รุอร พรหมประสิทธิ์ : เรื่อง
ธีรเมธ เชิดวงศ์ตระกูล : ภาพ

จากมะละแหม่งถึงสังขละบุรี มีเพียงแป้งทานาคาที่บอกว่า ‘พวกเขา’ ยังอยู่
เรื่องราวของสิ่งเล็ก ๆ บนใบหน้า สัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ในพื้นที่สามประสบ ดินแดนแห่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์

[1]

จงอยู่ในโลกนี้ราวกับว่าท่านเป็นคนแปลกหน้า หรือผู้เดินทางเถิด”

คำสอนจาก อิบนุ อุมัร ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา สหายของศาสดาในศาสนาอิสลาม ที่ฉันพบเจอโดยบังเอิญ แต่กลับติดในใจอยู่นาน

มนุษย์เราจะใช้ชีวิตเสมือน ‘ผู้มาเยือน’ ได้อย่างไร หากเกิด เติบโต และผูกพันกับที่ใดที่หนึ่งมาตลอดชีวิต

คำถามนี้ค้างคาในใจ จนกระทั่งฉันได้เดินทางไปยังอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่แห่งพหุวัฒนธรรมที่ผสมผสานวิถีชีวิตชาวมอญ กะเหรี่ยง และพม่าอย่างผสมกลมเกลียว ใครหลายคนอาจคุ้นชินกับภาพสะพานมอญ ซึ่งเป็นสะพานไม้ทอดยาวผ่านแม่น้ำซองกาเลีย หรือเหล่าเด็กเทินหม้อที่แม้จะตัวเล็กแต่ก็วางหม้อบนศีรษะได้อย่างน่าทึ่ง หรือการล่องเรือชมวัดจมน้ำบริเวณสามประสบใกล้วัดวังก์วิเวการาม หากใครมาช่วงวันพระใหญ่ ก็อาจได้พบเจอบรรยากาศอันยิ่งใหญ่จากเจดีย์พุทธคยาที่เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ

แต่ไม่ไกลจากภาพคุ้นตาเหล่านี้ ห่างจากตลาดสดยามเช้าไม่กี่ร้อยเมตร ฉันพบกับมัสยิดฎียาอุ้ลอิสลาม มัสยิดหลังเล็กที่เต็มไปด้วยเด็กมุสลิมราว 30 คนในชุดฮิญาบหลากสี พวกเขาหัวเราะ เรียนรู้ และใช้ชีวิตในพื้นที่สุเหร่าแห่งนั้น

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบอันเหนือความคาดหมาย แป้งสีขาวเหลืองซึ่งกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญตลอดทั้งวัน

tanaka02
มุสลิมเชื้อสายพม่าถือเป็นกลุ่มคนชายขอบในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี เนื่องจากจำนวนประชากรที่น้อยกว่า และภาพจำของคนภายนอกว่าเป็นพื้นที่ของชาวมอญและชาวกะเหรี่ยง
tanaka03
“เด็กนักเรียนที่นี่ล้วนมาจากครอบครัวชาวพม่าที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทย พ่อแม่เป็นชาวพม่าทั้งหมด” อาจารย์อาลิ ครูสอนศาสนาประจำมัสยิดในชุมชนสังขละบุรี กล่าวถึงชาวมุสลิมในพื้นที่ความหลากหลายแห่งนี้

[2]

ภายในมัสยิดเด็กทั้งชายหญิงนั่งเรียงกันเป็นกลุ่ม หากกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ก็อาจไม่รู้ว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรือไม่ และแบ่งเขตที่นั่งเป็นกลุ่มเพื่ออะไร

“ทำไมพี่ขาวจัง” เด็กหญิงตัวเล็กผิวเข้มคนหนึ่งเอ่ยทักทายฉัน เธอจ้องด้วยสายตาเป็นประกายระคนสงสัย ก่อนเด็กกลุ่มใหญ่จะวิ่งเข้าหาคนแปลกหน้าอย่างฉันจนเกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าว แม้เด็กแต่ละคนหน้าตาแตกต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมที่เห็นได้ชัดคือผิวสีเข้ม ตากลมโต รูปร่างผอมบาง ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยพลังอันล้นเหลือ

“พี่ใช้ครีมอะไร ทำไมพี่ขาว” เด็กหญิงคนเดิมถามซ้ำ ก่อนฉันจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่าไม่ได้ทาอะไรเลย ที่ผิวขาวอาจเพราะมีเชื้อสายจีน

