เรื่อง : ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด
ภาพ : คนเล็กๆ
ในสภาวะจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ไม่อยากรับรู้อะไร ไม่อยากแม้กระทั่งลุกจากที่นอนเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ยังมีเสียงหนึ่งคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ หากตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ เราจะได้ยิน “เสียงเพลงจากธรรมชาติ”
แดดยามเช้าลามเลียเข้ามาทางหน้าต่าง ปลุกเร้าให้ตื่นฟื้น ท่ามกลางเสียงไก่ขันเซ็งแซ่ ฟ้าครึ้มเล็กน้อย อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ละอองน้ำค้างเกาะอยู่บนใบหญ้าริมระเบียงบ้าน
เราพยายามลุกจากที่นอนอย่างสะลึมสะลือ ในสมองตีบตันซ้ำว่างเปล่า ราวกับความคิดหยุดชะงัก…แต่ที่สวนหลังบ้าน ธรรมชาติเปล่งเสียงเรียกร้องให้จ้องมองด้วยความหลงใหล…
ความกระปรี้กระเปร่าแทรกซึมขึ้นในทรวงอก ความสดชื่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายของยามเช้าซึ่งสัมผัสได้จากธรรมชาติที่โอบกอดเราดังเพื่อนที่คอยห่วงใย
นี่คือช่วงเวลาแห่งการเติบโต…ท้องฟ้าเริ่มเปล่งประกายสดใส มวลดอกไม้เบ่งบานชูช่อรับแดดสะพรั่ง ไม่เว้นแม้ดอกจำปาแรกแย้ม ลมพลิ้วพัดหวนคราวใดจึงได้สัมผัสกลิ่นหอมจรุงใจ
เหล่าสัตว์ออกหากินกันขยันขันแข็ง เสียงธรรมชาติเจือด้วยเสียงกู่ร้องของสัตว์หลากชนิดฟังไพเราะจับใจ พาให้เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ ยิ่งได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ในกระถางใบจิ๋วที่เหมือนทารกน้อยแย้มยิ้มให้เรา ยิ่งช่วยเสริมพลังด้านบวกให้รู้สึกมีความหวัง พร้อมต่อสู้กับสถานการณ์หนักหน่วงได้เสมอ
ดูนั่น! เจ้านกกระจอกเกาะอยู่บนกิ่งมะพร้าว สอดส่ายตาไปมาอย่างระแวดระวัง หัวเล็กๆ หันขวาทีซ้ายที บางครั้งก็ซุกไซ้ปากตามขนขาวปุยใต้ปีกสีน้ำตาลอ่อนพลางร้องจิบจับ ต่อเมื่อลมสะบัดกิ่งมะพร้าวไหวเอน เจ้านกกระจอกจึงจะบินหนีไป
บนพุ่มไม้ดอกเราเห็นแมลงเต่าทองตัวกลมอ้วนเกาะอยู่ มันคลานต้วมเตี้ยมดูอุ้ยอ้าย ปีกสีส้มลายจุดดำนั้นตัดกับสีเขียวของใบไม้ ต้องตาต้องใจเหลือเกิน
นั่นเจ้าผีเสื้อบินโฉบลงมาหวังดื่มรสหวานของเกสรดอกไม้ มันคงอดใจไม่ไหวเมื่อเห็นดอกไม้งามอย่างนั้น แม้ลมเอื่อยจะพากิ่งก้านไม้สั่นไหว ผีเสื้อก็ไม่ละความพยายาม ท้ายที่สุดมันจึงได้ดอมดมเกสร พอดื่มกินน้ำหวานแล้วก็ออกบินไปผสมเกสรช่วยขยายพันธุ์ไม้ดอกงามนั้นต่อ
ในสวนเล็กๆ นี้มีท่วงทำนองเริงระบำของธรรมชาติ ช่วยให้เราได้ครุ่นคิด…มันแฝงเร้นปรัชญาบางอย่างอย่างแนบเนียนปนไปกับเสียงลมกวัดไกวพาใบไม้ร่วงหล่น เพียงเราหยุดมอง และเห็นความเป็นไป ก็สัมผัสความรู้สึกปล่อยวางจนใจเบาสบาย ร่างกายผ่อนคลายได้อย่างประหลาด นี่สินะที่เรียกว่า “ธรรมชาติเยียวยา”
เราอ่านพบว่า มีการนำพลังจากธรรมชาติมาใช้ในการบำบัด เป็นการบำบัดที่ได้รับการยอมรับจากการแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็นวิธีที่ช่วยแก้ไขต้นเหตุของการเกิดโรคได้มากกว่ารักษาอาการที่เกิดขึ้น นิยมใช้กับผู้ป่วยโรคทั่วไป อย่างโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน ผู้ที่มีอาการปวดหัว มีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ มีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล รวมถึงอาการปวดเรื้อรังและกลุ่มอาการความล้าเรื้อรังด้วย
Jacob Vadakkanchery ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด กล่าวว่า ธรรมชาติบำบัดคือการดูแลรักษากายใจโดยขบวนการธรรมชาติ ร่างกายสามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล มีหลักว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” หากจิตตาย ร่างกายจะตายด้วย
คนเราจึงควรหมั่นหายใจลึกๆ เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด นำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และควรตากแสงแดดอ่อนๆ ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย เป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ปฏิบัติได้
บางครั้งเพียงได้เห็นใบไม้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เราก็สามารถเกิดสภาวะตื่นรู้…ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น แล้วปลิดปลิวร่วงหล่นเป็นธรรมดา เป็นความเป็นไปตามธรรมชาติ ใจเราก็จะปล่อยวางได้ แล้วความสมดุลจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
เมื่อรับพลังงานจากธรรมชาติเพียงพอแล้ว เราเกิดสมาธิ มีจิตจดจ่อตั้งมั่น ก็จะมีพลังในหัวใจพร้อมออกไปเผชิญหน้ากับความวุ่นวายอย่างเข้มแข็ง
แต่ “เสียงเพลงจากธรรมชาติ” จะยังคงไปกับเราทุกหนแห่ง บรรเลงเริงร่าอยู่รอบกายอย่างไม่รู้เบื่อ คอยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดยามอ่อนล้าหงอยเหงา ธรรมชาติมีแต่ให้กับให้ ขอเพียงเราเหลียวดูและได้สัมผัส เราจะพบความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติซึ่งยากจะมีสิ่งใดเสมอเหมือน.
ข้อมูลอ้างอิง
- Jacob Vadakkanchery. การบรรยายเรื่อง “ธรรมชาติบำบัด”. เข้าถึงได้จาก https://thaicam.go.th (วันที่ค้นข้อมูล : 11 กุมภาพันธ์ 2565).
- ธรรมชาติบำบัด ทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพ. เข้าถึงได้จาก https://www.pobpad.com (วันที่ค้นข้อมูล : 11 กุมภาพันธ์ 2565).