ชื่อจริงและชื่อเล่น (๘)

ผีสางเทวดา เกร็ดเรื่องราวความเชื่อผีสาง เทวดา ในวัฒนธรรมไทยแต่อดีต


three seals law

“พระไอยการบานผแนก” เป็นหนึ่งในกฎหมายเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ถูกนำมารวบรวมไว้ใน “กฎหมายตราสามดวง” ยุคต้นกรุงเทพฯ กฎหมายฉบับนี้ตั้งศักราชไว้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง สาระสำคัญคือ “บานแผนก” ว่าด้วยการแบ่งลูกๆ ตามสังกัดไพร่ของพ่อแม่ ว่าต้องแบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไรบ้าง

ข้อมูลสำคัญจากกฎหมายฉบับนี้คือคำเรียกลูกชายและหญิงตามลำดับเรียงพี่เรียงน้อง ได้แก่

ลูกชายคนโต อ้าย คนที่ ๒ ญี่ (ยี่) / คนที่ ๓ สาม / คนที่ ๔ ไส / คนที่ ๕ งัว(งั่ว) / คนที่ ๖ ลก / คนที่ ๗ เจด(เจ็ด) / คนที่ ๘ แปด / คนที่ ๙ เจา / คนที่ ๑๐ จง / คนที่ ๑๑ นิง / คนที่ ๑๒ สอง

ส่วนลูกสาวคนโตคือ เอื้อย / คนที่ ๒ อี่ / คนที่ ๓ อาม / คนที่ ๔ ไอ / คนที่ ๕ อัว / คนที่ ๖ อก / คนที่ ๗ เอก / คนที่ ๘ แอก / คนที่ ๙ เอา / คนที่ ๑๐ อัง

ชื่อทั้งชุดนี้ที่ได้จากพระไอยการ เชื่อว่าคงเป็นการระบุ “เผื่อไว้” มากกว่า เพราะผู้หญิงที่มีลูกได้ถึง ๒๒ คน (หรือเกือบเท่าทีมฟุตบอลสองทีม) จากท้องเดียวกัน คงมีไม่มากนัก

หลักฐานที่ว่าเคยมีการเรียกขานลำดับพี่น้องแบบนี้ประกอบกับ “ชื่อ” จริงๆ ปรากฏเค้าเงื่อนในเอกสารโบราณหลายที่ ดังที่พงศาวดารสมัยอยุธยาตอนต้นเล่าว่าหลังจากสมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคตในปี ๑๙๖๗ พระโอรสสองพระองค์ ได้แก่เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่ เกิดวิวาทชิงราชสมบัติกันขึ้น เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นศึกกลางเมือง ผลสุดท้ายเจ้าอ้ายเจ้ายี่ชนช้างกระทำยุทธหัตถีกันที่สะพานป่าถ่าน สิ้นพระชนม์คาคอช้างทั้งคู่ ราชสมบัติจึงลอยตกมาอยู่แก่เจ้าสาม พระอนุชาลำดับที่ ๓ ผู้ทรงมีนามรัชกาลต่อมาว่า “เจ้าสามพระยา”

ส่วนลำดับพี่น้องถัดไปจาก ๑-๒-๓ ก็มีให้เห็นร่องรอยจากหลักฐานประวัติศาสตร์อื่นๆ อีก เช่น

ไส ลูกชายอันดับ ๔ มีอยู่ในนาม “พนมไสดำ” หรือ “พ่อนมไสดำ” ขุนนางคนสำคัญของพระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งมีนามบันทึกอยู่ใน “จารึกวัดช้างล้อม” ปี ๑๙๒๗

ส่วน งั่ว ลูกชายคนที่ ๕ มีตัวอย่างเช่นขุนหลวงพะงั่ว หรือพ่องั่ว กษัตริย์อยุธยาตอนต้น และพญางั่วนำถม บุรพกษัตริย์สุโขทัย เป็นต้น

ประเพณีการมีคำเรียกเฉพาะสำหรับลำดับพี่น้องทำนองนี้ยังหลงเหลือในคนพูดภาษาตระกูลไตกลุ่มอื่นๆ ด้วย ส่วนในภาคกลางคงสาบสูญไปหลายร้อยปีแล้ว เหลือตกค้างเพียงบางคำ เช่น “พี่เอื้อย” ซึ่งความหมายเลื่อนไป มิได้หมายถึงพี่สาวคนโต แต่กลายเป็นสำนวนหมายถึง “ลูกพี่” หรือ “พี่ใหญ่” แทน และใช้ได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย

“สมเด็จครู” สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงรื้อฟื้นธรรมเนียมนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากที่เคยทรงพบเห็นในกฎหมายโบราณ โดยทรงนำมาใช้ตั้งเป็น “ชื่อเล่น” ประทานแก่พระโอรสพระธิดาในราชสกุลจิตรพงศ์ ได้แก่ หม่อมเจ้าหญิงปลื้มจิตร (เอื้อย) หม่อมเจ้าชายอ้าย (สิ้นชีพิตักษัยในวันประสูติ) หม่อมเจ้าชายเจริญใจ (ยี่) หม่อมเจ้าชายสาม (สิ้นชีพิตักษัยแต่ยังเล็ก) หม่อมเจ้าหญิงประโลมจิตร (อี่) หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร (อาม) หม่อมเจ้าชายยาใจ (ไส) หม่อมเจ้าชายเพลารถ (งั่ว) และหม่อมเจ้าหญิงกรณิกา (ไอ)

three seals law