เรื่องน่ากลัวและหวาดหวั่นที่สุดในชีวิตก็คือความตาย
ทุกคนรู้ว่าต้องเจอความตายแน่ แต่ไม่มีใครอยากตาย ถ้าเจ็บป่วย เราก็อยากรักษาเพื่อมีชีวิตให้ยืนยาวที่สุด
การตายเป็นประสบการณ์พิเศษสุด เพราะมีครั้งเดียว ลองคิดดูว่าขณะที่ประสบการณ์อื่น ๆ เมื่อผ่านเข้ามาในชีวิต เรา สามารถเรียนรู้เพื่อแก้ไขให้เป็นประสบการณ์ที่ทำได้ดียิ่งขึ้นๆ
แต่การตายไม่ใช่ เราไม่มีโอกาสทำซ้ำ และยิ่งไม่อยาก เจอซ้ำ
แล้วในทางการแพทย์ ต้องถึงจุดไหนที่บอกว่านี่คือตายแน่
หนึ่ง หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ สอง สมองตาย คือ สมองหยุดทำงานอย่างถาวร ข้อหลังนี้ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะ สมองควบคุมการทำงานของอวัยวะแทบทุกอย่าง หากสมอง ไม่ทำงาน ระบบทั้งหมดในร่างกายก็จะค่อย ๆ ปิดสวิตช์ลง ในที่สุด
การตายเลยอาจแบ่งได้เป็นสองช่วง คือช่วงแรกที่หัวใจ หยุดเต้นหยุดหายใจ เช่น เกิดหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ภาวะ หายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ถ้าได้รับการปฐมพยาบาลทัน เช่น ทำ CPR ปั๊มหัวใจกับผายปอด หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็อาจรอด ฟื้นกลับมาได้ แต่ถ้าไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ หรือปฐมพยาบาลช้าไป ก็เข้าสู่การตายช่วงที่ ๒ คือเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เซลล์ สมองจะขาดออกซิเจน และค่อย ๆ ตายไปจนฟื้นคืนไม่ได้
การตายช่วงแรกเรียกว่า “การตายทางคลินิก” (clinical death) ถือว่ายังมีโอกาสรอดถ้าช่วยทัน
หากอยู่ระหว่างการตายช่วง ๒ ที่เซลล์สมองเสียหายไปพอสมควรแล้วกู้ชีวิตฟื้นกลับมาได้ก็อาจอยู่ในภาวะโคม่า คือ หลับไม่ตื่น ไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ตกอยู่ในภาวะ “เจ้าชาย หรือเจ้าหญิงนิทรา” ซึ่งถ้าโคม่ายาวนานก็อาจเป็น “การตายทางสังคม” (social death) เพราะไม่สามารถแสดงบทบาทใด ๆ ใน สังคม (social death ยังมีความหมายเชิงวัฒนธรรม เช่น การถูก สังคมปฏิเสธ การทำให้ไม่มีตัวตนในสังคม
เมื่อสมองตาย ระบบอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายก็จะค่อย ๆ หยุดทำงานอย่างถาวร อุณหภูมิร่างกายลดลง ตัวแข็งที่อ ซีด และเน่าเปื่อย ถือเป็น “การตายทางชีวภาพ” (biological death)
คือตายแน่ สิ้นสุดชีวิตอย่างแท้จริง โดยไม่มีเครื่องมือ ทางการแพทย์ใด ๆ ช่วยเหลือได้
ถ้านึกถึงภาวะก่อนจะตายแน่ คือกำลังตายอยู่ ก็อาจ น่ากลัวกว่าความตายจริง ๆ เสียอีก เช่น การจมน้ำ ขาดออกซิเจน เราจะเกิดความทุรนทุรายแค่ไหน หรือประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บ สาหัส จะต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ฯลฯ หลายคนคงเคยคิด เล่น ๆ ว่าถ้าเลือกได้ ขอตายแบบไปเร็ว ๆ หรือตายไปตอนหลับ ถือว่าตายสบาย ตายดีกว่าแบบอื่น
น่าคิดว่าสุดท้ายแล้วเรากลัวความตาย หรือกลัวการตาย
ภาวะระหว่างก้าวสู่ความตาย หรือกำลังตายอยู่ ในคัมภีร์ มรณศาสตร์ของทิเบต เรียกว่าบาร์โดแห่งความตาย “บาร์โด” หมายถึงภาวะที่อยู่กึ่งๆ กลาง ๆ ระหว่างอดีตกับอนาคต สิ่งนี้กับ สิ่งนั้น ซึ่งไม่ใช่ทั้งอดีตหรืออนาคต และไม่ใช่ทั้งสิ่งนี้และสิ่งนั้น
มนุษย์ดำรงอยู่ในบาร์โดหกชนิด คือบาร์โดแห่งการเกิด (ชาติ) ภพ ความฝัน ความตาย ความธรรมดา และการภาวนา
ช่วงใช้ชีวิตเราอยู่ในบาร์โดแห่งภพ-ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด และบาร์โดแห่งความฝัน การปรุงแต่ง จินตนาการเพื่อบางสิ่งและ จินตนาการต่อไปเรื่อย ๆ แต่ในที่สุดเราจะมาถึงบาร์โดแห่ง ความตาย คือการสิ้นสุดความฝันและความต่อเนื่อง เพื่อจะได้ รับรู้ถึงความไม่เที่ยง ซึ่งหากเรารับรู้ได้ก็จะเข้าสู่บาร์โดแห่งความ ธรรมดา-เข้าใจในสภาวธรรมที่เกิดขึ้น และขยับสู่บาร์โดแห่งการ ภาวนา คือการเกิดปัญญาประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมนั้นเอง
ตามคำสอนทิเบต ระหว่างการตายจึงเป็นโอกาสทอง ของการบรรลุถึงสัจธรรมชีวิต ถ้าเทียบกับทางการแพทย์ก็น่าจะ เป็นช่วงที่สมองยังไม่ตาย อาจอยู่ระหว่างช่วงหัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจกับเซลล์สมองถูกทำลาย ซึ่งน่าจะเป็นห้วงเวลาที่ ทุกข์ทรมานที่สุด
แม้จะรู้ว่าความตายไม่ใช่จุดจบ แต่นำไปสู่การเกิด แต่ คำถามก็คือ ลึก ๆ แล้วใครเล่าจะกล้าเผชิญหน้ากับการตาย
ใครเล่าจะยอมหยุดฝันถึงการมีชีวิตอยู่ในวันต่อ ๆ ไป
สุวัฒน์ อัศวโชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสาร สารคดี
- จากบทบรรณาธิการ สารคดี ฉบับที่ 477 ธันวาคม 2567
- อ่านบทความของ สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
- ติดตามเพจ Sarakadee Magazine