพี่ชายของฉันก็เป็นเหมือนโถส้วมให้เปี๊ยกเสมอ ถ้าเปี๊ยกได้ขึ้นไหล่พี่ชายฉันเมื่อไร ไม่ฉี่ก็อึจะต้องมีฝากไว้บนเสื้อผ้าทุกครั้งไป

สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจคือ พี่ชายของฉันที่ได้เห็นว่าฉันดูแลเจ้าเปี๊ยกอยู่ตลอดเวลาพูดกับฉันว่า จริงๆ แล้วฉันก็มีความพร้อมเป็นแม่คนแล้วนะ ซึ่งจริงๆ แล้วฉันก็เห็นด้วย ฉันพร้อมมานานแล้ว ฉันพยายามบอกผู้ชายทุกคนรอบตัวฉัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฉันดีใจที่พี่ชายฉันมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะด้วยความที่ฉันเป็นน้องคนเล็กที่เด็กที่สุดในบ้านเสมอ บางครั้งฉันเองก็อยากให้คนในบ้านได้เห็นการเติบโตของฉัน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับเข้าแก๊ง มากกว่าที่จะเป็นผู้ถูกดูแลปกป้อง

ฉันรู้ดีว่าครอบครัวของฉันให้ความไว้ใจ เชื่อมั่น และสนับสนุนสิ่งต่างๆ ที่ฉันทำอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับรู้ความวางใจนี้อย่างแท้จริง ในวันที่ฉันเป็นผู้ดูแลกระรอกน้อยอย่างเต็มตัว

มากกว่าความสุขที่ได้รับความวางใจเหล่านั้นแล้ว ตั้งแต่มีเปี๊ยก หลายครั้งฉันนึกรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ของฉันเหลือเกินที่เลี้ยงดูฉันมาในแบบที่เป็น พี่ชายของฉันได้พูดคุยกับฉันเกี่ยวกับเปี๊ยกไว้ว่า สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ ก็จะเติบโตไปตามพื้นที่ที่เลี้ยงดูและปลูกฝัง และฉันเองก็คิดว่าเราสองคนพี่น้องก็โชคดีที่พ่อแม่ให้เราเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้

ฉันเองก็อยากให้เปี๊ยกเป็นกระรอกที่โชคดีที่มีครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนความเป็นกระรอกของเปี๊ยกเช่นกัน

ต้นไม้ ดาดฟ้า และรางม่าน

เจ้าเปี๊ยกได้เติบโตมาเป็นกระรอกที่แข็งแรงและสมบูรณ์จนพร้อมที่จะปีนป่ายไปตามต้นไม้แล้ว

สิ่งหนึ่งที่ฉันเป็นห่วงและกังวลใจในทุกๆ ครั้งที่ต้องปล่อยให้เปี๊ยกไปฝึกฝนการใช้ชีวิตบนต้นไม้คือ สิ่งมีชีวิตนักล่า

เพื่อนๆ หลายคนที่เฝ้ามองเปี๊ยกอยู่ผ่านการบอกเล่าของฉันบนเฟซบุ๊กต่างก็แสดงความเป็นห่วงให้ระมัดระวังสัตว์ต่างๆ ทั้งหมา แมว และงู

ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อนของฉันเท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องราวจากผู้เลี้ยงกระรอกคนอื่นๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนกันไว้บนเว็บบอร์ดต่างๆ ต่างก็เคยมีประสบการณ์การเฝ้าระวังสัตว์อื่น และมีหลายคนที่เคยต้องสูญเสียเจ้ากระรอกไปจากการล่าของสัตว์เหล่านั้น

หลายครั้งฉันไม่เป็นอันทำอะไร สติแตกกระเจิงเมื่อพบว่าเจ้าเปี๊ยกคลาดสายตาของฉันไปแล้ว แม้ว่าฉันตระหนักอยู่เสมอว่าวันหนึ่งฉันอยากให้เปี๊ยกได้กลับไปโลดแล่นอยู่บนต้นไม้ตามสไตล์ของกระรอกตามธรรมชาติ

แต่ฉันเองก็ยังเป็นห่วงมากอยู่ดี เพราะฉันกังวลอยู่เสมอว่าจะหนีแมวเป็นไหม กลัวหมาหรือเปล่า ถ้าเจองูแล้วจะรู้ตัวไหมว่าเป็นอันตราย เพราะเปี๊ยกโตมากับคนรายล้อมที่ไม่คิดร้ายกับเปี๊ยกเลย

