เรื่อง : จิดาภา เอกอัคร
ภาพ : กฤษฎ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ณ ตำบลอุทัยใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
“ตึกๆๆๆๆ”
เสียงเครื่องยนต์แล่นดังตลอดทาง บนแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลผ่านระหว่าง “เกาะเทโพ” ซึ่งขึ้นชื่อว่าเกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและยังอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้เขียวชอุ่ม กับตัวเมืองอุทัยธานีที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ
เส้นทางที่เรือกำลังแล่นอาจเทียบได้กับถนนสายหลักสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัด เพราะวิ่งผ่าน “ชุมชนชาวแพสะแกกรัง” ชุมชนบ้านแพแห่งสุดท้ายของประเทศไทย
เรือค่อยๆ หันหัวเข้าเทียบท่าบ้านแพไม้ของ “สินธุ์ชัย พูลแก้ว” ชายเจ้าของบ้านหน้าคมเข้ม
ชายวัย ๖๐ ปี ร่างกายบึกบึน ไว้หนวดเคราหงอกยาว สวมเสื้อกีฬาแขนกุดสีม่วงเข้มตัดขอบสีชมพูดอกเฟื่องฟ้า ขับสีผิวและกางเกงขาสั้นลายทหารพราน ยืนมองมาที่เรือ หน้าเขานิ่งขมวดคิ้วและหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายพยายามสู้กับแสงอาทิตย์ที่ส่องปะทะ แต่ก็ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มที่มุมปาก


ชุมชนบ้านแพ
ตัวเรือนแพนี้ทั้งหลังทำด้วยไม้ มุงหลังคาสังกะสี แผ่นไม้ไล่สีตามระดับความอ่อนเข้มจากผลของแดดและฝน มุมติดกับหลังคาที่โดนฝนน้อยยังคงเห็นเป็นสีปี๊บทาไม้ ส่วนที่โดนแดดหนักๆ สีก็จะซีดลง หน้าต่างทุกบานทาทับด้วยสีเขียวอ่อนพาสเทล ประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านสีฟ้าอ่อน มีต้นไม้ปลูกในกระถางและกล่องโฟมตั้งหน้าบ้าน ต้นเฟื่องฟ้ากำลังออกดอกสีชมพูบานเย็นสดใสอยู่ข้างบ้าน
หนังสืออุทัยธานีในความทรงจำ โดยมาโนช พรพิบูลย์ นักเขียนชาวอุทัยธานีเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวแพในอดีตไว้ว่าแพที่จอดทางฝั่งตลาด คนสมัยก่อนเรียกว่า “ฝั่งคานี้” ส่วนฝั่งเกาะเทโพเรียกว่า “ฝั่งคาโน้น” ตำแหน่งของบ้านแพหลังนี้จึงอยู่ “ฝั่งคาโน้น” ถัดมาไม่ไกลนักจากวัดอุโปสถาราม หรือ “วัดโบสถ์” จากบนแพจะมองเห็นตลาดเทศบาลเมืองอุทัยธานีอยู่ลิบๆ ฝั่งตรงข้ามทางซ้ายมือ
แม้จะเป็นบ้านแพ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงของกระแสน้ำ เพราะลอยอยู่ด้วย “ลูกบวบ” ภูมิปัญญาของชาวแพที่นำไม้ไผ่สีสุกประมาณ ๖๐-๗๐ ลำผูกเข้าไว้ด้วยกัน บ้านหลังนี้มีลูกบวบสามลูก รองรับน้ำหนักบ้าน จากด้านหน้า กลางบ้าน และด้านหลัง เพื่อความสมดุล
“ดอกไม้จากแพฝั่งตรงข้าม เป็นของแพหลังคาสีเขียวนั่น เห็นแล้วจำได้เลย” สินธุ์ชัยพูดขึ้นหลังถวายดอกไม้ไว้บนหิ้งพระ ก่อนชี้ไปยังบ้านแพของแม่ค้าขายดอกไม้ที่เขาซื้อมาจากตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง หลังคาสีเขียวฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางขวามือ
ดอกไม้ร้านนี้สวยแปลกตา ใช้ใบเตยมัดเป็นก้านสำหรับถือและพับหกแฉกเป็นเหมือนพานใส่ดอกไม้ เรียงดอกพุดเป็นวงกลมไล่ชั้นสลับกับดอกบานไม่รู้โรยสีชมพูอมม่วง เป็นพุ่มทรงดอกบัว
“ชุมชนนี้รู้จักกันแทบจะทั่วท้องน้ำ ยิ่งใครเป็นกรรมการหมู่บ้านยิ่งต้องรู้จักหมด ไปรษณีย์เขาถาม แพคนนั้นอยู่ตรงไหน ชื่อนี้นามสกุลนี้ เราต้องรู้ให้ได้ เขาจะได้ไปลงท่าถูก”
นอกจากจะรู้จักกันหมด ยังมีเชื้อสาย “สุราฤทธิ์” แทบทั้งตลอดสายน้ำ รวมถึง ‘บังอร พูลแก้ว’ ภรรยาสินธุ์ชัย
“สมัยก่อนแพจะอยู่ติดกันเป็นแถว ไม่ได้ห่างแบบนี้ จะมีไม้พาดระหว่างแพไว้ทอดสะพานเดินข้ามหากันได้ บางทีฝั่งนู้นทำกับข้าว เขาก็ใส่ถ้วยมาแบ่ง”
ตลอดริมสองฝั่งของแม่น้ำสะแกกรังในอดีต หนาแน่นด้วยบ้านแพอาจถึง ๓๐๐ หลัง อาศัยอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แตกต่างกับปัจจุบันที่บ้านแพลอยอยู่ห่างจากกัน ด้วยเหลืออยู่เพียง ๑๐๐ กว่าหลัง ความครึกครื้นและเฟื่องฟูของชุมชนไม่เหมือนดังคำเล่าขานถึงอดีต



ชีวิตเรียบง่ายบนสายธาร
บังอรจะออกเก็บผักบุ้งในแม่น้ำสะแกกรังตอนเช้าก่อนไปขายในตลาด โดยนำผังบุ้งมาล้างในอ่างล้างสิ่งของต่างๆ บนแพ ซึ่งไม่มีก๊อกน้ำที่ต้องหมุนเปิดปิด เพราะเป็นเพียงช่องสี่เหลี่ยมบนพื้นเรือนให้ใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ไม่ว่าจะล้างผักบุ้ง ล้างมือ ล้างจาน
ส่วนสินธุ์ชัยจะจับปลาจากลอบตาข่ายดักปลาขนาดใหญ่ที่วางไว้หลังบ้าน นำปลามาใส่รวมกันในกระชังขนาดเล็กที่ผูกติดกับตัวบ้านแพ ใช้ทำอาหารในแต่ละวัน ทั้งทอดหรือย่างกินกับน้ำพริก หากจับได้มากหน่อยก็อาจขายในตลาด
ชาวประมงหนุ่มคนนี้เคยล่องเรือออกจับปลาไกลถึงแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ต่อมาก็เลิกไป เพราะจำนวนปลาในแม่น้ำเริ่มลดน้อยลงไปทุกที แม้แต่ลูกชายที่เปิดร้านขายปลาก็ต้องนำปลาจากจังหวัดนครสวรรค์มาขายแทน ลูกค้าประจำไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปซึ่งมีอาชีพทำต้มปลาเค็มขายในตลาด มีชื่อเสียงเลื่องลือในความอร่อยจนเป็นของฝากติดมือนักท่องเที่ยว
“หลังอื่นไม่มีทำแล้ว หรือทำก็น้อย เขาซื้อปลาจากลูกชายครั้งละหลายกิโล บางทีปลามาไม่สวย แม่ครัวจะพูดแกมบ่น ‘หื้ม ตัวเล็กจัง’” บังอรเล่าปนขำ
นอกจากปลาที่จับกิน หลังบ้านสินธุ์ชัยยังมีกระชังปลาสวายและปลาเทโพที่เลี้ยงไว้ ทุกวันหลังตลาดวาย ลูกชายคนโตซึ่งเป็นพ่อค้าขายปลาในตลาดจะนำไส้ปลาที่เหลือมาเป็นอาหารให้ปลาของพ่อแม่
ชีวิตของชุมชนชาวแพถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้ประโยชน์หมุนเวียนจากสิ่งรอบตัวอย่างคุ้มค่า ความสัมพันธ์ในชุมชนผูกพันกันด้วยวิถีบนสายธารแห่งนี้
“อยู่แบบพอเพียง” นิยามชีวิตที่ดีของสินธุ์ชัย “ไม่จำเป็นต้องไปฟุ้งเฟ้อ เอาเงินไปซื้อนู้นนี่ให้มันเกินตัว ทีวีนี่ ถ้าลูกเขาไม่ซื้อมาให้เพราะเห็นว่าพ่อสายตาไม่ดีแล้ว ผมก็ใช้เครื่องเก่าได้ ตู้เย็น ลูกเขาบอกเก่าแล้ว เขาก็ซื้ออันใหม่มาให้ อันเก่าใช้มา ๔๐ ปีได้ แต่ลูกไม่ให้ใช้แล้วเดียวไฟช็อต”
