เรื่องและภาพ : ฆฤณ ม่วงน้อยเจริญ

โอ้แดนชมพูฟ้า ชั่วชีวิตข้าไม่ลืม

“…คิดถึง…เสียง กริ่งลั่นดัง ครั้งเปลี่ยนคาบ
คิดถึง…ภาพ เพลงเก่าเก่า เราร่วมร้อง
คิดถึง…เรื่อง แสนสุดแสบ เราเคยลอง
คิดถึง…ห้อง ที่เราเรียน อยู่พร้อมกัน
คิดถึง…กลิ่น ของพวกเรา หลังเตะบอล
คิดถึง…ครู ที่ตอนสอน ชวนปวดตับ
คิดถึง…ระเบียง ตึกสามัคฯ ที่นอนหลับ
แม้นคิดถึง… ก็ต้องกลับ เมื่อกริ่งดัง…”

สิ้นเสียงกริ่งหมดคาบเรียนสุดท้ายดั่งในกวีที่ผมตั้งใจเขียนมากกว่าตั้งใจเรียน ผมบรรจงวางปากกาและความรู้สึกทุกอย่างตลอด ๖ ปีที่สถานที่แห่งนี้มอบให้ ปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาพร้อมความรู้สึกทั้งมวล ก่อนจะกลับไปสังสรรค์และเฮฮากับเพื่อนทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย

ผมตระหนักรู้อย่างสุดหัวใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจำใจก้าวขาเดินออกมาจากโรงเรียนที่เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังของผม

chompufa02

[สวนกุหลาบวิทยาลัย]

ผมอาจไม่มีความจำดีมากขนาดที่จะจดจำทุกรายละเอียดของวันแรกที่ก้าวเข้ามายังโรงเรียนแห่งนี้ จำได้เพียงความรู้สึกของเด็กน้อยคนหนึ่งหลังจากชีวิตเปลี่ยนแปลงจากสังคมประถมศึกษาที่มีเพื่อนผู้ชายและผู้หญิงก้าวเข้าสู่สังคมของโรงเรียนชายล้วน

ชีวิตคงเฉาลงนิดหน่อย ต้องบอกลาเพื่อนๆ ที่เคยสนิทกัน บอกลาความรักเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นสมัยยังเด็ก บอกลาทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน…ก็แค่ย้ายโรงเรียน

นั่นคือความคิดของเด็กน้อยคนนั้นก่อนก้าวเข้ารั้วสีชมพู-ฟ้าเบื้องหน้าตามคำผู้ใหญ่บอกว่าในรั้วแห่งนี้มันดีอย่างนี้ มันดีอย่างนั้น

เปิดเทอมวันแรกผมจำได้แม่นถึงภาพศิษย์เก่ารุ่นเดอะใส่ชุดนักเรียน ผมขาวหงอกบ่งบอกถึงประสบการณ์และอายุดูขัดกับชุดที่พวกเขาสวมใส่ แต่รอยย่นบนใบหน้าและแววตาพร่ามัวนั้นกำลังมีความสุขกับวันเปิดเทอมของพวกผมน้องใหม่ ก่อเกิดบรรยากาศและความรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจ

ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้น่ากลัวมากนัก เปิดเทอมวันแรก–วันมหัศจรรย์สุภาพบุรุษสวนกุหลาบ

chompufa04

[นักเรียน ม. ต้น]

เสียงออดโฮมรูมดังขึ้น ภาพกระดานจากมุมซ้ายของห้องยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ เสียงของเพื่อนๆ รอบข้างทำให้ความกลัวในการเปลี่ยนแปลงของผมมลายหายไป บางคนกวนตีน บางคนตลก บางคนดูเป็นเด็กเรียน บางคนก็ดูเหมือนจะยังไม่โต แต่มวลความอบอุ่นที่ผมสัมผัสได้ในคราวเดียงสายังไม่โตเต็มที่นั้น โอบล้อมหัวใจที่หวาดกลัวการเข้าสังคมใหม่ ทำให้ผมกล้าสนุกไปกับชีวิตที่แตกต่างจากสมัยประถมฯ

ผมไม่ได้เก่งที่สุดเหมือนตอนประถมฯ ไม่ได้เป็นหัวหน้าห้อง ไม่ได้มีความรักให้ชื่นหัวใจ แต่ผมมีเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด หัวเราะกับพวกมันได้ทั้งวัน

chompufa05

[นักเรียน ม. ปลาย]

“เสมาบนอกแสดงถึงว่าน้องโตขึ้นอีกระดับนึงแล้วนะ” “เป็นพี่ใหญ่” “ดูแลน้อง ๆ แทนพวกพี่ด้วยนะ” -วันรับขวัญเสมา-จบลงพร้อมความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นในหัวใจอีกครั้ง

เสมาเล็ก ๆ สีชมพู-ฟ้าที่ผมเห็นพี่ ๆ มีติดอกกันตอนมัธยมฯ ปลายจากมุมมองของน้อง ม. ต้น มันก็ดูเท่ดีนะ สวยมากด้วย แต่พอติดเองแล้วรู้สึกเหมือนว่าผมต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ซึ่งชีวิตมัธยมฯ ปลายมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ทั้งการเรียนที่หนักขึ้น เรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย กิจกรรมที่ผมเข้าร่วมได้ก็มากขึ้น กิจกรรมของโรงเรียน ชมรม งานค่าย ฯลฯ