ฉันกังวลมากว่าการดูแลของฉันจะทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าอย่างที่ควรจะมีของเปี๊ยกหายไป

ฉันเฝ้านั่งมองเจ้าเปี๊ยกอยู่เสมอ และรอคอยการกลับมาปรากฏตัวของเปี๊ยกในทุกๆ วันที่ฉันปล่อยไปเที่ยว

ช่วงแรกๆ ฉันปล่อยเปี๊ยกขึ้นต้นไม้ที่อยู่กลางออฟฟิศ เป็นต้นไม้กิ่งเล็กๆ ที่สูงแค่หลังคาชั้น 1 เปี๊ยกปีนป่ายอย่างไม่คล่องนัก ปีนขึ้นปีนลงอยู่แค่ในสายตาของฉัน 2 ชั่วโมงบ้าง 3 ชั่วโมงบ้าง และกลับลงมาให้ฉันเดินไปรับกลับเข้ากรงได้

ไม่นานเปี๊ยกก็เริ่มขยับขยายอาณาเขต จากต้นนี้ไปยังต้นมะละกอข้างๆ ขึ้นไปนอนแผ่หลาบนใบมะละกอที่สูงที่สุดเกินมือของฉันจะเอื้อมถึง ความสุขของฉันคือการเดินผละออกมาจากโต๊ะทำงานเพื่อไปเข้าห้องน้ำแล้วได้เห็นเปี๊ยกอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ ระหว่างทาง

แม้แต่ที่บ้านฉันก็ปล่อยเปี๊ยกให้เป็นอิสระมากขึ้น หลังจากที่ฉันได้เห็นเปี๊ยกฉายแววความผาดโผนจากการหนีแมว ซ่อนตัวจากหมา และวิ่งหนีกระรอกที่เป็นศัตรูรอดทุกนัด

ที่บ้านของฉัน เปี๊ยกชอบปีนขึ้นไปนอนเหยียดตัวยาวบนรางม่านครั้งละเป็นชั่วโมง ฉันให้ความอิสระกับเปี๊ยกมากขึ้นเรื่อย ๆ

และวันหนึ่งเปี๊ยกก็หายไป ไม่กลับมา

วันนั้นฉันต้องไปทำงานข้างนอกบ้าน ฝากเจ้าเปี๊ยกไว้กับแม่ และแม่ก็มีธุระต้องออกไปข้างนอกและเตรียมตัวจะพาเปี๊ยกไปด้วย แต่เปี๊ยกนอนสบายอยู่บนรางม่าน แม่จึงบอกฉันว่าจะปล่อยเปี๊ยกอยู่ที่บ้าน ฉันเองก็เห็นด้วยเพราะรู้ว่าเปี๊ยกเก่งและอยู่ได้เองแล้ว

ฉันกลับมาในคืนนั้น เงียบ ไม่มีเสียงเปี๊ยกอยู่แล้ว

ฉันผ่านการทำใจเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านั้นเปี๊ยกเคยหายตัวไปบนต้นไม้เกินเวลาที่เคยไป จาก 2 ชั่วโมงเป็นครึ่งวัน จากครึ่งวันเป็นทั้งวัน ฉันปรับใจของฉันมาเรื่อยๆ ว่าเปี๊ยกคงไปแล้ว

และในคืนนั้นก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องบอกตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกต้องแล้ว เปี๊ยกต้องได้ไปในที่ที่อยากไปตามที่เปี๊ยกต้องการ

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นทุกคืนฉันเข้านอนไปพร้อมกับเปี๊ยก ฉันอุ่นใจทุกครั้งที่รู้ว่าเปี๊ยกอยู่ในผ้าห่มเดียวกัน ตัวเปี๊ยกอุ่นเสียยิ่งกว่าตัวฉันเสียอีก การนอนข้างๆ กันฉันอบอุ่นในทุกคืน

ฉันคิดถึงเปี๊ยก

ในวันต่อมาฉันต้องออกไปทำงานของฉันต่อไป เปี๊ยกยังคงไม่กลับมา ฉันอยากร้องไห้ตลอดเวลา แต่ฉันก็รู้ดีว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปตามธรรมชาติ

บ่ายวันนั้นพี่ชายของฉันส่งภาพมา ฉันตื่นเต้นมาก ฉันลุ้นว่าเจอเปี๊ยกแล้วใช่ไหม

ใช่แล้ว ภาพของเปี๊ยก เปี๊ยกย้ายพื้นที่ยืดเหยียดของตัวเองจากรางม่านที่ชั้น 1 ไปเป็นราวบันไดที่ชั้น 3

พี่ชายของฉันเล่าว่า เจ้าเปี๊ยกลงมาจากดาดฟ้า เจ้าเปี๊ยกคงจะชอบชั้นดาดฟ้าจึงได้ขึ้นไป

ฉันดีใจ ฉันมีความสุข เพราะฉันกลัวว่าเปี๊ยกจะเป็นอะไรไปมากกว่า

ตอนนี้เปี๊ยกเองเป็นกระรอกที่มีอิสระแล้ว สามารถพาตัวเองไปในที่ที่อยากไป ไปหาของกินในแบบของตัวเอง ไปนอนในที่ที่อยากนอนได้ เปี๊ยกเป็นกระรอกอิสระมากขึ้นอย่างที่ฉันอยากเห็นมาตลอด

ฉันคิดกับตัวเองอยู่เสมอตั้งแต่วันที่ฉันได้สัมผัสเจ้าเปี๊ยกครั้งแรกว่า ครอบครัวของฉันอนุญาตให้ฉันมีความอิสระมาตลอดชีวิตของฉัน ได้ลองผิดลองถูกบนความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวฉันเสมอ ตัวฉันเองก็อยากเห็นเปี๊ยกได้มีความสุขและมีอิสระอย่างที่ควรจะเป็น มากกว่าจะมาอยู่ในกรงขังเพื่อให้ฉันมานั่งมองความน่ารักในเวลาที่ฉันต้องการ

วันนี้เจ้ากระรอกเปี๊ยกโตพอที่จะมีชีวิตของตัวเองได้แล้ว

สุเปี๊ยก

เปี๊ยกยังคงเที่ยวเล่นไปตามอิสระของเปี๊ยก วิ่งวนพันตัวฉันและกระโดดออกนอกหน้าต่างไปวิ่งเล่นท่องเที่ยวโลกกระรอกอย่างสนุกสนาน

การตื่นมาให้ถั่วเปี๊ยกกิน เช็ดฉี่เปี๊ยกบนโต๊ะทำงานหนึ่งรอบ และนั่งมองเปี๊ยกกระโดดออกนอกหน้าต่างไปยังต้นหมากที่อยู่ติดกับโต๊ะทำงานของฉัน กลายเป็นกิจวัตรยามเช้าของฉันไปแล้ว

ทุกวันเปี๊ยกจะกระโดดออกไปและกลับมานอนพักผ่อนเหยียดตัวยาวบนขอบหน้าต่างระหว่างวันเพื่อให้ฉันพาเข้าไปพักในกรงตอนเย็น และเข้านอนไปพร้อมกับฉันในทุกๆ คืน

ฉันนั่งเฝ้ามองภาพเจ้าเปี๊ยกผ่านกรอบหน้าต่างเหมือนนั่งดูโทรทัศน์

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันนั่งทำงานแสนยาก ฉันเหนื่อยและเริ่มท้อแท้ในใจ อยากจะล้มเลิกแล้วเดินไปนอนให้รู้แล้วรู้รอด ฉันเลยนั่งมองเปี๊ยกที่เกาะต้นหมากอยู่ เจ้าเปี๊ยกเกร็งตัวเตรียมพร้อมจะกระโดดไปต้นไม้ข้างๆ ที่ห่างออกไป

วืด…
เจ้าเปี๊ยกกระโดดไม่ถึงและร่วงไปบนพื้นชั้นล่าง

ไม่นานเจ้าเปี๊ยกมาจากทางไหนไม่รู้มาโผล่บนโต๊ะทำงานของฉัน กระโดดไปที่ต้นหมากและเกร็งตัวจ้องไปที่ต้นไม้เดิมที่พลาดไปแล้วกระโดดใหม่

วืด…
อีกครั้งที่เปี๊ยกกระโดดไม่ถึงและหายไปตามพุ่มไม้ด้านล่าง

เจ้าเปี๊ยกวนกลับมาใหม่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่รอบนี้เปี๊ยกเกร็งตัวอยู่นานและจ้องเขม็งไปที่ต้นไม้นั้น

