ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่องและภาพ

สภารับหลักการร่างกฎหมาย PRTR วาระแรก
เกือบทุกครั้งที่เกิดปัญหาสารมลพิษรั่วไหล ยากที่จะชี้ชัดถึงปริมาณสารมลพิษที่ถูกปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม ในภาพ—หลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ย่านกิ่งแก้วเมื่อปี 2564 (ภาพ : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล)

“กฎหมาย PRTR เป็น win-win law ของทุกฝ่าย คนที่ได้ประโยชน์มีทั้งประชาชน นักวิจัย นักลงทุนที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลมลพิษ ส่งเสริมให้ภาครัฐรับมือและวางแผนจัดการด้านมลพิษได้ดีขึ้น”

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวหลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ… หรือ ร่าง พ.ร.บ. PRTR วาระที่หนึ่ง

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ในขณะที่คนส่วนใหญ่สนใจเรื่องการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ช่วงเช้าวันเดียวกันได้มีการลงมติร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมมากที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศไทย

หลายปีที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงาน สารเคมีรั่วไหล โรงงานปลดปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำและอากาศ ท่อก๊าซระเบิดและน้ำมันรั่วลงทะเลบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต มีผู้บาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต

เป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายคุ้มครองชีวิตคนและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานต่าง ๆ มีความรับผิดชอบต่อประชาชนมากกว่านี้…

2025prtr02
หากฐานข้อมูลสารมลพิษเป็นสาธารณะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุดมากขึ้น (ภาพ : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล)

นี่คือที่มาของความพยายามผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้ามากที่สุดฉบับหนึ่ง ที่จะกำหนดให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน เจ้าของกิจการโรงงาน ต้องรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับการครอบครองสารมลพิษ เป็นกฎหมายที่หลายประเทศทั่วโลกบังคับใช้ เรียกย่อ ๆ กันทั่วไปว่ากฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Registers)

ร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ… หรือ ร่าง พ.ร.บ. PRTR กำหนดให้ “แหล่งกำเนิดมลพิษ” หมายถึง โรงงานอุตสาหกรรม อาคาร สิ่งก่อสร้าง สถานที่ประกอบกิจการ ยานพาหนะ ฯลฯ ต้องรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยหรือเคลื่อนย้ายมลพิษให้สาธารณชนรับทราบ จะทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับชนิดหรือปริมาณสารเคมีและมลพิษต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐ เอกชน ประชาชน สามารถใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวติดตามและประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับมลพิษในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อควบคุมและแก้ปัญหาได้อย่างมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ

เพ็ญโฉมในฐานะตัวแทนองค์กรภาคประชาชนที่เรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษมานานอธิบายว่าถ้ามีกฎหมาย PRTR แหล่งกำเนิดมลพิษต่าง ๆ ต้องรายงานต่อกรมควบคุมมลพิษว่าตนครอบครองสารมลพิษชนิดใด ปลดปล่อยมลพิษเท่าไหร่ มีการเคลื่อนย้ายสารมลพิษอย่างไร ไม่ว่าฝุ่นควัน น้ำเสีย ขยะอุตสาหกรรม ตามบัญชีรายชื่อสารมลพิษที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด ขณะเดียวกันกรมควบคุมมลพิษก็ต้องเปิดเผยรายละเอียดของสารมลพิษให้ประชาชนทราบ สามารถเข้าถึงและร่วมตรวจสอบได้

ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้ว่าโรงงาน เหมืองแร่ ที่ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่ภายในชุมชนมีสารมลพิษชนิดใด ปล่อยมลพิษอะไรออกสู่สิ่งแวดล้อม เมื่อสามารถตรวจสอบได้ชุมชนก็สบายใจ ภาคอุตสาหกรรมที่ทำถูกต้องในเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกลั่นแกล้งหรือใส่ร้ายหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำมันรั่ว โรงงานระเบิด ฯลฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถจัดการปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด เพราะรู้ชนิดและปริมาณสารมลพิษทั้งหมดในที่เกิดเหตุ สามารถจัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมกับสารเคมี ยับยั้งเหตุการณ์หรืออย่างน้อยก็ออกคำเตือนต่อประชาชนบริเวณโดยรอบได้อย่างเหมาะสม

2025prtr03
วันที่ 3 กันยายน 2568 องค์กรภาคประชาสังคมโพสต์ภาพและข้อความแสดงความผิดหวังหลังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในห้องไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ไม่อาจลงมติได้ (ภาพ : มูลนิธิบูรณนิเวศ)

กฎหมาย PRTR นอกจากจะทำให้เกิดฐานข้อมูลมลพิษระดับประเทศแล้ว ฐานข้อมูลนี้ยังมีลักษณะเป็น “open data” หากกฎหมายผ่านการพิจารณาถึงขั้นประกาศบังคับใช้ ข้อมูลมลพิษที่เคยถูกเก็บงำซ้อนเร้นเป็นความลับจะกลายเป็นข้อมูลสาธารณะที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้

