ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
123rf : ภาพ

กิจการประมงของประเทศไทยหันมาใช้เครื่องจักรจับสัตว์น้ำตั้งแต่ปี 2488 หรือ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อหน่วยงานรัฐโดย “กรมรักษาสัตว์น้ำ” (ต่อมาคือ กรมประมง) ริเริ่มให้ชาวประมงหันมาติดตั้งเครื่องยนต์แทนการใช้ใบเรือ พัฒนากฎหมายประมงจาก พ.ร.บ.อากรค่าน้ำ ร.ศ.120 เป็น พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2490 รวมทั้งนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติพร้อมอวนลากหน้าดินเข้ามาฝึกสอนลูกเรือประมงไทย หลังจากนั้นอุตสาหกรรมประมงไทยก็ขยายตัวอย่างกว้างขวาง
ก่อนหน้าปี 2503 ประเทศไทยเคยจับสัตว์น้ำได้ประมาณ 1.5 แสนตันต่อปี ในปี 2515 เพิ่มขึ้นนับสิบเท่ากลายเป็น 1.5 ล้านตันต่อปี ต่อมาในปี 2520 มีการคิดค้นอวนที่สามารถล้อมจับปลาที่ว่ายอยู่บนผิวน้ำ ทำให้สัตว์น้ำถูกจับเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ล้านตัน และเพิ่มเป็น 2.8 ล้านตัน ในปี 2538 ในทางตรงข้ามก็ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในอ่าวไทยลดลงอย่างรวดเร็ว…
แม้ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ในแต่ละปีจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สำนักนโยบายและแผน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เคยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมไว้เมื่อปี 2544 ระบุว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ผลิตสินค้าประมงของโลก แต่เมื่อพิจารณา “ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ต่อหน่วยการลงแรงประมง” หรือ CPUE (catch per unit effort) ที่นิยมใช้เป็นดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ มีหน่วยเป็นกิโลกรัมต่อชั่วโมง จะพบว่าในปี 2504 เราเคยจับสัตว์น้ำในอ่าวไทยได้ชั่วโมงละ 298 กิโลกรัม ต่อมาในปี 2532 ลดลงเหลือชั่วโมงละ 20 กิโลกรัม ในปี 2541 เหลือชั่วโมงละ 7 กิโลกรัม และในปี 2542 เหลือเพียงชั่วโมงละ 3 กิโลกรัมเท่านั้น รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมฉบับเดียวกันยังระบุว่า ปลาที่ถูกจับเป็นปลาขนาดเล็กและลูกปลาเศรษฐกิจถึงร้อยละ 40
เมื่อเทคโนโลยีที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำได้รับการพัฒนาพร้อมกับจำนวนเรือหาปลาที่เพิ่มขึ้น การจับสัตว์น้ำก็เกิดขึ้นเกินศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำของท้องทะเล คนจับสัตว์น้ำเริ่มลดขนาดตาอวนของเครื่องมือประมงให้เล็กลงเพื่อจับสัตว์น้ำให้ได้มากที่สุด

ถึงแม้ว่าเรือประมงในน่านน้ำไทยจะออกไปล้อมจับสัตว์น้ำไกลจากชายฝั่งมากขึ้น แต่ปลาที่จับได้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นปลาขนาดเล็กที่ติดตาตาข่ายของอวนตาถี่ รวมถึงลูกปลาเศรษฐกิจที่ถูกล้อมจับมาก่อนที่จะโตเต็มวัย
การประมงในน่านน้ำไทยไม่ต่างอะไรกับการไล่ต้อนลูกสัตว์ทะเลวัยอ่อน ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดน้อยลง…
การทำประมงเกินขนาด หรือ การจับสัตว์น้ำเกินศักยภาพในการฟื้นตัวของทะเล เกิดขึ้นตั้งแต่ราวปี 2519 ช่วงปลายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 กรมประมงและสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมองเห็นปัญหานี้ จึงพยายามกำหนดทิศทางเพื่อรักษาระดับการผลิตสัตว์น้ำทะเลด้วยวิถีทางอนุรักษ์ แต่ปัญหาก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมา
