เรื่องและภาพ : รังสิมันต์ จุลหริก

สายฟ้า - เด็กชายในโลกใบเล็ก

“ครูเรียกให้ผมเข้าไปหา แล้วให้ส้มผลนึง…” คำบอกเล่าของเด็กชายเป็นเช่นนั้น เมื่อซักไซ้ไล่เรียงตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน จำได้เพียงว่าเหตุการณ์วันนั้นไม่สู้ดีนัก แต่ในเมฆสีหม่นยังมีฝนพรำเสมอ

สายฟ้า เด็กชายวัย 9 ขวบเมื่อปี 2558 ต้องพบครูที่ปรึกษาบ่อยครั้ง เหตุจากทำสิ่งที่ชวนหนักใจให้คนรอบข้าง และไกลไปจนกระทั่งหลังคาบ้านข้างๆ โรงเรียน เจ้าของบ้านมาโวยวายกับทางโรงเรียนว่ามีคนขว้างปาขวดน้ำมากระแทกหลังคา ความจบอย่างไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าฉากหนึ่งเด็กชายตะโกนคำสบถครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตากล้าแข็ง อะไรคือสิ่งที่กระทำต่อเด็กชายผู้นี้ ได้แต่สงสัยและถามตัวเอง

หลังเหตุการณ์สงบลง ฉันเรียกเด็กชายให้ตามมาที่ห้องประจำชั้น ป. 4/1 ขณะเขาเรียนอยู่ ป. 3/2 ไถ่ถามกันนานพอควร เขาดูกล้าๆ กลัวๆ ทำนองไม่ไว้ใจ ฉันยื่นส้มให้ผลหนึ่ง เขาหยิบแบบเก้ๆ กังๆ แกะแล้วเคี้ยวหยับๆ กระทั่งเหลือแต่เม็ด เรามิได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ก่อนจบบทสนทนาฉันเปรยว่าขอไปเที่ยวที่บ้านได้ไหม เขาพยักหน้าแทนคำตอบ

บ้านของสายฟ้าเป็นบ้านหลังเล็กๆ สองชั้น ทว่าไม่ดึงดูดใจเท่าฝั่งตรงข้ามบ้านมีสวนที่มีเพิงสังกะสีต่างรั้ว พอมีช่องประตูให้ลอดเข้าไป เห็นต้นมะรุมยืนเป็นประธาน รากนูนเหนือเนินดิน รอบรายมีต้นมะเขือ ตะไคร้ ตัดกับของเก่าที่ยายของสายฟ้ารวบรวมมากองไว้ที่นี่ เพราะไม่มีใครอยู่ในบ้าน เด็กชายสายฟ้าใช้ชีวิตหลังเลิกเรียนที่นี่ เขาเป็นคนพูดเก่ง มีมานะ ขณะมือนั้นกรุยดิน ถอนหญ้าในสวน เราก็มีเรื่องแลกเปลี่ยนกันได้เรื่อยๆ สายฟ้าบอกว่า อยู่กับแม่ย่า ซึ่งจริงๆ คือย่าเขา ท่านจะกลับมาเย็นหน่อย ฉันจึงตั้งใจว่าจะอยู่พบคุณย่าด้วยเลย

แม่ย่ากลับมาแล้ว ท่านเชิญฉันเข้าไปนั่งในบ้านด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจว่าครูมาเยี่ยมถึงบ้าน

“สายฟ้าไปทำอะไรหรือเปล่า คุณครู…” ย่าถามอย่างนั้นอย่างกับคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ แต่ฉันปฏิเสธ ชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับย่ามากกว่า

แต่ย่าก็ไม่วายพูดถึงชีวิตเด็กชาย “พ่อแม่เขาไม่อยู่หรอกคุณครู ย่านี่แหละเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ ปู่อีกคน แต่ปู่เป็นคนค่อนข้างดุ สายฟ้าเลยสนิทกับย่ามากที่สุด” และอีกหลายเหตุการณ์ที่ย่าพบเจอ แล้วเล่าให้ฉันฟังทั้งน้ำตา เรื่องที่สำคัญสุดคือ เด็กชายยังอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้

saifa02

ฉันตัดสินใจดูแลการอ่านการเขียนของเขาตอนเย็นของทุกวัน บางวันให้เขียนกระดานคัด ก. ไก่ ถึง ฮ. นกฮูก บางวันให้วาดภาพลงในสมุด บางวันสอนอ่านสะกดคำ บางทีฉันเองก็สัปหงกด้วยอาการล้าก็มี

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ภารกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมายนัก ครุ่นคิดว่าเราเร่งรัดเกินไปหรือเปล่า จึงลองใช้หนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของอาจารย์ศิวกานท์ ปทุมสูติ ซึ่งบอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนจึงจะสำเร็จ ฉันก็อ่านหาแนวทางไปประกอบกัน นึกถึงคำของอาจารย์บุญเสริม แก้วพรหม อีกทางหนึ่ง ท่านเคยให้ข้อสังเกตว่า ลองให้เราซึ่งอ่านภาษาไทยคล่องมาอ่านภาษาลาว ก็จะไม่ต่างจากคนที่อ่านหนังสือไม่ออกหรือไม่คล่อง ฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะอ่านออก ก็ต้องจำรูปตัวอักษรให้ได้ทุกตัว จำการออกเสียงให้แม่น ท่อง ซ้ำ ย้ำ ทวน ฉันจึงเห็นแจ้งมากยิ่งขึ้น