บ้านแพอายุ ๑๐๐ ปีหลังนี้ เขาอยู่มากว่า ๔๐ ปี พอๆ กับอายุของลูกชายคนโตที่เกิดบนบ้านแพ
“ความสุขคือลูกทั้งสอง เลี้ยงมาจนโต เขาสำเร็จในชีวิตแล้ว ทำมาหากิน มีบ้านช่องอยู่ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร”
สินธุ์ชัยนั่งดูรูปในสมุดสะสมรูปถ่ายที่เต็มไปด้วยรูปครอบครัวบนบ้านแพ ทุกรูปมีบ้านแพเป็นพื้นหลังในทุกช่วงเวลาการเติบโตของลูก
“ลูกคนเล็กชื่อ ‘ศุภโชค’ อายุ ๒๘ ปี แล้วคนนี้ เขาจะขาวหน่อย ไม่เหมือนคนโต ชื่อ ‘พรชัย’ ตัวจะดำ ตอนท้อง แม่เขาอยากกินแต่โอเลี้ยง ส่วนเจ้าคนเล็กกินนม เป็นเหตุผลที่ทุกวันนี้ว่ามึงตัวขาว กูตัวด๊ำดำ”



เด็กเร่ร่อน นักมวย ทหาร
สินธุ์ชัยเป็นคนอุทัยธานีโดยกำเนิด แต่ชีวิตกลับต้องระหกระเหินตลอดช่วงวัยเด็ก จนโตเป็นหนุ่มกว่าจะได้หวนกลับมาที่เมืองอุทัยธานีอีกครั้ง
“เกิดที่นี่แต่ไปโตที่ลพบุรี พ่ออยู่ที่นั่น เป็นทหารที่่ลพบุรี”
“ถ้าจะให้เล่า ชีวิตมันโคตรรันทด” ชายสูงอายุน้ำตารื้น
ชีวิตเขาขาดพ่อแต่เด็ก เมื่อแม่ท้องได้ ๖ เดือน พ่อแม่ก็แยกทางกัน ได้มาอยู่กับพ่ออีกครั้งตอนที่พ่อซึ่งเป็นทหารมารับไปอยู่ด้วยที่ตำบลลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี แต่ด้วยแม่ใหม่ไม่ค่อยชอบ สุดท้ายเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
“อยากไปให้พ้นจากตรงนั้น” สินธุ์ชัยเล่า “พ่อก็…จะพูดแบบไหนดี”
เสียงเริ่มสั่นและนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะพยายามเล่าต่อ “คือสำมะเลเทเมา”
น้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่เริ่มเรื่องไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ผู้เล่าสะอื้น ก่อนจะค่อยๆ นิ่ง แล้วเล่าชีวิตช่วงวัยรุ่นของตนต่อ
หลังจากเดินทางอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายเขาก็ไปตั้งหลักอยู่ที่สถานีรถไฟบางซื่อ ใช้ชีวิตร่วมกับเด็กเร่ร่อนกว่าร้อยชีวิต ทำงานรับจ้างขนของ ส่งโทรเลข หาเงินประทังชีวิตวันต่อวันกว่า ๑๐ ปี จึงกลับลำนารายณ์ไปอยู่กับพ่อเช่นเดิม
เนื่องจากเคยฝึกต่อยมวยตอนอยู่บางซื่อบ้าง พ่อจึงส่งเข้าค่ายมวยให้เป็นนักมวยอาชีพ มีฉายาว่า “ฟ้าอุทัย พิษณุราชันย์” แม้ช่วงแรกจะไปด้วยดี แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกเพราะถูกบิดค่าแรง กับยังมีอีกความฝัน คือการเป็นทหาร
แม้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับพ่อ สินธุ์ชัยก็อยากเป็นทหารตามรอยพ่อ หลังจากสมัครเป็นทหารพรานก็ได้ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แต่สุดท้ายต้องลาออกจากราชการเนื่องจากบาดเจ็บหนัก
“โดนลูกปืนเข้าไปเกือบถึงสลักเพชร นอนเป็นเดือนๆ กว่าจะผ่าตัดออกมาได้ กินยาบรรเทาปวดไปเรื่อยๆ ปกติตอนเป็นทหาร เวลามีแผลตามขานี่จะกรีดสดหมด คือเอามีดเผาไฟแล้วก็กรีด อย่างกับหนังในทีวี คือมอร์ฟีนปักเข้าไปแล้วก็ฉีดยาใส่เข้าไปแก้ปวด” สินธุ์ชัยเล่าแล้วชี้ไปที่รอยแผลเป็นขีดๆ หลายรอยบนขา
