เรื่อง : สุเจน กรรพฤทธิ์
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
![เมื่อ “ปีศาจ” ถูกแปลเป็นภาษาอินโดนีเซีย 1 เมื่อ ปีศาจ ถูกแปลเป็นภาษาอินโดนีเซีย](https://www.sarakadee.com/wp-content/uploads/pisajindo01.jpg)
ปี ๒๕๖๑ ที่ผ่านมาเป็นปีที่ครบวาระ “๑๐๐ ปี ชาตกาล” ของนักเขียนคนสำคัญของไทยหลายคน
หนึ่งในนั้นคือ “เสนีย์ เสาวพงศ์” นามปากกาของ “ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์” ผู้เขียนนิยายเรื่อง “ปีศาจ” ที่คนไทยจำนวนมากรู้จักดีในฐานะนิยายเล่มหลักของวงวรรณกรรมไทยที่ส่งผลสะเทือนต่อความคิดของผู้คนในสังคม
ปีศาจแต่งขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ ๒๔๙๐ หลังเสนีย์กลับจากประจำการในทวีปอเมริกาใต้ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการทูต ก่อนที่จะ “โดนเก็บ” ในยุคของจอมพลสฤษดิ์เนื่องจากมีเนื้อหาวิพากษ์สังคมไทย ก่อนที่จะกลับมาสู่สายตาผู้อ่านอีกครั้งในยุคก่อนและหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในฐานะวรรณกรรมเพื่อชีวิตและอยู่ยั้งยืนยง ได้รับการกล่าวถึงทุกครั้งเมื่อระบอบอำนาจนิยมหวนกลับมาสู่สังคมไทย
ในแง่ของความแพร่หลาย นอกจากโลกภาษาไทย ยังปรากฏข้อมูลใน โลกหนังสือ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๙ (มิถุนายน ๒๕๒๑) ว่า “ปีศาจ” ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศภาษาแรกคือภาษาจีนอย่างน้อยตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ ๒๕๐๐ โดย วิวัฒน์ รุ่งวรรธนวงศ์ นำไปเสนอสำนักพิมพ์บนเกาะฮ่องกง ส่วนการแปลเป็นภาษาอื่น มาจนถึงตอนนี้ เรายังไม่พบข้อมูลที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนในแง่ของรายละเอียดและสถิติ แต่ที่แน่นอนคือ การแปล “ปีศาจ” ครั้งหลังสุดเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๗ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ ๖๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินโดนีเซียในปี ๒๕๕๘
ทว่า การตีพิมพ์ปีศาจฉบับบาฮาซา (ภาษา) อินโดนีเซียในปี ๒๕๕๘ ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเท่าใดนัก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ “ปีศาจ” ถูกแปลเป็นภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียนนอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษ
สารคดี มีโอกาสสนทนาสั้นๆ กับ ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล หัวหน้าคณะผู้แปลนิยายเล่มนี้เป็นภาษาอินโดนีเซีย
โครงการแปล “ปีศาจ” เกิดขึ้นได้อย่างไร
ดิฉันได้รับการติดต่อจากกระทรวงการต่างประเทศในปี ๒๕๕๗ ให้ทำงานนี้เพื่อฉลองครบรอบ ๖๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินนีเซียในปี ๒๕๕๘ ในการแปล ได้ทำงานร่วมกับอาจารย์เพ็ญศรี พานิช จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมีเพื่อนชาวอินโดนีเซียคนหนึ่งช่วยในการดูสำนวนภาษาในภาพรวม
มีวิธีทำงานกับต้นฉบับดั้งเดิมอย่างไร
“ปีศาจ” ฉบับภาษาไทยที่เราใช้เป็นต้นฉบับ มีทั้งหมด ๓๑ บท ดิฉันแปล ๑๖ บท อาจารย์เพ็ญศรีแปล ๑๕ บท แต่เป็นการแปลสลับฟันปลา เช่น ดิฉันแปลบทที่ ๑ อาจารย์เพ็ญศรีแปลบทที่ ๒ การแปลบทเว้นบททำเพื่อทำให้สำนวนแปลของทั้งสองคนจะสมานเป็นเนื้อเดียวกันได้ง่ายเวลาเกลาภาษา หลักการใหญ่ในการทำงานของเราคือรักษาภาษาของต้นฉบับเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด ต้นฉบับใช้ภาษาไทยรุ่นเก่า เราก็แปลรักษาสำนวน แต่คนอินโดนีเซียต้องอ่านรู้เรื่อง ต้องมีเชิงอรรถอธิบายสำหรับคนที่อาจไม่เข้าใจ เช่น ความเชื่อเรื่อง “กรรม” ที่ไม่มีในอินโดนีเซีย ก็จะมีเชิงอรรถอธิบายกำกับเอาไว้
![เมื่อ “ปีศาจ” ถูกแปลเป็นภาษาอินโดนีเซีย 2 pisajindo02](https://www.sarakadee.com/wp-content/uploads/pisajindo02.jpg)
![เมื่อ “ปีศาจ” ถูกแปลเป็นภาษาอินโดนีเซีย 3 pisajindo03](https://www.sarakadee.com/wp-content/uploads/pisajindo03.jpg)
ที่มาของชื่อ “momok” ซึ่งเป็นคำแปลของ “ปีศาจ” ในภาษาอินโดนีเซีย
คำว่า “ปีศาจ” ในภาษาอินโดนีเซียมีหลายคำที่มีความหมายแนวนี้ แต่ถ้าอิงจากนิยายเรื่อง “ปีศาจ” ของไทย ผู้เขียนคือคุณเสนีย์ เสาวพงศ์ หมายถึงสิ่งที่ “หลอกหลอน” ในภาษาอินโดนีเซียคำที่ใกล้เคียงก็เช่น ซาตาน (satan) หมายถึง “สิ่งชั่วร้าย” แต่ความหมายก็ไม่ตรงเสียทีเดียว ในที่สุดเราได้คำว่า ‘โมมก’ (momok) ที่ฟังแล้วดูน่ารัก แต่ความหมายตรงตัว เพราะคำนี้ในภาษาอินโดนีเซียหมายถึงสิ่งที่ตามหลอกหลอน เรายังพบตัวละครลับชื่อ ‘เดือนเต็ม’ ปรากฏในต้นฉบับเก่า สันนิษฐานว่านี่อาจเป็น “ชื่อเดิม” ของนางเอกก่อนคุณเสนีย์จะตัดสินใจให้นางเอกใช้ชื่อ ‘รัชนี’ และมันหลงเหลืออยู่โดยที่ยังไม่ได้แก้
อุปสรรคในการทำงานชิ้นนี้คืออะไร
ตลอดการทำงานหลายเดือน อุปสรรคคือการแบ่งเวลา เพราะช่วงที่แปลนิยายเรื่องนี้ ดิฉันกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่ออสเตรเลีย ในระหว่างนั้นก็ต้องจัดการเรื่องประสานงานกับทีมแปลและงานธุรการกับกระทรวงการต่างประเทศ เวลามีการเปลี่ยนตัวผู้ประสานงานของทางราชการ ก็เหมือนกับต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่
โดยส่วนตัวได้อะไรจากการแปล “ปีศาจ”
โดยรูปแบบของนิยายเรื่องนี้ ในแง่ของวิธีเขียน วิธีนำเสนอ มันอาจดูล้าสมัยสำหรับคนอ่านยุคนี้ แต่คุณค่าของงานชิ้นนี้มีอย่างแน่นอน ตอนที่แปลและอ่านหลายรอบก็ทึ่งว่าคุณเสนีย์เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ในระบบรัฐ แต่เขียนนิยายเรื่องนี้ออกมา สื่อถึงความเหลื่อมล้ำ ปฏิเสธค่านิยมเก่า ถ้าวันนี้เรากลับมาอ่าน “ปีศาจ” จะพบว่าความเหลื่อมล้ำยังอยู่ในสังคมไทย ชาวนาก็ยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยส่วนตัวอยากให้มีการแจกจ่ายหนังสือฉบับแปลสู่สาธารณะมากกว่านี้ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีสอนภาษาอินโดนีเซียและที่อินโดนีเซีย