เรื่องและภาพ : สุเจน กรรรพฤทธิ์

 มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัยคอร์แนล เมืองอิธากะ มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ร้างไร้นักศึกษาอันเนื่องมาจากสถานการณ์ระบาดของโคโรนาไวรัส

มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัยคอร์แนล เมืองอิธากะ มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ร้างไร้นักศึกษาอันเนื่องมาจากสถานการณ์ระบาดของโคโรนาไวรัส

“ตอนนี้เราดูสถานการณ์วันต่อวัน ฉันคาดว่าไม่เกินสามวัน รีบกลับ ก่อนทุกอย่างจะปิดตัว และทุกอย่างจะหยุดนิ่ง”

ทามอรา ฟิชเชล (Thamora Fishel) ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์โปรแกรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยคอร์แนล (Southeast Asia Program, Cornell University-SEAP) บอกผมด้วยนำเสียงเรียบๆ ในขณะที่ผมได้แต่อึ้งกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปรายชั่วโมง

เธอแนะนำอย่างหนักแน่นว่า หากต้องป่วย เธออยากให้เราป่วยที่เมืองไทยโดยสำทับว่า “ฉันเคยไปอยู่เมืองไทย ฉันคิดว่าแพทย์ใน รพ.ไทย มีศักยภาพ พวกคุณน่าจะอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่โดยไม่มีหลักประกันอะไรรองรับเลย สถานการณ์แบบนี้ฉันอยากให้เราทุกคนกลับบ้านมากกว่าอยู่ไกลบ้าน”

ลางสังหรณ์บางอย่าง สำทับด้วยข้อมูลจาก นสพ. New York Times ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่า สหรัฐอเมริกากำลังจะเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภายในไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้ผมเชื่อทามอราว่าเธอห่วงเรามาก

ผมคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ มันคล้ายเมื่อครั้งหนึ่งที่ผมหลุดเข้าไปในเขตประกาศกฎอัยการศึกของ สปป.ลาว แล้วก็รู้สึกได้อย่างรุนแรงว่า เรากำลังจะเจออันตรายบางอย่างในทุกนาทีที่กำลังเดินเข้ามาหา

รีบทำภารกิจให้จบแล้วถอนตัว คือหนทางที่ดีที่สุด

มุมหนึ่งของคอร์แนล มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตป่าเขาซึ่งสวยงามราวกับดินแดนมิดเดิ้ลเอิร์ธในนิยายเรื่อง “ลอร์ดออฟเดอะริงค์” ของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน

มุมหนึ่งของคอร์แนล มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตป่าเขาซึ่งสวยงามราวกับดินแดนมิดเดิ้ลเอิร์ธในนิยายเรื่อง “ลอร์ดออฟเดอะริงค์” ของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน

ห้องสมุด Olin ที่ปิดตัวลงอย่างกะทันหันโดยไม่มีกำหนดเปิดกลางเดือนมีนาคม ๒๐๒๐ ท่ามกลางความงุนงงของนักศึกษา

ห้องสมุด Olin ที่ปิดตัวลงอย่างกะทันหันโดยไม่มีกำหนดเปิดกลางเดือนมีนาคม ๒๐๒๐ ท่ามกลางความงุนงงของนักศึกษา

“หน้ากาก” ในสายตาอเมริกันชน

ก่อนไปสหรัฐฯ ผมลังเลที่จะพกหน้ากากอนามัยไปใช้ในระหว่างที่ทำภารกิจเก็บข้อมูลในสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้งานกับสารคดีหลายเรื่องที่อยู่บนสายพานการผลิต

คนไทยหลายคน กระทั่งคนอเมริกันเองก็เตือนแบบเดียวกันว่า “อย่าใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ” ด้วยวัฒนธรรมอเมริกัน (ตามที่เจ้าถิ่นว่า) การใส่หน้ากากอนามัยหมายถึงคนใส่นั้นเป็น “ผู้ป่วย” และจะโดดเด่นเป็นที่จับตาในที่สาธารณะ ทั้งยังอาจชักนำไปสู่อันตรายโดยที่เราไม่คาดคิด เห็นได้จากข่าวการโจมตีคนเอเชียที่ใส่หน้ากากปรากฏขึ้นกระจายตัวอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นที่ลอสแองเจลิส (มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ชายฝั่งตะวันตก) หรือนิวยอร์ก (มลรัฐนิวยอร์ก ชายฝั่งตะวันออก) ปรากฏอยู่เป็นระยะก่อนที่ผมจะไปถึงที่นั่น

New York Times รายงานว่ามีการโจมตีชาวเอเชียที่อยู่ในอเมริกาเป็นระยะโดยเรียกได้ว่ามีหลากหลายรูปแบบ และในบางกรณีมีลักษณะย้อนแย้งจนไม่น่าเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องการใส่หน้ากาก

รูปแบบแรกคือการ “โจมตีไปที่เชื้อชาติ” (Racism) โดยมุ่งไปที่คนเชื้อสายเอเชียที่สังเกตได้ง่ายจากหน้าตาและท่าทาง

๑๒ มีนาคม ๒๐๒๐ มีรายงานว่ามีสตรีวัย ๒๓ ปีเชื้อสายเอเชียคนหนึ่งถูกชกที่หน้าโดยผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ตะโกนข้อความเหยียดเชื้อชาติแล้วทำร้าย ก่อนจะหนีไป (nbcnews.com / ๑๒ มีนาคม ๒๐๒๐)

อีกสองกรณีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๐๒๐ ชายคนหนึ่งคุกคามชายชาวเอเชียวัย ๔๔ ปีกับลูกวัย ๑๐ ขวบ เขาถูกชายคนหนึ่งมาตะโกนใส่ว่า “หน้ากากของแกอยู่ไหน”

ชายคนนี้เดินตามเขาแล้วตะโกนใส่อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะผลักเขาแล้วหลบหนีไป

Alice Crook House หนึ่งในหอพักนักศึกษาที่มีหลายแห่งของคอร์แนล ซึ่งแจ้งนักศึกษาทั้งหมดให้ย้ายของออกและเดินทางกลับบ้านก่อนภาคเรียนช่วงฤดูใบไม้ผลิจะจบลง

Alice Crook House หนึ่งในหอพักนักศึกษาที่มีหลายแห่งของคอร์แนล ซึ่งแจ้งนักศึกษาทั้งหมดให้ย้ายของออกและเดินทางกลับบ้านก่อนภาคเรียนช่วงฤดูใบไม้ผลิจะจบลง

ร้านขายชาไข่มุกในเมืองอิธากกะที่ปรับตัวกับสถานการณ์ โดยให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น ห้ามนั่งดื่มในร้าน

ร้านขายชาไข่มุกในเมืองอิธากกะที่ปรับตัวกับสถานการณ์ โดยให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น ห้ามนั่งดื่มในร้าน

ในวันเดียวกันตำรวจยังจับวัยรุ่นอายุ ๑๓ ปีที่ไปถีบคนเชื้อสายเอเชียล้มลงกับพื้นหลังจากตะโกนข้อความที่มีลักษณะเหยียดหยามทางเชื้อชาติ พูดถึงโคโรนาไวรัสก่อนจะหลบหนีไป

แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการมลรัฐนิวยอร์ก ระบุว่าการกระทำนี้เป็นอาชญากรรมและขัดกับค่านิยมและรากฐานของนครนิวยอร์กที่เกิดขึ้นบน “ความหลากหลาย” ที่สร้างความเข้มแข็งให้กับมหานครและมลรัฐแห่งนี้มานาน และเขารับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงกับการกระทำดังกล่าว

ที่ย้อนแย้งกว่าคือ บางกรณีผู้ที่ดูถูกและคุกคามคนเอเชียยังเป็นคนผิวสี ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์ของอเมริกันคือกลุ่มคนที่ถูกคนผิวขาวเอารัดเอาเปรียบมาตลอด (งงสิครับ เหยียดในเหยียด)

พูดง่ายๆ จะใส่หรือไม่ใส่ ถ้าหน้าตาออกตี๋หมวยเอเชีย อาจซวยได้หมด

ไมเคิล เบรซี่ (Michael Bracey) นักวิจัยอิสระชาวอเมริกันที่ผมรู้จักในหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ หมายเลข ๒ (US National Archives and Records Administratiion II) แนะนำผมอย่างหนักแน่นว่า “คุณควรใส่เมื่อป่วยเท่านั้น ผมไม่มีปัญหา แต่ผมห่วงว่าคนอื่นจะไม่คิดแบบผม” ก่อนจะตบบ่าอวยพรให้ผมโชคดีก่อนจากกัน

ผมยังไม่สามารถหาโอกาสอ่านงานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมการใส่หน้ากากอนามัย แต่สิ่งที่พบในการเดินทางชัดเจนมากว่า ชาวตะวันตก มีค่านิยมแตกต่างจากชาวเอเชียอย่างชัดเจน โดยเฉพาะคนเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี วัฒนธรรมการใส่หน้ากากถือเป็นเรื่องที่รับรู้ว่าเป็นการป้องกันคนอื่น ป้องกันตนเองในสภาวะเกิดโรคระบาดหรือป่วยไข้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรังเกียจแต่อย่างใด

ดังนั้น ตลอดการเดินทางในสหรัฐฯ ผมกับแฟนเลือกที่จะเสี่ยงไม่ใส่หน้ากากอนามัย (แม้ว่าเราจะพกติดตัวมาจากเมืองไทยจำนวนหนึ่ง) แต่พยายามล้างมือให้บ่อยที่สุดด้วยเจลพกพาและเมื่อพบห้องน้ำเราก็จะพยายามเข้าไปล้างมือเสมอ

โชคดีของผมเรื่องเดียวคือ ในระหว่างที่ผมตระเวนสัญจรไปตามเมืองต่างๆ ในภาคตะวันออกของสหรัฐฯ จำนวนผู้ติดเชื้อในขณะนั้นเรียกได้ว่ายังห่างกับตอนที่ผมลงมือเขียนบันทึกนี้อย่างลิบลับ (ตอนเขียนบันทึกนี้ สหรัฐฯ กลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วป

(มีต่อตอนที่ ๒)

หมายเหตุ : สุเจน กรรพฤทธิ์ นักเขียนประจำกอง บก. นิตยสาร สารคดี เดินทางไปตระเวนตามหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์​ ๒๐๒๐ ก่อนที่จะกลับเมืองไทยได้แบบฉิวเฉียดก่อนที่รัฐบาลไทยจะประกาศมาตรการเข้มงวดในการเข้าประเทศสำหรับคนไทย ซึ่งมีผลเสมือนกับการปิดประเทศ​ ปัจจุบัน เขากักตัวครบ ๑๔ วันแล้วในที่พัก (หลังเดินทางมาถึงเมืองไทย) และยังคงมอนิเตอร์อาการของตนเองแน่ใจว่าจะไม่ติดโควิด-19