ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ ขณะเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เคยเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทหารกับมหาดเล็กของในหลวงรัชกาลที่ ๖ มาแล้วหลายครั้ง

กรมหลวงชุมพรฯ ตอนที่ ๒๘ - มหาดเล็ก VS นายเรือ

กรณีที่อื้อฉาวที่สุดในหมู่ทหารเรือจนกลายเป็นตำนานเล่าขานอีกนานปี คือเรื่องของนักเรียนนายเรือ จือ หรือ เจือ ซึ่งภายหลังได้เป็นหลวงเจนจบสมุทร (เจือ สหนาวิน, ๒๔๓๒-๒๕๐๙)

หลังเหตุการณ์ผ่านไปกว่า ๓๐ ปี คุณหลวงเขียนเล่าในบันทึกความทรงจำว่า เย็นวันหนึ่งตอนปลายรัชกาลที่ ๕ ขณะเมื่อท่านยังเป็นนักเรียนนายเรือห้อง ๓ (ชั้นปีที่ ๓ – คำนวณแล้วน่าจะราวปี ๒๔๕๐) ท่านกับเพื่อนนักเรียนนายเรืออีกคน จะเอาเครื่องแบบที่ทางราชการตัดแจกให้ตามสิทธิ ไปจ้างร้านตัดเสื้อแถวสะพานช้างโรงสีแก้ใหม่ให้เข้ารูปเข้าทรง จึงพากันลงเรือข้ามฟากจากโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิม แล้วเดินมาข้างพระราชวังสราญรมย์ ที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ผ่านกลุ่มมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมฯ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายสิบคน ซึ่งกำลังเตะฟุตบอลกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ถนนข้างวัง

พอดีถึงเวลาย่ำค่ำ เสาธงที่ป้อมเผด็จดัสกรในพระบรมมหาราชวังลดธงมหาราชลง แตรวงหน้ากระทรวงกลาโหมบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี นักเรียนนายเรือทั้งสองจึงหยุดทำความเคารพตามวินัยทหาร เมื่อสิ้นสุดเสียงแตรแล้วต่างเอามือลง แล้วก้าวเท้าออกเดินพร้อมกันทันที อัน “เป็นหน้าที่ของทหาร ไม่ต้องทำการนัดหมายก็ทำพร้อมกันได้”

เหล่ามหาดเล็กซึ่งเลิกเล่นฟุตบอลกันพอดี เดินตามมาข้างหลัง แล้วมีคนหนึ่งตะโกนนับ ๑-๒ ๑-๒ ล้อเลียนจังหวะก้าวเดิน นักเรียนนายเรือเจือหันขวับไปถามว่า “เมื่อตะกี้นับอะไรกัน ?”

“”เขานับอะไรต่ออะไรของเขาเล่นต่างหาก” คนหนึ่งในกลุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ

หลังจากต่อปากต่อคำกันอีกเล็กน้อย พลันถนนก็กลายเป็นสังเวียนมวยหมู่ระหว่างนักเรียนนายเรือสองคนกับมหาดเล็กนับสิบ ชุลมุนชกต่อยกันไปจนถึงหน้าประตูพระบรมมหาราชวัง ทหารยามหน้าประตูวังได้แต่ยืนมองทำตาปริบๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีมีเสียงนายทหารตะโกนลงมาจากหน้าต่างชั้นบนตึกกระทรวงกลาโหมฝั่งตรงข้ามว่า “”นายอย่าสู้เขาเลย เขามากกว่านายมากนัก กลับไปเสียเถิด”

นักเรียนนายเรือหนุ่มได้สติ จึงร้องเรียกเพื่อนที่มาด้วยกัน มือหนึ่งกุมมีดเหน็บ (กระบี่นักเรียนนายเรือ) ข้างตัว อีกมือชี้ไปทางสะพานช้างโรงสี พลางพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ฉันจะไปทางนี้แหละ ถ้าใครรักชีวิตอยู่ก็จงหลีกไป ขืนขวางทางคราวนี้เป็นเห็นดีกันละ” ปรากฏว่า “…พวกนั้นที่ยืนเกลื่อนกลาด เขาไม่กล้าขวางฉัน เขาหลีกทางเป็นช่องให้ฉันสองคนเดินเคียงกันไปได้อย่างสบาย ห่างจากฉันสองคนข้างละสองวาได้ ผ่านพ้นพวกเขาไปแล้วจึงไปแก้เสื้อ…”

จนเมื่อนักเรียนนายเรือเจือออกฝึกภาคทางทะเล ปรากฏว่าเหตุวิวาทที่ล่วงเลยมาแล้วหลายเดือนกลับลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะมหาดเล็กไปทูลฟ้องสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ว่ามีนักเรียนนายเรือบุกมาข่มเหงถึงหน้าวัง ถือเป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงกริ้ว จึงทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ จึงทรงให้เรียกหากรมหมื่นชุมพรฯ ไปเข้าเฝ้า ในบันทึกของหลวงเจนจบสมุทร์เล่าต่อไปว่า เมื่อเสด็จในกรมฯ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และกราบบังคมทูลถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลยหันพระพักตร์มาทางสมเด็จพระบรม ฯ แล้วรับสั่งว่า ‘พ่อโตก็ไม่ควรนำเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้มากล่าวให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียเวลา’ แล้วก็เลยรับสั่งถึงเรื่องอื่น ๆ ต่อไป…”


sadettia03
“เสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรฯ

บทความชุดนี้มีต้นทางจากหนังสือพระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ของผู้เขียน คือ “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ” (พิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์สารคดี ๒๕๖๓ ราคา ๔๘๐ บาท) โดยเล่าเก็บความจากหนังสือ และเสริมบางประเด็นที่มีข้อมูล หรือความคิดเห็นเพิ่มเติมภายหลังหนังสือตีพิมพ์ออกมาแล้ว

สั่งซื้อหนังสือ