ตอนแรกผมกลัวมาก กลัวว่าจิตใจจะต้องเปลี่ยนไปไหนอีก กลัวการที่จะต้องโตขึ้น ต้องเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลง

แต่ในพิธีเทียนของ “ค่ายแลน้อง” ค่ายที่รุ่นพี่มัธยมฯ ปลายจัดให้รุ่นน้อง ม. ๓ ค่ายที่ผมเป็นคนจัดครั้งแรกของชีวิต วันที่เปลี่ยนจากผู้รับเป็นผู้ให้ ผมผูกข้อมือให้น้อง ๆ ที่เคารพและนับถือผมในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่ง แสงเทียนสีชมพู-ฟ้าส่องไสวในความมืด ความรู้สึกอบอุ่นเกิดในหัวใจอีกครั้ง ณ สถานที่ที่มีความอบอุ่นของทั้งมิตรภาพและความเป็นพี่น้อง

ผมจะกลัวการเปลี่ยนแปลงทำไมกัน? ในเมื่อมีทุกคนยืนอยู่เคียงข้างเสมอ คอยผลักดัน เติบโตไปพร้อมกับผม ความรู้สึกอบอุ่นเหล่านั้นทำให้ความกลัวหายเลือนไปอีกครั้ง

จากชีวิตนักเรียนคนหนึ่งที่ต้องแบกรับอะไรมากขึ้นกว่าตอนเป็นเด็ก เคยกลัวการเปลี่ยนแปลงเอามาก ๆ ก็ได้ใช้ชีวิตที่สนุกมาก ๆ ในเกือบทุกวันที่ไปโรงเรียน ผมได้กวนตีนเพื่อน หัวเราะขำกันและกัน กวนตีนครู แกล้งครู โดดเรียนคาบครูดุ ๆ ไปเตะบอล วิ่งหนีฝ่ายปกครอง โดนตัดคะแนนพฤติกรรม แอบกินขนมในห้อง โดดลงสระน้ำทั้งชุดนักเรียน และอะไรหลาย ๆ อย่างที่เด็กแก่น ๆ คนหนึ่งจะสามารถทำและหัวเราะไปพร้อมกับเพื่อน พี่ และน้องๆ รอบข้างได้ เป็นวัยที่ผมรู้สึกว่าชีวิตมันอบอุ่นและคุ้มมาก ๆ

chompufa06

[วันจากเหย้า]

และแล้ววันที่ทุกคนกลัวที่สุดก็มาถึง-วันจากเหย้า-เป็นอีกครั้งที่ผมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

แสงไฟของตึกยาวดับลง ป้ายสีนีออนคำว่า OSK 138 เด่นชัดขึ้น สีแสงชมพู-ฟ้าสาดกระทบดวงตาของผม สะท้อนไปในหัวใจว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องโตขึ้นอีก กลัวมาก ๆ ว่าความอบอุ่นจะเลือนหาย กลัวมาก ๆ ว่าจะต้องกลับไปเติบโตคนเดียว กลัวมาก ๆ ว่าจะไม่ได้กลับมายังที่แห่งนี้ กลัวมาก ๆ ว่าทางข้างหน้าจะเจ็บปวดและเหงา

กลัว แต่ก็ต้องจำใจเดินหน้าต่อไปในเส้นทางของชีวิต

ผมกอดคอเพื่อนๆ พวกเราทุกคนร้องไห้ พูดทุกอย่างที่มีในใจ ทุกอย่างที่เคยบาดหมาง ที่เคยไม่เข้าใจกัน ที่รักกันมากขนาดไหน ที่ไม่อยากจากกันมากขนาดไหน

ใต้แสงจันทร์และแสงดาวส่องสาดแสงนวลอาบตึกยาวสีเหลืองตระหง่าน เสียงระงมเซ็งแซ่แห่งความทรงจำและการจากลาบรรเลงเป็นบทเพลงสุดท้ายก่อนที่ทุกคนจะลาจาก แยกเดินไปตามเส้นทางของตนเอง

“โอ้แดนชมพูฟ้า ชั่วชีวิตข้าไม่ลืม”

chompufa07

[การเปลี่ยนแปลง]

หากจะให้เขียนถึงสิ่งที่กลัวมากที่สุด ผมจะเขียนแมลงสาบไว้เป็นอันดับ ๒ เพราะสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดมาตลอดคือการเปลี่ยนแปลง

ผมมักทำใจยากเสมอเมื่อเจอกับมัน แต่บทเรียนชีวิตที่ผ่านมาก็สอนให้รู้แล้วว่ามันไม่ได้น่ากลัวเสมอไป ดินแดนชมพู-ฟ้าแห่งนั้นสอนให้ผมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นอบอุ่นและมีความสุขเพียงใด

ต่อจากนี้อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๕๐ ปีข้างหน้าในเส้นทางชีวิตของผมก็คงจะต้องเจอการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย อาจจะเจ็บปวด มีความสุข ร้องไห้ ได้รับความอบอุ่น โดนเกลียด ได้รับความรัก ฯลฯ

สิ่งที่ผมต้องทำให้ได้คืออดทนและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เพื่อใช้ชีวิตที่ผมอยากจะใช้อย่างมีความสุข