จิตรกรรมโกศล #6 -ม่านรูปเทวดา

จากพระมติของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในพระนิพนธ์ “สาส์นสมเด็จ” ที่ว่า “การเขียนฝาคิดว่ามาแต่ขึงม่านนั้นเอง” เมื่อลองค้นต่อไปก็พบว่าแบบธรรมเนียมราชสำนักยุคกรุงศรีอยุธยาเคยมีการใช้ “ม่าน” อันเป็นต้นทางของการเขียนภาพบนผนัง ไป “ผูก” ตกแต่ง แบ่งพื้นที่ และบังสายตา หลายรูปแบบมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือหนังสือโบราณที่เรียกกันว่า “เรื่องสมเด็จพระบรมศพ” หรือ “กฎหมายงานพระบรมศพครั้งกรุงเก่า” อันเป็นจดหมายเหตุว่าด้วยงานพระเมรุกรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งพระชันษายืนจนมาสิ้นพระชนม์ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อ จ.ศ.1097 (พ.ศ. 2278) “เรื่องสมเด็จพระบรมศพ” ตอนหนึ่งเป็นคำอธิบายรายละเอียดการผูกม่านแต่งภายในพระเมรุทั้งสี่ทิศ โดยสั่งให้ดูตัวอย่างอ้างอิงจากเมื่อคราวงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เมื่อปีฉลู เบญจศก จุลศักราช 1095 (พ.ศ. 2276) ว่า

“อนึ่งเกณฑ์ให้นายรัตนบรรยงก์ นายจันทรมณเฑียร คุมพนักงานเสื่อพรมม่านเบาะแต่งที่ในพระเมรุ แลขุนบำเรอภักดิเอาแผนที่ครั้งสมเด็จพระบรมศพณปีฉลูเบญจศก ศักราช 1095 ปีนั้นไปดู ให้ผูกม่านที่ใหญ่ในทิศอุดรทางเสด็จฯ ออกพระสงฆ์นั้นผูกม่านแพรพื้นขาวปักทองแกมไหมเบญจพรรณผูกสองไข แลม่านนั้นสั้นจึงเอาช่องกุฎอย่างดีต่อริมเสาทั้งสองข้างแลสายม่านไขนั้นไว้ข้างเสาน่าฉานตวันออกฝ่ายซ้าย แลม่านข้างที่ทั้งสองข้างนั้น ม่านช่องกุฎผูกแต่เสาพระเมรุ แล้วผูกเสามุขประตูพระเมรุไปร่วมเอาเก็จประตูทิศอุดรนั้นทั้งสองข้าง แลม่านซึ่งผูกต่อมาถึงประตูพระเมรุนั้นผูกม่านหน้ากากพื้นแดงสองข้าง แลม่านสลักทางเสด็จฯชั้นในนั้นผูกม่านมะชลิปต่ำอย่างดีสองไข แลชั้นนอกนั้นผูกม่านลายฉีกพื้นขาวสองไข แลจะได้มีเพดานผ้าขาวในที่ด้วยหามิได้ แลผูกม่านต่อหน้าฉานฝ่ายซ้ายตรงที่เฝ้านั้นเลี้ยวออกตามเก็จเอาประตูมุขทิศบูรพ์ ม่านช่องกุฎพื้นต่างๆ กัน แลผูกม่านเชิงพระเมรุปลายที่เฝ้าเลี้ยวย่อไปตามเก็จถึงประตูทิศบูรพ์นั้น ม่านจะเลียกแลม่านวงเดือนพื้นแดง ผูกม่านที่ใหญ่ฝ่ายขวาเปนที่ข้างในสองผืน และม่านสลักที่ข้างในสามแห่ง แลผูกม่านประตูทิศประจิม แลประตูทิศทักษิณนั้นผูกประตูแลสองชั้น ม่านจะเลียกแหวกหาสายไขมิได้ แลผูกม่านณเสาพระเมรุ ต่อม่านวงเดือนเลี้ยวมาถึงม่านผูกประตูทิศทักษิณ ฝ่ายตวันตกม่านลายฉีกพื้นขาวซับขาวนั้นพระคลังในเอามาส่งให้ชาวม่านผูก 8 ผืน แลม่านผูกเชิงพระเมรุแต่มุขประตูทิศทักษิณข้างตวันออกเลี้ยวย่อตามเก็จมาถึงประตูมุขทิศบูรพ์ข้างใต้นั้น ชาวม่านไปยืมม่านรูปเทวดามาแต่วัดพระศรีสรรเพชญ์มาผูกริมมุขข้างเหนือนอกม่านแถวเฝ้านั้นผืนหนึ่งด้วย ประสมกับม่านจะเลียกซึ่งผูกเชิงพระเมรุนั้น แลม่านสลักประตูทิศบูรพ์ชั้นนอกชั้นในนั้น ม่านลายฉีกพื้นขาวแหวกมิได้มีสายไขหามิได้ อนึ่งผูกม่านในพระมณฑปพระเมรุที่เสาแฝดล้อมพระเบญจาทิศอุดรแลทิศบูรพ์นั้น ผูกม่านแพรพื้นสีเขียวน้ำเงินปักทองแกมไหมเบญจพรรณประดับแว่น แลม่านผูกทิศทักษิณแลทิศประจิมนั้นม่านพื้นแดงปักทองแกมไหมเบญจพรรณประดับแว่นเหมือนกัน”

แม้ภาษาโบราณอาจอ่านเข้าใจได้ยาก แต่เราคงพอเห็นได้ว่ามีการออกชื่อชนิด หรือลวดลายของผ้าม่านที่นำมาผูกไว้มากมาย เช่น ม่านแพรสีต่าง ๆ (ขาว-เขียวน้ำเงิน-แดง) ซึ่ง “ปักทองแกมไหมเบญจพรรณ” บางผืนก็มี “ประดับแว่น” (น่าจะหมายถึงมีปักเลื่อมหรือกระจก) ม่านช่องกุฎ ม่านหน้ากาก ม่านชะลิปต่ำ (คงเรียกตามชื่อเมืองท่ามะจิลีปัตนัม หรือมาสุลิปัตนัม Machilipatnam/Masulipatnam ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย) ม่านลายฉีก ม่านจะเลียก ม่านวงเดือน รวมทั้ง “ม่านรูปเทวดา” ซึ่งขอยืมจากวัดพระศรีสรรเพชญ์

ข้อความที่ยกมานี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าในคลังของหลวงมิได้มีม่านจำนวนมากมายเท่าใด แต่ละด้านจึงต้องผูกผ้าม่านต่างสีต่างลายกัน ม่านบางผืนก็สั้นเกินไปจนต้องหาม่านลายอื่นมาผูกต่อ ถึงขนาดต้องไปขอยืมม่านเพิ่มเติมมาจากที่วัดก็มี

ม่านเหล่านี้มีรูปร่างหน้าตาอย่างใดแน่ก็คงยากที่จะคาดเดา หากแต่หลักฐานการใช้ม่านในราชสำนักและตามบ้านเรือนยังมีร่องรอยปรากฏให้เห็นในจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนปลายหลายแห่งด้วยกัน เช่นจิตรกรรมฝาผนังวัดช่องนนทรี (ยานนาวา กรุงเทพฯ) ซึ่งวาดภาพเรื่องทศชาติชาดก ในฉากกระบวนเสด็จทางสถลมารคของพระเจ้าอังคติราช จากเรื่องพรหมนารทชาดก มีช้างพระที่นั่งเชือกหนึ่งผูกสัปคับที่มีหลังคากูบ ซึ่งเอาชายผ้าม่านไปพันไว้กับเสา อีกฉากหนึ่งในเรื่องวิฑูรบัณฑิต มีภาพเรือนหมู่ทรงตึกใหญ่โตหลังหนึ่ง แม้ที่หอกลางผูกผ้าม่านไว้โดยรอบ หากแต่กิจกรรมในที่รโหฐานนั้นก็มิอาจเล็ดรอดสายตาของผู้สอดรู้สอดเห็นไปได้