เรื่อง : วรรณณิภา ทองหน่อหล้า
ภาพ : บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช
“ชาตินี้มีกรรมน้องตามมา ชาติหน้าพี่ยาตามน้องไป”
เนื้อเพลงแปลงจากบทละครรถเสนที่อาจคุ้นเคยผ่านสื่อโทรทัศน์ ในฉากที่นางเมรีกล่าวคำผูกเวรผูกกรรม หลังจากที่พระรถเสนหนีนางไป ซึ่งทำให้ทั้งสองมาเจอกันในชาติภพใหม่ ในชื่อ “พระสุธน-มโนราห์” เรื่องราวการเดินทางของพระสุธนที่ต้องกลายเป็นฝ่ายตามมโนราห์บ้าง ซึ่ง “คิดบวกสิปป์” กลุ่มผู้อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยร่วมสมัย เคยได้จัดกิจกรรมศิลปะบำรุงธรรมครั้งที่ ๑ ที่วัดปราสาท จ.นนทบุรี สมทบทุนสร้างโบสถ์สมัยอยุธยาอายุ ๔๐๐ ปี ในชื่อการแสดง “โขนสมมุติอยุธยา ตอน สำมนักขาหาคู่”
โอกาสนี้ กิจกรรมศิลปะบำรุงธรรมครั้งที่ ๒ คิดบวกสิปป์ ได้หยิบยกเรื่องราว “พระสุธน-มโนราห์” มาถักทอผ่าน “โนรา” วัฒนธรรมถิ่นใต้ ในชื่อ “ละครมโนราห์ อโยธยานิมิต” ณ วัดชมภูเวก จ. นนทบุรี ในวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา เพื่อสมทบทุนจิตศรัทธา ถวายแด่วัดชมภูเวก วัดศิลปะแบบชาวมอญตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่มีอายุมากว่า ๒๐๐ ปี
ทีมงานคิดบวกสิปป์ร่วมบอกเล่าผ่านการแสดงละครชาตรีที่มีตัวละครเพียง ๓ คน นำโดย “ครูเอ็ม-ยุทธนา อัครเดชานัฏ” ผู้นำทีมงาน ผู้กำกับ และรับบทพระสุธน โดยมี “ครูอั๋น-กล้ากูล อัครเดชานัฏ” รับบทนางมโนราห์ และที่สำคัญได้ “ครูเติ้ง-อนุชา สุมามาลย์” นาฏศิลปิน สำนักการสังคีต กรมศิลปากร มารับบทบาทตัวเบ็ดเตล็ดผู้ร่วมสร้างสีสันตลอดการแสดง

จินตนาการสู่จินตลีลา ประสาคนนาฏศิลป์
“พระปราบพหลพยุหะมา–ระเมลืองมลายสูญ”
จากภาพจิตรกรรมฝาผนังพระแม่ธรณีบีบมวยผม ณ วัดชมภูเวก ถูกถ่ายทอดผ่านละครเงา ที่ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของคิดบวกสิปป์ โดยมีศิลปินคุณ “ปุ้ย-ดวงพร พงศ์ผาสุก” เจ้าของเสียงเพลงหวานอย่าง “ลาวดวงเดือน” และ “ลาวคำหอม” ปัจจุบันเป็นครูสอนขับร้อง ศิลปินอิสระ และวิทยากรพิเศษในให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ในโอกาสนี้คุณปุ้ย-ดวงพรได้มาขับร้องบทเพลงทำนองสรภัญญะ “ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บอกเล่าการเอาชนะมารของพระพุทธเจ้า โดยมีพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นพยานการบำเพ็ญบารมี ทำให้ฉากเปิดเรื่องในบรรยากาศยามค่ำเคล้าคู่ไปกับการแสดงละครเงา บรรเลงผ่านเสียงเพลงหวาน ประสานรับความอ่อนช้อยของผู้แสดง ตราตรึงสายตาของผู้ชม ราวกับว่าได้ชมจิตรกรรมอันมีชีวิต

“ครูสอนให้ทรงกำไล ใส่แขนซ้าย ย้ายแขนขวา”
นายโรง หรือพระสุธนกำลังกล่าวคำไหว้ครู กลองทับ หรือโทนโนราบรรเลงประกอบจังหวะคำร้อง หลังจากนั้นนายโรงก็เข้าบทบาทพระสุธน ปี่ชวาเริ่มบรรเลงเป็นทำนองเสน่ห์โนรา ประกอบการร่ายรำ ดนตรีเร่งจังหวะให้ตื่นเต้นขึ้น เปิดทางให้ฉากพรานบุญวาดบ่วงบาศจับนางมโนราห์ เพื่อดำเนินละครต่อไป ถึงแม้ตลอดการแสดงจะมีตัวละครเพียง ๓ คน ทว่าผู้ชมก็เพลิดเพลินไปกับลีลา และบทร้องร่วมสมัยได้ไม่ยาก


“เราอยากทำงานศิลปวัฒนธรรมกับสถาปัตยกรรม มันน่าจะบูรณาการ และสามารถเชื่อมโยงกันได้ เราเห็นคุณค่าในหลายด้าน ทั้งศิลปะการแสดง ทั้งสถาปัตยกรรม สองคือเราอยากทำสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น เรามีร่างกาย การร้องการรำนี้ จะตอบแทนผืนแผ่นดินได้อย่างไรบ้าง สามคือเราได้แชร์กับชุมชน ผู้ชมได้มาชม มาทำนุบำรุงศาสนา ทั้งศิลปะ ทั้งสถาปัตยกรรม ให้ลูกหลานของเราได้ชื่นชมต่อไปในอนาคต”
ครูเอ็ม ยุทธนากล่าวถึงจุดประสงค์ในการริเริ่มทำศิลปะบำรุงธรรม ที่ได้เริ่มแรกที่วัดปราสาท จนมาถึงวาระการแสดงที่วัดชมภูเวกในครั้งนี้
ทำไมต้อง “มโนราห์”
“จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง อย่างภาพแรกพระแม่ธรณีบีบมวยผม สวยมาก แต่พอได้ดูภาพละครชาดกทั้งหมด เห็นภาพกินรี และเห็นพรานกำลังจับพญานาค ซึ่งไม่เกี่ยวกับมโนราห์ แต่ในแรงบันดาลใจของผู้จัดทำ เรานึกถึงมโนราห์ในครั้งแรก”
ครูอั๋นกล่าวถึงการเลือกทำเรื่องราวพระสุธน มโนราห์ พร้อมเสริมถึงการลำดับเรื่องราวอีกว่า
“แปลบทสวดพาหุงมหากา ในรัชกาลที่ ๖ ทำให้นึกถึงตอนที่ท่านชนะมาร มีพระแม่ธรณีขึ้นมา ที่นับเป็นคุณอันใหญ่หลวง หลังจากนั้นมโนราห์ก็ตามมา พร้อมทั้งแนวคิดที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้นิมิตเหมือน อโยธยา”
ทำให้ทราบได้ว่าฉากเปิดเรื่องได้แรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมพระแม่ธรณี บรรเลงไปกับเพลงทำนองสรภัญญะ ซึ่งเนื้อเรื่องหลักอย่างมโนราห์ก็ได้มาจากจิตรกรรมชาดก ระหว่างนี้ครูเอ็มได้กล่าวถึงแนวคิด จากความต้องการทำละครย้อนอดีต ทำให้นึกถึงละครนอก เนื่องจากเป็นละครโบราณมาตั้งแต่สมัยช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา การร่ายรำกระชับฉับไว คำร้องก็เป็นคำตลาดทั่วไป เพราะเล่นร้องให้แก่ชาวบ้านฟัง


“ละครที่โบราณที่สุด ก็จะเป็นละครชาตรี ละครมโนราห์ หรือโนราทางใต้ ที่มีตัวละครเพียงนายโรง ตัวนางเอก และตัวเบ็ดเตล็ด ทั้งสามตัวต้องเล่นให้มันเกิดเรื่องราวขึ้นมา ในเรื่องนี้เราจะทำให้เป็นโบราณมากที่สุด ก็คือตัวนายโรง ตัวนางเอกจะไม่เปลี่ยนแครักเตอร์ เปลี่ยนแค่ตัวเบ็ดเตล็ด”
พร้อมกล่าวอีกว่าการแสดงในวันนี้ไม่ใช่โบราณทั้งหมด เพียงแต่หยิบวัสดุในอดีตมาประกอบสร้างผลงานร่วมสมัยขึ้นมา จะเห็นได้ว่าคำร้องบางฉากมีการหยอกล้อกับมุกตลกของกระแสละครในปัจจุบัน
“ตัวผม และครูอั๋นได้มีโอกาสไปเรียนกับ ‘คุณครูธรรมนิตย์ นิคมรัตน์’ ศิลปินแห่งชาติโนรา เราก็ได้วิชามานิดหน่อย” ระหว่างนั้นครูอั๋นก็เสริมทันทีว่า “เล็บที่เอามา อาจารย์ส่งมาให้ เสื่อคล้าตัวนี้ ศิลปินแห่งชาติส่งมาให้ เพราะท่านอยากให้กำลังใจ และอยากเห็นงานว่าจะเป็นอย่างไร”
แม้จะเป็นการแสดงโนราจากถิ่นใต้ แต่เพลงร้อง เนื้อร้องก็เป็นภาษากลางทั้งสิ้น นักแสดงจึงอธิบายว่า
“เพลงที่เราใช้เป็นเพลงพื้นบ้านโบราณ เพลงเตาะแตะในฉากพรานบุญร้อง และเพลงเทพทองในฉากนางมโนราห์ร้อง ซึ่งมีหลักฐานว่าเพลงนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยาแล้ว”