“แต่ว่าพี่อยากได้ผิวแบบนี้มากกว่านะ” ฉันชี้ที่แขนเด็ก ๆ

“มันดูเหมือนคนอื่นดี” ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันตอบไปแบบนั้น

เด็กหญิงยิ้มกว้าง แล้วพูดติดตลกกลับมาว่า “หนูคงไม่มีวันขาว” ก่อนที่เด็กอีกนับสิบชีวิตจะเอาแขนมาทาบกับแขนของฉันเพื่อเทียบสีผิว ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจฉันกลับเห็นเด็กอีกคนปะแป้งสีขาวอมเหลืองเป็นวงกลมใหญ่ข้างแก้มไว้อย่างลวกๆ แล้วนึกขึ้นได้ว่านั่นคือแป้งทานาคาที่เคยเห็นในแผ่นพับประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวสังขละบุรีที่สะพานมอญ

ถือเป็นสิ่งที่ต่างจากภาพจำของฉัน

ทั้งภาพจำที่ว่า คนมุสลิมห้ามทาเครื่องสำอางและเครื่องประทินผิว

และภาพจำที่ว่า ‘สังขละบุรี’ คือ ‘พื้นที่’ ของคนมอญ

tanaka04
ในความแตกต่างของความศรัทธา เรากลับเห็นสิ่งหนึ่งเชื่อมโยงผู้คนไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่ถ้อยคำหรือชุดภาษา และหาใช่เครื่องแต่งกาย แต่เป็นสัญลักษณ์ลวดลายที่ปะแต่งไว้บนใบหน้า (ครอบครัวของอาจารย์อาลิและน้องดาเป็นชาวพม่าที่เข้ามาตั้งหลักปักถิ่นฐานในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว)
tanaka05
น้องดา (ซาอิดะห์) ลูกสาวของอาจารย์อาลิ เล่าว่า “หนูทาแป้งเป็นปรกติอยู่แล้ว เวลาไปโรงเรียนหรือมัสยิดก็จะทาบ้างในบางครั้ง แต่หากเป็นตอนละหมาด จำเป็นต้องทำร่างกายให้สะอาด จะได้ไม่ขัดต่อหลักบัญญัติทางศาสนา”

[3]

“ทำไมถึงชอบคุยกันเรื่องสีผิวกันนักล่ะ” ฉันเอ่ยถามเด็ก ๆ อย่างอดสงสัยไม่ได้

“ก็หนูอยากผิวขาวนี่นา” เด็กหญิงคนเดิมยืนยัน

“จริง ๆ หนูก็ชอบผิวดำนะ แต่เพื่อนผู้ชายที่โรงเรียนไทยชอบล้อว่าไอ้ดำ เลยไม่อยากดำแล้ว” เด็กหญิงอีกคนช่วยตอบเสริม

“หนูได้แต่หวังว่า โตมาเดี๋ยวก็ขาวเอง” เด็กที่ทาแป้งทานาคาพูด

สำหรับพวกเขาแล้วแป้งทานาคาคือเครื่องประทินผิวสามัญประจำบ้านที่คุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้ แม้บางครั้งอาจจะชอบแป้งเด็กยี่ห้อดังหรือแป้งเย็นมากกว่า

เช่นเดียวกับครอบครัวอาลิ โต๊ะครูของมัสยิดแห่งนี้ เธอเล่าว่า แป้งทานาคาเป็นตัวแทนของความเป็น ‘คนพม่า’ แม้ตอนนี้จะพลัดพรากจากถิ่นกำเนิด แต่แป้งสีขาวนวลนี้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เธอและชาวพม่าอีกหลายครัวเรือนใช้มาจนถึงทุกวันนี้

แป้งทานาคาคือเครื่องประทินผิวโบราณที่ฝังรากลึกในวิถีชีวิตลุ่มน้ำอิรวดี ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ในเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นมอญ พม่า กะเหรี่ยง ทวาย ไทใหญ่ ว้า ชิน หรือคะฉิ่น ต่างนิยมใช้ทาใบหน้า โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่น ซึ่งไม่ได้มีเพียงประโยชน์ด้านการบำรุงผิวพรรณ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ความงามเชิงศิลปะ

“แป้งนี้ทำมาจากเปลือกของต้นทานาคาบดละเอียดจนเป็นผง นำมาปรุงแต่งให้เกิดความหอมด้วยกลิ่นหอมชนิดต่าง ๆ” อาลิอธิบาย

