ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
“ขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 21.00 น.ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล หมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าควบคุมสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุทันที…”
ประกาศชี้แจงเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
…
“ขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 23.54 น. ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (SBM-2)ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากเกิดเหตุสุดวิสัยจากคลื่นสูงและลมกระโชกแรงกะทันหัน…”
Press release ฉบับที่ 1 แจ้งเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)




ชั่วระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 2 ปี ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รั่วไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทยตรงตำแหน่งเดิม คือทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 ถึงสองครั้ง
ทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 หรือ SBM-2 ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือของไทยออยล์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 16 กิโลเมตร
เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นคืนวันที่ 3 กันยายน 2566 ทางบริษัทระบุว่ามีน้ำมันดิบรั่วไหลออกมาประมาณ 60,000 ลิตร คาดว่าจะมีทิศทางการเคลื่อนตัวขนานเกาะสีชัง ได้รับการสนับสนุนด้านกำลังพล เรือ อากาศยาน อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
เข้าสู่วันที่สามจึงชี้แจงว่าไม่พบกลุ่มคราบน้ำมันขนาดใหญ่ พบเพียงแผ่นฟิล์มบาง ๆ บนผิวน้ำทะเล เมื่อเห็นว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม ไม่พบคราบน้ำมันแล้ว เช้าวันที่ 7 กันยายน กองทัพเรือจึงมีคำสั่งปิดศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำ
เหตุน้ำมันรั่วครั้งต่อมา เกิดขึ้นกลางดึกวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ขณะเรือกำลังจอดขนถ่ายน้ำมัน ได้เกิดคลื่นสูงและลมกระโชกแรงกะทันหัน ทางบริษัทชี้แจงว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ได้หยุดขนถ่ายน้ำมัน หลังจากนั้นระบบป้องกันภัยของทุ่น SBM-2 ก็เริ่มต้นทำงาน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่วาล์วของระบบป้องกันกำลังจะปิดจะมีน้ำมันบางส่วนไหลออกมาเพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบทุ่น ประเมินว่ามีน้ำมันดิบรั่วไหลประมาณ 8,000 ลิตร แม้ก่อนขนถ่ายน้ำมันดิบจะมีการวางทุ่นน้ำมัน หรือ บูม (boom) แต่เพราะคลื่นสูงและลมกระโชกแรง ทำให้น้ำมันดิบบางส่วนหลุดออกนอกแนวบูม
ทั้งสองเหตุการณ์ ทางบริษัทชี้แจงว่าได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กองทัพเรือภาคที่ 1 กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชลบุรี ฯลฯ
และทั้งสองเหตุการณ์ต่างก็มีการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน (dispersants) ซึ่งมักถูกใช้ในกรณีที่วิธีอื่นไม่ได้ผลหรือไม่ทันการ ไม่ว่าจะเป็นการกักและเก็บคราบน้ำมันขึ้นจากน้ำ การปล่อยให้น้ำมันสลายตัวตามธรรมชาติ ทั้งนี้ สารเคมีที่ใช้จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล
แผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ จำแนกปริมาณน้ำมันรั่วไหลเป็น 3 ระดับ (Tier) ได้แก่
ระดับที่ 1 (Tier I) ปริมาณรั่วไหลไม่เกิน 20,000 ลิตร (หรือ 20 ตันลิตร) ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างขนถ่ายน้ำมัน ผู้ที่ทำให้เกิดน้ำมันรั่วไหลต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการขจัดคราบน้ำมัน และ/หรือได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยต้องแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบก่อน
ระดับที่ 2 (Tier II) ปริมาณรั่วไหล 20,000 – 1,000,0000 ลิตร อาจเกิดจากเรือโดนกัน การขจัดคราบน้ำมันต้องร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ตามแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำฯ และต้องแจ้งให้กรมเจ้าท่าทราบก่อน หากเกินขีดความสามารถของทรัพยากรที่มี อาจต้องขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
ระดับที่ 3 (Tier III) ปริมาณรั่วไหลมากกว่า 1,000,000 ลิตร อาจเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรง การขจัดคราบน้ำมันในระดับนี้ต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานต่างประเทศ และต้องอาศัยความช่วยเหลือระดับนานาชาติ
โดยทั่วไปนั้น พื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำมันรั่วไหลจะสัมพันธ์กับกิจกรรมทางทะเล เช่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา พื้นที่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมและท่าเทียบเรือจำนวนมาก มีปริมาณการสัญจรทางน้ำโดยเฉพาะเรือบรรทุกน้ำมันสูง ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำมันรั่วไหลลงทะเลสูงกว่าจังหวัดชายทะเลอื่น ๆ
แต่ถึงอย่างไร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลอ่าวไทยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนกลายเป็นความชาชินแล้วหรือไม่ ?



เหตุน้ำมันรั่วกลางอ่าวไทยคงมีทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏเป็นข่าว กรณีที่ไม่มีภาพชายหาดหรือเกาะแก่งต่าง ๆ อาบคราบน้ำมันดิบจนเปลี่ยนเป็นสีดำ เหตุการณ์นั้นก็มักจะไม่ได้รับความสนใจ ไม่กลายเป็นข่าวใหญ่ของผู้คนในสังคม อาจเป็นเพราะโดยทั่วไปภาพชายหาดสีดำมักจะดูรุนแรงกว่าภาพคราบน้ำมันบนผิวน้ำ
จากข้อมูลของกรมเจ้าท่า ตั้งแต่ปี 2517 ถึงต้นปี 2567 ประเทศไทยเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลมาแล้วกว่า 200 ครั้ง แสดงถึงการขาดกลไกป้องกัน และระบบความรับผิดชอบ
แม้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วระดับโลกที่เคยมีน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลนับล้านลิตร ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลในทะเลอ่าวไทยอาจยังถือว่าน้อย แต่หากมองในแง่ตัวเลข “สถิติ” หรือ “ความถี่” พื้นที่อ่าวไทยน่าจะถือเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีเหตุน้ำมันรั่วเกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมทั้งมีก้อนน้ำมันเหนียว หรือ ทาร์บอล (Tar ball) ขนาดเล็กจำนวนมากถูกพัดเข้าฝั่งเป็นประจำ สร้างความสกปรกและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายหาด
หากยังไม่มีการปฏิรูประบบอย่างเป็นรูปธรรม ทรัพยากรทางทะเลอันล้ำค่าจะเสื่อมโทรมลงจนไม่อาจฟื้นกลับได้