“จริง ๆ เขาบอกจะให้มาเล่นมโนราห์” คำกล่าวของครูเติ้ง เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสนุก สีสันของเรื่องราวในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้บทบาทตัวเบ็ดเตล็ดของครูเติ้ง
“ผู้กำกับค่อนข้างให้อิสระ ในการลองค้นหาว่าแต่ละบทนั้น จะเอามันออกมาอย่างไร โดยไม่ทิ้งความเป็นตัวเองไป”
อาจถือได้ว่าการทำงานตรงนี้ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ตัวละครมีความโดดเด่น และเข้าถึงเรื่องราวได้อย่างดี เพราะการทำงานที่สอดคล้อง และมีความเข้าใจกันและกัน ทำให้นักแสดงสามารถเข้าใจในตัวละคร และแสดงออกมาโดยไม่ทิ้งเสน่ห์ความเป็นตัวเองไป
อีกหนึ่งความสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “ครูธัชกร นันทรัตนชัย” อาจารย์วิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง ผู้เขียนบทร้อง และรับหน้าที่ร้องลูกคู่ตลอดการแสดง และอีกหนึ่งท่านคืออาจารย์ขรรค์ชัย หอมจันทร์ ผู้ออกแบบศิราภรณ์ (เทริด) และหางมโนราห์ ซึ่งอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างหัวโขน และศิราภรณ์ โดยชิ้นงานครั้งนี้ ได้แรงบันดาลใจจากรูปทรงพระพุทธรูปวัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา

สิปป์ฝากศิลป์ บำรุงธรรม
ก่อนจะส่งท้าย คุณปุ้ย-ดวงพร พงศ์ผาสุก ได้ร่วมสมทบทุนศิลปะบำรุงธรรมทั้งหมดจากแผ่นวีซีดีเพลง โดยไม่เก็บรายได้ใด ระหว่างนี้ครูเอ็มได้กล่าวส่งท้ายก่อนปิดงานไว้ว่า “ได้มีโอกาสไปบรรยายที่ราชภัฏเพชรบุรี และได้ไปวัดใหญ่สุวรรณารามที่นั่นมีศาลาไม้ เป็นศาลาของน้องพระเจ้าเสือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถวายแด่พระเจ้าแตงโมนำมาที่เมืองเพชร หลังจากเสียกรุงไป ศาลาไม้จึงเป็นสิ่งที่ยังเหลืออยู่”
เนื่องจากงบประมาณของกรมศิลปากรที่ต้องดูแลสถาปัตยกรรม และศิลปะอื่น ๆ ทั่วประเทศ ทำให้มีงบไม่เพียงพอ คิดบวกสิปป์จึงขอเป็นแรงสนับสนุนอีกแรง เพื่อร่วมบูรณะสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่ พร้อมเชิญชวนทุกท่านว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้ จะได้ร่วมแสดงกับละครชาตรีเมืองเพชร โดยจะเล่นสองภพชาติคือพระรถเสน เมรี และพระสุธน มโนราห์ ผู้ชมทุกท่านจะได้เห็นละครชาตรีเมืองเพชรจริง ๆ ใน “ศิลปะบำรุงธรรมครั้งที่ ๓ ณ วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร เพชรบุรี” โดยผู้สนใจสามารถติดตามกำหนดการในอนาคต ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “คิดบวกสิปป์” หรือเบอร์โทรศัพท์ ๐๘๓ ๘๒๖ ๕๕๖๒

หลังจากกิจกรรมการแสดงจบลง ก่อนจากลาได้มีโอกาสได้เข้าชมจิตรกรรมภายในโบสถ์วัดชมภูเวก ภาพเขียนสีสวยงามเจือจางลงไปบ้างแล้ว แต่ภาพบนประตูทางออกพระแม่ธรณีบีบมวยผมยังคงสวยงาม ไม่จางหาย ก่อนที่เราจะเห็นภาพกินรี และภาพพรานดังคำบอกเล่าของนักแสดง จึงอดชื่นชมการสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ไม่ได้ เพราะความรักในศิลปวัฒนธรรมของศิลปินโดยแท้ เราจึงได้เห็นผลงานร่วมสมัยอันงดงามนี้ไม่จางหาย
“จงเรียนรู้ ดูละครให้ย้อนคิด ใช้ชีวิตตามครรลองให้ผ่องใส”
“บำรุงรักษ์ศิลป์ศาสตร์ของชาติไทย ขอผลบุญหนุนให้เป็นสุขเถิด”
สิ้นเสียงปี่ชวา เสียงกลองโทนโนราแล้ว จบการแสดง