ฉันมั่นใจว่าต้องทำได้ จึงใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ ไปหาเด็กชายที่บ้าน ทำเลที่เหมาะสมคือใต้ต้นมะรุมในสวน แล้วปูเสื่อปู ฉันห่อกับข้าวมาด้วย พร้อมขนมปังทาแยมไว้กินเล่นยามว่าง ฉันใช้ “บทไล่เดือน” ของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ เกริ่นนำ โดยมีเด็กชายนอนหนุนตัก วางหนังสือในมือเขา ชี้ให้อ่านตาม คำง่ายๆ ร้อยเรียงคล้องจองกัน ชวนนับเดือนและสิ่งที่ทำในแต่ละเดือนก็เพลินพอดู จากนั้นจึงเริ่มเขียนพยัญชนะ สระ พร้อมท่องไปจนจบ ฉันเคยเคร่งครัดไม่ให้พัก ปรากฏว่ากดดันทั้งตนเองด้วย จึงลองใหม่อย่างค่อยป็นค่อยๆ ไปในแต่ละสัปดาห์

ฉันเริ่มรู้จักเด็กชายมากขึ้น สิ่งที่รู้จักแรกพบนั้นช่างห่างไกลกับความรู้สึกนึกคิดตอนนี้มาก

ตอนแรกฉันคิดว่าการอ่านออกเขียนได้สำคัญสุด แต่พอวันหนึ่งอยู่สอนจนย่ำค่ำ ย่าชวนฉันกินข้าว สายฟ้าก็อ้อน จึงตกลงด้วยความเกรงใจ อยู่ต่อจนกระทั่งส่งเด็กชายเข้านอน ฉันไม่เคยอยู่บ้านนักเรียนคนใดจนดึกเช่นนี้ ในเมื่ออยู่แล้วก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด บทเรียนสุดท้ายคือนิทานก่อนนอน ฉันเล่านิทานให้สายฟ้าฟัง เป็น “นิทานปลาดาว” ของคุณบินหลา สันกาลาคีรี ฉากสุดท้ายก่อนเด็กชายหลับ น้ำตาน้อยๆ เอ่อคลอดวงตา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครมาเล่านิทานให้เขาฟังก่อนนอนเลย

ฉันรำพึงกับตนเองว่า การอ่านออกเขียนได้สำคัญน้อยกว่าสิ่งเหล่านี้อีก

เหตุการณ์เหล่านั้นผ่านมานานนับปี ร่วม 3 เดือนที่ฉันผูกพันกับครอบครัวนี้ แต่น่าเศร้าที่ฝันของฉันไม่ทันสำเร็จ ฉันก็ลาออกก่อน ด้วยเหตุจำเป็นต้องไปทำตามฝันอีกอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังถามข่าวคราวจากเพื่อนครูในโรงเรียนว่าสายฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง ปรากฏว่ามีครูรับไม้ต่อฝึกเขาอ่านทุกเย็น พอทราบข่าวอีกครั้ง เด็กชายก็ย้ายโรงเรียนไปแล้ว ด้วยหวังว่าโรงเรียนแห่งใหม่จะช่วยให้เขาพัฒนาไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ และก็เป็นเช่นนั้น เขาอ่านคล่องมากขึ้นตามลำดับ หากไม่คาดคั้นเอาผลการเรียนดีเยี่ยม นับว่ามีพัฒนาการน่าพอใจ ฉันจึงโล่งใจจนเกือบหลงลืมเรื่องราวของเขา

ผ่านไป 4 ปีกว่า แม่ย่าของสายฟ้าโทรศัพท์มาหาบอกว่าติดต่อครูไม่ได้เลย สุดท้ายก็รับปากว่า “เดี๋ยวจะไปเยี่ยมนะครับย่า”

ฉันกลับไปบ้านหลังนั้นอีกครั้ง ขณะเดินทางนั่งทบทวนความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้ กลัวลืมภาพวัยเยาว์ของเขา เพราะการเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดทำให้จำติดภาพปัจจุบัน ซึ่งปี 2564 นี้เขาอายุ 14 ย่างเข้า 15 ปี แน่นอนว่าฉันได้รับข่าวดี สายฟ้าอ่านออกเขียนได้มากขึ้น แต่ก็มีอีกข่าวมาเป็นคู่สมดุลกันคือ สายฟ้าเป็นเด็กสมาธิสั้น ซึ่งฉันก็เพิ่งรู้

หนึ่งเดือนนับจากนั้น ฉันไปหาเด็กชายอีกหกครั้ง สานฝันต่อจากที่วาดหวังไว้ พร้อมความรู้สึกผิดว่าไม่สามารถทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ เริ่มสอนให้เขาเขียนบันทึกประจำวัน ทำกับข้าวให้กิน อ่านนิทานให้ฟัง ฟังนิทานที่เขาอ่าน ไม่ว่าจะนิทานล้านบรรทัด เจ้าชายน้อย เขาอ่านได้คล่องมากขึ้น

ฉันทำได้เท่านี้ พลังเล็กๆ ของฉันเป็นเพียงความเคลื่อนไหว ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงนัก แค่หนึ่งพลังเสริมแรง แต่ฉันยังเชื่อมั่นว่าในเมฆสีหม่นยังมีฝนพรำเสมอ และหลังฝนพรำจะปรากฏสายรุ้งที่งดงาม สายรุ้งที่ทอดไปสู่โลกใบเล็กของเด็กชายสายฟ้า สายรุ้งที่จะไม่มีวันจางหาย