มหาทักษา 55 - พระพุทธรูปประจำวันศุกร์ ปางรำพึง

พระพุทธรูปที่นับถือกันว่าเป็นพระประจำวันสำหรับผู้มีชาตกาลในวันศุกร์ หรือใช้ในพิธีทักษาอันเนื่องด้วยพระศุกร์ ได้แก่พระพุทธรูปปางรำพึง

พระพุทธรูปปางนี้เป็นพระยืน พระหัตถ์ (มือ) ทั้งสองยกขึ้นไขว้กันเหนือพระอุระ (อก) พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย เป็นอิริยาบถรำพึง มีความหมายตามพุทธประวัติว่า ภายหลังตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์ทรงคำนึงว่าอันพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นลึกซึ้งยิ่งนัก ไฉนเลยชาวโลกจักเข้าใจได้ ทรงรู้สึกท้อพระทัยกระทั่งไม่อยากจะแสดงธรรมสั่งสอนผู้ใด ขณะนั้นเอง ท้าวสหัมบดีพรหมและเทพยดาจึงพากันมาเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ต้นอัชปาลนิโครธ (ต้นไทร) กราบทูลอาราธนาวิงวอนให้ทรงแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ด้วยเถิด เมื่อทรงหวนพิจารณาเทียบบุคคลต่างหมู่เหล่าว่าย่อมมีปัญญาแตกต่างกัน อุปมาดั่งบัวสี่เหล่า ทรงเห็นว่าบุคคลสามจำพวกแรกนั้นอาจเข้าถึงพระธรรมได้ในชาติปัจจุบัน กระทั่งบุคคลจำพวกสุดท้ายก็ยังอาจตรัสรู้ได้ในภายภาคหน้า จึงตกลงตัดสินพระทัยที่จะแสดงธรรมสั่งสอนชาวโลกสืบไป

ในตอนท้าย “โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรฯ มหาอุปราช ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ มีโคลงเฉลิมพระเกียรติบทหนึ่งขอพรจากพระพุทธรูปปางรำพึง ความว่า

๏ ขอพรพระพุทธรูปเรื้อง รำพึง
ตฤกไตรในทวดึงษ์ ถ่องถ้วน
ขอจงทรงศักดิ์คำนึง ในน่าน
เสลขสลัดสัจธรรมล้วน เลิศเนื้อในผล

เมื่อพิจารณาตามความในบาทที่ ๒ “ตฤกไตรในทวดึงษ์ ถ่องถ้วน” ดูเหมือนว่ายุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายอาจให้ความหมายแก่พระพุทธรูปปางนี้ว่าเป็นการพิจารณาอาการ ๓๒ (ทว คือ สอง ดึงษ์ หรือดึงส์ คือสามสิบ มักเรียกกันว่า “ทวดึงสาการ”) คือส่วนประกอบในร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น

อย่างไรก็ดียังมีข้อน่าสงสัยอยู่ว่า พระพุทธรูปปางรำพึงในสมัยกรุงศรีอยุธยาจะแสดงด้วยอาการเช่นไร เพราะตามข้อเสนอของ ศ.ดร. เชษฐ์ ติงสัญชลี แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในหนังสือ “สัตตมหาสถาน : พุทธประวัติตอนเสวยวิมุตติสุขกับศิลปกรรมอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ ๒๕๕๕) กล่าวว่า พระพุทธรูปที่อยู่ในอาการไขว้พระหัตถ์ไว้ที่พระอุระนั้น เพิ่งมาได้รับการกำหนดเรียกให้เป็น “ปางรำพึง” โดยสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสในยุครัชกาลที่ ๓ พร้อมกับการเกิดขึ้นของพระพุทธรูปปางต่างๆ ตามท้องเรื่องพุทธประวัติ และสำรับของพระพุทธรูปประจำวันตามคติมหาทักษา

เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดมี “ประเพณีหลวง” ในการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ อุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบรมวงศานุวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยยึดตามวันประสูติ สำหรับเจ้านายที่ประสูติในวันศุกร์ก็จะหล่อพระพุทธรูปปางรำพึง แล้วธรรมเนียมนี้จึงคลี่คลายแพร่หลาย กลายมาเป็น “ประเพณีราษฎร์” ในเวลาต่อมา

ตัวอย่างเช่นพระพุทธรูปปางรำพึงที่อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ (๒๔๒๘-๒๔๓๐) หรือที่ชาววังออกพระนามโดยลำลองว่า “ทูลกระหม่อมดาวร่วง” เพราะเมื่อประสูตินั้นเกิดมีฝนดาวตกเต็มท้องฟ้า เจ้าฟ้าชายพระองค์นี้เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ สิ้นพระชนม์แต่เมื่อมีพระชันษาได้เพียงปีครึ่ง “ราชกิจจานุเบกษา” เล่ม ๔ ตอน ๑๒ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๓๐ บันทึกไว้ว่า

“วันพฤหัศบดี เดือนเจด แรมสิบเอจค่ำ เวลาเช้า พระเจ้าอยู่หัวเสดจออกพระที่นั่งอาภรณพิโมกข ทรงจุดเทียนนมัศการทรงศิล แล้วภอได้พระฤกษเช้า ๓ โมงเสศ ทรงเททองคำหล่อพระพุทธรูปมีอาการทรงรำพึงประจำวันประสูตร สมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ แลทรงประเคนพระสงฆ รับพระราชทานฉันด้วย แล้วเสดจขึ้น”