แม้จะเป็นชีวิตที่เสี่ยงตายและลำบาก แต่ลูกชายของสินธุ์ชัยทั้งสองคนต่างก็สมัครเป็นทหาร อาจเพราะสายเลือดหรือตัวตนที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าเรื่องราววัยเด็กของสินธุ์ชัยกับพ่อจะทรหดและสร้างบาดแผลในใจเพียงใด แต่บนผนังบ้านก็มีภาพชายหนุ่มคนหนึ่งที่วางคู่กับหิ้งที่วางโกศซึ่งเก็บอัฐิบุคคลในภาพไว้ หากดูครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นเพียงภาพถ่าย แต่มองพิจารณาใกล้ๆ จะพบว่าเป็นภาพสเก็ตช์ด้วยดินสออย่างประณีตบรรจง จนดูเหมือนภาพบุคคลจริงมากที่สุด
ไม่มีคำตอบว่าใครเป็นคนวาด สินธุ์ชัยเพียงแต่บอกว่า “น่าจะเรียนศิลป์เนอะ”

เขาบอกว่าการเป็นทหารทำให้เป็นคนมีระเบียบวินัยมากขึ้น มีทิศทางในการใช้ชีวิต ไม่เดินเตะฝุ่นไปวันๆ

การย้ายครั้งสุดท้ายของบ้านแพ
ตอนที่เริ่มมาเป็นชาวแพ สินธุ์ชัยเปลี่ยนบ้านแพอยู่หลายหลัง เคยพาบ้านแพย้ายไปอยู่รวมกว่าหกที่ อยู่ที่ละ ๕-๗ ปี ทั้งตรงหน้าวัด หน้าตลาด หน้าบ่อจระเข้ สุดท้ายย้ายมาอยู่จุดปัจจุบัน ๑๒ ปีแล้ว
“เราย้ายแพไปไหนก็ได้ ถ้ามีที่ และเจ้าของที่ดินบนฝั่งอนุญาต บางแพจะใช้หน้าที่ดินเทียบฝั่งขึ้นข้างบนด้วยก็ต้องเช่า อย่างบ้านข้างๆ เมื่อก่อนจ่ายค่าเช่าปีละ ๕๐๐ บาท เดียวนี้ขึ้นเป็นปีละ ๑,๐๐๐ บาท ถ้าเจ้าของที่ีดินบนฝั่งเขาไม่ให้เทียบท่าอยู่ เราก็ย้ายไปที่อื่นแล้วก็ไปแจ้งทางไฟฟ้าว่าจะขอย้าย ก็ปลดหม้อมิเตอร์ไฟฟ้าจากตรงนี้ไปติดที่ใหม่ แค่นั้นเอง”
หลังจากอยู่บ้านแพมา ๔๐ กว่าปี เขาเตรียมย้ายอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นการ “ขึ้นบก”
สินธุ์ชัยเคยป่วยหนักจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ทำให้ร่างกายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกอยู่กว่า ๒ ปี หลังรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงเริ่มดีขึ้น แต่ร่างกายไม่ได้กลับมาใช้แรงได้เหมือนเก่า รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เริ่มเน่าเสีย ไม่สะอาดดังเก่า ปลาที่เริ่มหาได้ไม่ง่าย ค่าใช้จ่ายบำรุงบ้านแพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากไม้ไผ่ที่หายากและราคาสูงขึ้น
การบอกลาครั้งนี้ สินธุ์ชัยมีแผนจะนำอัฐิพ่อไปลอยอังคาร เก็บทุกอย่างไว้แต่ในความทรงจำ
ตลอด ๔๐ ปีที่ผ่านมา บ้านแพหลังนี้มีความหมายอย่างไร
สินธุ์ชัยตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ลูกผมโตที่นี่”
เช่นเดียวกับความทรงจำถึงชีวิตของชุมชนชาวแพ จากวันรุ่งเรืองถึงวันที่ทุกอย่างค่อยๆ แปรเปลี่ยน
สนับสนุนโดย
- วิริยะประกันภัย
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- มูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
- Nikon
- STM
- Saramonic
- Sirui
- กลุ่มธุรกิจtcp
- sigmalens
กิจกรรมโดย SarakadeeMagazine
ค่ายสารคดี #ค่ายสารคดีครั้งที่19 #อยู่ดีตายดี #นักเขียน #ช่างภาพ #วิดีโอครีเอเตอร์