“ปั้บ”
เจ้าเปี๊ยกกระโดดแปะที่ลำต้นต้นไม้ต้นนั้นได้สำเร็จ

ฉันเห็นเปี๊ยกทำสำเร็จและได้ขึ้นไปบนยอดไม้ที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมแล้วคิดได้ว่าเจ้าเปี๊ยกช่างสู้ไม่ถอยจริงๆ ฉันก้มลงมองงานของฉันอย่างมีกำลังใจ ฉันสู้ต่อเพื่อให้งานที่ฉันรักเกิดเป็นจริงขึ้นมา

“She’s so strong and she is fighter”

เพื่อนร่วมงานของฉันที่ช่วยฉันดูแลให้นมตั้งแต่สมัยเจ้าเปี๊ยกยังขนไม่ขึ้นพูดประโยคนี้กับฉันเมื่อเรามองย้อนกันกลับไปว่าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเปี๊ยกจะใช้ชีวิตกับคนมาจนโตได้ขนาดนี้

เจ้าเปี๊ยกยังคงวนไปมารอบตัวฉันเสมอ และช่วงเวลาที่เจ้าเปี๊ยกไม่กลับมาเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าเปี๊ยกหายไปเป็นวัน
จากวันเป็นคืน
จาก 1 คืนเป็น 2 คืน

ฉันยอมรับได้แล้วว่าเปี๊ยกต้องจากฉันไปจริงๆ เปี๊ยกมีสังคมของตัวเองและคงหารังนอนได้แล้ว หลังจากที่เปี๊ยกไม่มาให้ฉันเห็นหน้า 3 วันแล้ว

ฉันได้มองชีวิตฉันผ่านการเติบโตของเปี๊ยกมาตลอด 4 เดือนกว่าๆ นี้ ฉันรู้สึกว่าฉันได้เติบโตและแข็งแรงขึ้นไปพร้อมๆ กับการเติบโตและแข็งแรงของเปี๊ยก

เปี๊ยกพาฉันไปรู้จักสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น เปี๊ยกทำให้ฉันได้เห็นว่าต้นไม้ในออฟฟิศของฉันมีหลากหลายประเภทเหลือเกิน ขนาดลำต้นแตกต่างกันออกไป ลักษณะใบที่แข็งแรงพอบ้างไม่พอบ้างให้เปี๊ยกนอน ฉันมองเห็นความสวยงามของสิ่งแวดล้อมรอบตัวฉันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

การออกไปวิ่งเล่นและฉี่ไปทั่วของเปี๊ยก ทำให้กระรอกตัวอื่นๆ ลงมาวิ่งเล่นในระยะสายตาของฉันมากขึ้น เมื่อก่อนฉันเองก็พอจะเห็นกระรอกในพื้นที่ออฟฟิศของฉัน แต่ตอนนี้ฉันเห็นเต็มไปหมด คงเป็นเพราะกลิ่นของเปี๊ยกที่ทำให้กระรอกลงมาวิ่งเล่นในระดับสายตาของฉัน

กระรอกในบริเวณนี้มีหลายสีมาก ทั้งขาว น้ำตาล น้ำตาลท้องแดง และน้ำตาลท้องขาวแบบเปี๊ยก

ของรอบตัวของฉันก็ยังคงเคลื่อนไหวไปตามเดิม แต่สายตาและการรับรู้ของฉันเปลี่ยนไปบ้างแล้ว

ฉันคิดว่าฉันยอมรับได้แล้ว แต่ฉันก็ยังคงคิดถึงเปี๊ยกอยู่เสมอ ฉันนอนในห้องทำงานและเปิดหน้าต่างบานเดิมที่เคยเป็นที่เข้าออกของเปี๊ยกทิ้งไว้ เผื่อเปี๊ยกหิวถั่วฉันยังคงมีอยู่

ฉันตื่นขึ้นมาทุกวันและควานเข้าไปในถุงนอน หวังว่าจะไปสัมผัสกับขนนุ่มนิ่มของเปี๊ยกในสักเช้า
แต่เปี๊ยกก็ยังไม่กลับมา
เปี๊ยกอาจจะไปมีแฟน แล้ววันหนึ่งคงพาลูกกลับมาเยี่ยมฉันบ้างนะ
วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาและยังคงคิดถึงเปี๊ยก ฉันนอนดิ้นไปมาในถุงนอนแล้วไปทับเข้ากับก้อนกลมๆ ขนนิ่มๆ
ฉันรีบล้วงมือไปจับ

เปี๊ยกกลับมาแล้ว