กิจการประมงที่ผ่านมาของไทยเป็นไปในทางทำลายฐานทรัพยากรเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ตรงหน้าให้มากที่สุด ไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าของท้องทะเลในฐานะแหล่งพันธุกรรมและฐาน0ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว…ถ้าหากรู้จักดูแลรักษา
การทำประมงเกินขนาด (Overfishing) เป็น 1 ใน 3 รูปแบบของการทำประมงที่ไม่ยั่งยืน ร่วมกับการทำประมงทำลายล้าง (Destructive Fishing) การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported, and Unregulated Fishing หรือ IUU Fishing)

การทำประมงเกินขนาดมักมองไปถึงสัตว์น้ำที่เป็นเป้าหมาย เช่น ปลากะตัก ปลาทู ปูม้า หรืออาจมองเป็นกลุ่มสัตว์น้ำก็ได้ เช่น กลุ่มปลาผิวน้ำ กลุ่มปลาหน้าดิน แยกย่อยได้อีก 2 รูปแบบ คือ Growth Overfishing หมายถึงการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าวัยที่สามารถให้กำเนิดลูกหลานทดแทนได้สูงสุด
โดยทั่วไปแล้วเมื่อแม่ปลาวางไข่ครั้งแรกจะมีไข่จำนวนน้อย แต่เมื่อถึงครั้งที่สอง…สาม…มักจะวางไข่ได้มากขึ้น การจับแม่ปลาก่อนวัยเจริญพันธุ์เต็มที่จะทำให้ประชากรสัตว์น้ำที่เกิดมาทดแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อีกรูปเเบบคือ Recruitment Overfishing หมายถึงการจับสัตว์น้ำโตเต็มวัยในปริมาณมากเกินไป ส่งผลให้สัตว์น้ำรุ่นใหม่ ๆ ที่จะขึ้นมาทดแทนมีจำนวนลดลง สภาวะ Recruitment Overfishing คือปริมาณประชากรสัตว์น้ำระยะที่วางไข่ได้ลดลงอย่างมาก สัดส่วนปลาอายุมากที่จับได้ลดลง และโดยทั่วไปแล้วประชากรปลาที่เกิดขึ้นมาทดแทนจะลดลงเรื่อย ๆ ทุก ๆ ปี ถ้าสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ประชากรสัตว์น้ำชนิดนั้นหมดไปจากท้องทะเล
บทความ ประมงทำลายล้าง โจทย์ความไม่ยั่งยืนของระบบนิเวศทะเลไทย ของ ภควรรณ ตาฬวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านการจัดการประมงอย่างยั่งยืน เผยแพร่ในเว็บไซด์ www.sdgmove.com ระบุว่า การทำประมงขนาดใหญ่อย่างอวนลากที่ขนาดตาอวนก้นถุงเล็ก มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนเป็นปริมาณมาก เป็นสาเหตุให้เกิด Growth Overfishing ได้มาก ส่วนเรือประมงขนาดเล็กแม้จะมีปริมาณการจับสัตว์น้ำต่อลำไม่มาก แต่เมื่อคูณด้วยจำนวนเรือ ก็มีโอกาสที่ผลรวมสัตว์น้ำที่จับมาจะใกล้เคียงกับการทำประมงขนาดใหญ่ที่จับได้เยอะในแต่ละครั้งแต่มีจำนวนเรือน้อยกว่า ยกตัวอย่างผลการจับปูม้าจากเรือประมงขนาดเล็กกับเรือประมงขนาดใหญ่ ฝั่งอ่าวไทย ในปี 2560 ปริมาณปูม้าที่ถูกจับจากฝั่งอ่าวไทย เกินศักยภาพการผลิตจากธรรมชาติประมาณร้อยละ 20 โดยเป็นผลจับจากประมงขนาดเล็ก 10.7 พันตัน และจากประมงขนาดใหญ่ 11.4 พันตัน
สำหรับ การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ IUU Fishing นั้นหมายถึง การทำประมงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐหรือละเมิดกฎหมาย การทำประมงที่ไม่มีการรายงานหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อหน่วยงานรัฐ และการทำประมงโดยเรือที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีสัญชาติ และขัดต่อมาตรการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ
การทำประมงที่ไม่ยั่งยืนทั้งสามรูปแบบต่างก็มีความเกี่ยวข้องกัน กล่าวคือการทำประมงเกินขนาด เกินศักยภาพการฟื้นตัวของทะเล จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ถือเป็นประมงแบบทำลายล้างอย่างหนึ่ง ขณะที่การทำประมงทำลายล้าง มักมองไปที่วิธีการทำประมงเป็นหลัก เช่น การระเบิดปลา การจับปลาที่ต้องทำลายหน้าดิน แหล่งหญ้าทะเลหรือแหล่งปะการัง รวมถึงการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนในแหล่งอนุบาลและพื้นที่วางไข่ การจับสัตว์น้ำพลอยได้ปริมาณมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุของการทำประมงเกินขนาด ขณะที่การทำประมงแบบ IUU Fishing นั้นซ้ำเติมให้แนวโน้มการทำประมงเกินขนาดกับประมงทำลายล้างย่ำแย่ลงอีก

ย้อนอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนที่ปริมาณสัตว์น้ำในท้องทะเลลดน้อยลงใหม่ ๆ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ริเริ่มนโยบายส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพผืนป่าชายเลนอย่างกว้างขวางเพื่อให้กลายเป็นนากุ้งกุลาดำ มีการปล่อยน้ำเสียและสารเคมีจากบ่อกุ้งลงสู่ทะเล เมื่อการทำนากุ้งสร้างรายได้ให้ผู้เพาะเลี้ยงเป็นกอบเป็นกำก็ยิ่งเร่งเร้าให้เกิดการขยับขยายพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำจากชายฝั่งเข้าไปในเขตน้ำกร่อย และลึกเข้าไปในเขตน้ำจืด ก่อให้เกิดการทำลายระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติอย่างกว้างขวาง เมื่อปัญหาลุกลามเข้าขั้นวิกฤติ หน่วยงานรัฐจึงพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสร้างเขื่อน ส่งเสริมระบบชลประทานน้ำเค็ม ยิ่งก่อให้เกิดผลกระทบและทำลายระบบนิเวศขึ้นตามมา
ทุกวันนี้การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเป็นเป้าหมายลำดับที่ 14 จากทั้งหมด 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs (Sustainable Development Goals) ซึ่งเป็นชุดเป้าหมายของการพัฒนาระดับโลกหลังปี ค.ศ. 2015 มีประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติจำนวน 193 ประเทศให้การรับรอง ครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่ต้องบรรลุภายใน 15 ปี ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ค.ศ.2015 ถือเป็นทิศทางการพัฒนาที่ทุกประเทศที่ต้องดำเนินการร่วมกัน
การประมงที่ยั่งยืน (sustainable fisheries) หรือ การจัดการประมงอย่างยั่งยืน (sustainable management of fisheries) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งสภาพิทักษ์ทะเล (Marine Stewardship Council) ได้นิยามว่าหมายถึง การทำประมงในระดับที่สามารถควบคุมและรักษาปริมาณสัตว์น้ำในท้องทะเลให้มีจับได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลเสียให้เกิดภาวะที่ไม่สมดุลของระบบนิเวศในทะเลในระยะยาว
เอกสารประกอบการเขียน
วิฑูรย์ ปัญญากุล, (แปล). ปลาหายไปไหน? สาเหตุและผลกระทบจากการทําประมงเกินขีดจํากัด (หยาดฝน ธัญโชติกานต์, บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, 2547.
ภควรรณ ตาฬวัฒน์. ประมงทำลายล้าง โจทย์ความไม่ยั่งยืนของระบบนิเวศทะเลไทย เผยแพร่ในเว็บไซด์ www.sdgmove.com เข้าถึงได้ทาง https://www.sdgmove.com/2023/09/15/fishing-iuu-sea-thailand/