การเรียกร้องและผลักดันให้สภาผ่านร่างกฎหมาย PRTR เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างต้นปี 2563 พรรคก้าวไกลเคยยื่นร่างกฎหมาย PRTR แต่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน สำนักนายกรัฐมนตรีส่งหนังสือถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งผลการพิจารณาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้นว่ามีบัญชาการไม่รับรองร่างกฎหมายนี้

ล่าสุด การผลักดันกฎหมาย PRTR เกิดขึ้นหลังภาคประชาชนนำโดยมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นรายชื่อประชาชนจำนวน 12,165 รายชื่อ เพื่อเสนอ ร่าง พ.ร.บ. PRTR เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 การดำเนินการยกร่างกฎหมายเกิดจากประสบการณ์การทำงานด้านมลพิษยาวนาน รวมทั้งมีการนำเสนอและทำความเข้าใจกับประชาชนและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง

อีกราวครึ่งปีต่อมาคือวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรจึงรับหลักการร่างกฎหมาย PRTR วาระที่หนึ่ง อันเป็นขั้นรับหลักการ จากจำนวนผู้ลงมติ 442 คน มีผู้เห็นด้วย 434 คน งดออกเสียง 4 คน ไม่ลงคะแนนเสียง 4 คน

2025prtr04
สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับร่างกฎหมาย PRTR วาระที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 (ภาพ : มูลนิธิบูรณนิเวศ)

หากย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างอดเป็นห่วงและวิตกกังวลไม่ได้ ด้วยเกรงว่าจะยังไม่ใช่เวลาของกฎหมาย PRTR สำหรับประเทศไทย

เพราะแม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะอภิปรายหนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ ตัวแทนผู้เสนอร่างกฎหมายทั้งในส่วนของภาคประชาชนและพรรคประชาชนนำเสนอประเด็นครอบคลุมตั้งแต่ความสำคัญของกฎหมาย พัฒนาการความเป็นมา จนถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับภาคส่วนต่างๆ หากสังคมไทยมีกฎหมายนี้บังคับใช้ อีกทั้ง สส.จำนวนมากกว่า 10 คน จากพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ผลัดกันอภิปรายสนับสนุนอย่างแข็งขัน แต่เนื่องจากเมื่อถึงขั้นตอนของการลงมติเพื่อรับร่างกฎหมายกลับพบว่าจำนวน สส. ซึ่งอยู่ในที่ประชุมมีไม่เพียงพอ มีเพียง สส. พรรคประชาชนที่ยังคงอยู่ในที่ประชุมค่อนข้างครบ ขณะที่ สส. พรรคอื่นๆ คงอยู่เพียงในจำนวนที่ครบองค์เท่านั้น ส่วน สส. ที่แทบไม่อยู่ในห้องเลยคือพรรคภูมิใจไทย

สส. หลายคนเสนอให้รอจนกว่าสมาชิกจะกลับมาสมทบจนเพียงพอ เนื่องจากเป็นกฎหมายสำคัญที่เสนอโดยภาคประชาชน แต่ก็มีบางส่วนเสนอให้เลื่อนการโหวตไปเป็นวันที่ 5 กันยายน 2568

ในที่สุดประธานได้สั่งปิดการประชุมโดยยังไม่ทันได้มีการโหวตว่าจะรับร่างกฎหมาย PRTR หรือไม่ ทำให้ต้องรอลุ้นใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า

ก่อนที่สภาจะรับหลักการร่างกฎหมาย PRTR วาระที่หนึ่งในที่สุด

. เพ็ญโฉมให้ความเห็นว่านี่ถือเป็นชัยชนะก้าวแรกของประชาชน และก้าวสำคัญของการมีสิทธิที่จะได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ขอขอบคุณประชาชนที่ร่วมเรียกร้องร่าง พ.ร.บ. PRTR เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลมลพิษที่เข้าถึงได้ และสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ตรงจุด

แต่การรอคอยกฎหมายฉบับนี้ยังไม่สิ้นสุด หลังผ่านวาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ ลำดับถัดไปจะมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 39 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยใช้ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยพรรคประชาชนเป็นผู้เสนอเป็นหลักในการพิจารณาวาระที่สองซึ่งเป็นขั้นพิจารณารายมาตรา จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาเนื้อหาสาระในรายละเอียด แล้วนำเสนอสู่การพิจารณาวาระที่สาม ซึ่งเป็นขั้นลงมติทั้งฉบับ

หากเชื่อว่าข้อมูลคือพลัง การมีกฎหมาย PRTR จะทำให้ทุกฝ่ายรู้แหล่งที่มา ชนิด และปริมาณสารเคมี ช่วยให้รัฐกำกับและควบคุมการปลดปล่อยมลพิษ สารก่อมะเร็งจากแหล่งต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหามลพิษได้อย่างตรงจุด เพื่อทวงคืนและปกป้องสิทธิการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี