จิตรกรรมโกศล #8 - ประทับในดวงใจอย่างมิรู้ลืม

เกือบทั้งหมดของภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคโบราณที่พบในประเทศไทย เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่นผสมกาว คือใช้สีที่ได้จากธรรมชาติ เช่นดิน หิน พืช และสัตว์ ตลอดจนแร่ธาตุต่างๆ นำมาทำให้แห้ง บดเป็นผงละเอียด จึงเรียกว่า “สีฝุ่น” จากนั้นเมื่อต้องการใช้ ช่างเขียนต้องผสมสีฝุ่นเข้ากับกาว ซึ่งได้จากยางไม้หรือหนังสัตว์ และน้ำ แล้วนำไปเขียนบนฝาผนังที่ฉาบปูนขัดเรียบ อันต้องมีกรรมวิธีการเตรียมผนังปูนให้เหมาะสำหรับการเขียนภาพล่วงหน้าด้วย บาแห่งหากมีทุนทรัพย์เพียงพอยังมักนิยมปิดทองคำเปลวลงไปบนภาพเขียนด้วย บนผิวเนื้อพระพุทธองค์ เครื่องทรงของชนชั้นสูง รวมถึงส่วนที่เป็น “เครื่องบน” ของภาพอาคาร อันได้แก่ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ตามอย่างของจริง

วัตถุประสงค์หลักของการเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพุทธสถานย่อมเป็นการสื่อสารเนื้อความในพระพุทธศาสนา เช่น “ไตรภูมิ” หรือคติจักรวาล ชาดก และพุทธประวัติ

ตามทัศนะที่แพร่หลายทั่วไป จิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนเป็น “ภาพประกอบ” สร้างเสริมจินตภาพให้แก่สังคมที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้หนังสือ ให้ได้มีโอกาสซาบซึ้งดื่มด่ำกับเนื้อหาของนิทานชาดกและพุทธประวัติที่เคยได้สดับรับฟังมาจากพระธรรมเทศนาของพระภิกษุสงฆ์ ดังเช่นที่อาจารย์ชมพูนุท พงษ์ประยูร เคยอธิบายในหนังสือ “จิตรกรรมและภาพลายเส้นในประเทศไทย” (2515) ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถวิหารมีไว้เพื่อให้ “ผู้ที่เคยฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เมื่อได้ชมภาพเหล่านี้ตามที่เคยได้ฟังมาก็จะยิ่งทำให้คำสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องราวในพุทธศาสนาติดตา และประทับในดวงใจอย่างมิรู้ลืม”

หรือข้อสรุปของอาจารย์สุรศักดิ์ เจริญวงศ์ ในบทความ “จิตรกรรมฝาผนังไทยในฝั่งธนบุรี” (2526) ที่กล่าวอย่างมีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ว่า

“ศิลปกรรมทั้งหมดที่กล่าวมาจะร่วมกันโน้มน้าวจิตใจให้สงบเกิดความสำรวมและนำจิตให้เป็นสมาธิ เหมือนปลีกตนไปจากโลกแห่งความเป็นจริงอันสับสนวุ่นวายภายนอก โดยเฉพาะงานจิตรกรรมจะน้อมนำชักจูงให้ผู้ชมที่เลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสอนทางศาสนาอยู่แล้ว เมื่อชมภาพที่เคยได้ยินได้ฟังกระจ่างชัดขึ้นจนติดตาและประทับใจนำไปถือปฏิบัติ เพื่อพาตัวให้หลุดพ้นจากกระแสกิเลสที่มีอยู่ในตน”

ทว่าชาวบ้านจริงๆ ในอดีตจะเคยได้เดินดูภาพวาดเหล่านี้บ้างหรือไม่ หรือดูแล้วจะเข้าใจความหมายของจิตรกรรมฝาผนังเพียงใด เป็นสิ่งที่เรามิอาจประเมินได้

มีตัวอย่างกรณีร่วมสมัยที่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทสาขามานุษยวิทยา ของแสงอรุณ กนกพงศ์ชัย เรื่อง “คติความเชื่อเรื่องมหาชาติชาดก: การเปลี่ยนแปลงและการสืบเนื่องสะท้อนจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง กรณีศึกษาเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม คลองบางกอกน้อย” (มหาวิทยาลัยศิลปากร 2532) อาจารย์แสงอรุณพบว่าชาวบ้านในชุมชนย่านวัดสุวรรณาราม ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอันมีชื่อเสียง เมื่อเข้ามานั่งฟังพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ก็ “มิได้สนใจหรือมีอาการที่จะใช้สายตาดูภาพเขียน แม้การเพ่งพิศเล็กน้อย หรือการพิจารณาอย่างเนิ่นนาน”

ครั้นเมื่อลองตั้งคำถามว่าภาพวาดในพระอุโบสถเป็นเรื่องอะไร ปรากฏว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้ มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่าเป็นเรื่องเวสสันดรชาดก ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่รู้ก็เพราะ “เห็นว่ามีนักศึกษา นักเรียนทางศิลปะมาขอลอกลายเส้นภายในพระอุโบสถอยู่เนืองๆ จึงเกิดความสนใจบ้าง และตามเข้าไปดู ได้สนทนาไต่ถามนักเรียน นักศึกษาเหล่านี้ จึงทราบว่าเป็นเรื่องเวสสันดร”

นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายรายที่ตอบว่าจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถเป็นภาพ “รามเกียรติ์” ซึ่งอาจารย์แสงอรุณสันนิษฐานว่าคงมีที่มาจากสาเหตุสำคัญสองประการ อย่างแรกคือความมีชื่อเสียงของจิตรกรรมฝาผนัง “รามเกียรติ์” ที่พระระเบียง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำให้คนพลอยเข้าใจกันว่าจิตรกรรมฝาผนังต้องวาดเป็นเรื่อง “รามเกียรติ์” เสมอ กับอีกสาเหตุหนึ่ง คงเพราะเคยเห็นว่ามีภาพยักษ์ปะปนอยู่ในกองทัพมารของฉากมารผจญ ผนังด้านตรงข้ามพระประธาน จึงเข้าใจว่าถ้ามีภาพยักษ์ย่อมต้องเป็นเรื่อง “รามเกียรติ์”