ครอบครัวของอาลิประกอบด้วยไหพิด ติดาขิน และเด็กหญิงซาอิดะห์ ทั้งหมดเป็นคนพม่าที่อพยพเข้ามาอาศัยที่ประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว อาลิและไหพิดพบกันที่อำเภอสังขละบุรีก่อนจะมาลงหลักปักฐานประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่นี่ บางเวลาก็ขับรถสองแถวรับ-ส่งคนไปด่านเจดีย์สามองค์ ภายหลังไหพิดป่วยเป็นอัมพาตครึ่งซีก อาลิจึงต้องมาเป็นโต๊ะครูที่มัสยิดใกล้บ้าน

ไหพิดเล่าว่า ชาวพม่าส่วนใหญ่ในอำเภอสังขละบุรีย้ายมาจากเมืองมะละแหม่ง รัฐมอญในประเทศพม่า เพราะเมื่อราว 40-50 ปีก่อนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ส่งผลให้ชาวพม่าจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานมาปักหลักที่นี่

เมื่อฉันถามว่าเหตุใดจึงไม่ไปอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดเชียงราย พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เพราะมันไม่สงบ” จากการสู้รบของรัฐบาลเมียนมากับกองกำลังชาติพันธุ์ที่ปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง

“ศาสนาอิสลามให้ทาแป้งนี้ได้หรือคะ” ฉันเอ่ยถามด้วยความใสซื่อ

“ได้สิ มันทำจากไม้ ไม่มีน้ำมันจากเนื้อสัตว์ที่เป็นส่วนผสมต้องห้ามของศาสนา” ไหพิดไขข้อข้องใจ

แม้ในประวัติศาสตร์อาจไม่ระบุชัดเจนว่าผู้ริเริ่มใช้แป้งทานาคานั้นคือชาวมอญ พม่า หรือพยู แต่ความเชื่อที่ส่งต่อกันมาในหลากหลายชาติพันธุ์ก็มีว่า

หากทายามเช้าจะช่วยกันแดด หากทายามเย็นจะช่วยให้นอนหลับสบาย

ทาได้ทั้งคนผิวมัน ผิวแห้ง

ผู้หญิงทาดี ผู้ชายก็ทาได้

หาซื้อสำเร็จรูปได้ตามท้องตลาด แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยทำเองจากธรรมชาติ

ไม่ใช่เครื่องประดับเพื่อความงาม ไม่ใช่แฟชั่น แต่คือสิ่งสำคัญที่สะท้อนถึง ‘วิถีชีวิต’ ของพวกเขา

tanaka06
วงกลมบนแผ่นหินที่ใช้ละลายแป้งผสมน้ำ กำลังบอกเล่าเรื่องราวการอยู่ร่วมกันของผู้คนต่างศาสนาและชาติพันธุ์ ในพื้นที่ชายขอบบริเวณแนวชายแดน อย่างไม่แปลกแยกและแตกต่าง เนื้อแป้งคอยเชื่อมรอยต่อทางความเชื่อ ความศรัทธา และเอกลักษณ์จากบ้านเกิดเมืองนอนของผู้คนในชุมชนเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

[4]

ไหพิดให้ฉันลองทาแป้งทานาคา มือของเธอแตะแป้งขึ้นมาป้ายตรงแก้มของฉันอย่างบรรจง แล้วแต้มที่หน้าผาก คาง จมูก และแก้มอีกข้าง ทุกสัมผัสนั้นราวกับกำลังถ่ายทอดความเชื่อผ่านปลายนิ้วเพื่อบอกถึงตัวตนของพวกเขาว่า แป้งทานาคาไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่ทั้งสัมผัสและรู้สึกได้จริง

มันอาจไม่ได้ผูกติดอยู่กับสิ่งใดเพียงแค่สิ่งหนึ่ง แต่ประกอบขึ้นจากหลายสิ่ง หลายเสียง หลายความหมาย

นี่คือเรื่องราวของกลุ่ม ‘คนที่ยังไม่มีใครมองเห็น’ ในอำเภอสังขละบุรี ซึ่งไม่ใช่แค่ชาวมอญพุทธในภาพจำของนักท่องเที่ยว แต่เมืองนี้ยังมีพวกเขา ชาวพม่ามุสลิมไร้สัญชาติ ที่แม้จะมีผืนแผ่นดินให้อยู่โดยไม่ต้องหนีภัยสงคราม แต่กลับยังไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเท่ากับคนไทย สาเหตุที่ไม่กล่าวถึงนามสกุลของบุคคลในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะฉันละเลย แต่เพราะพวกเขายังคง ‘ไร้นามสกุล’ แม้ลูกหลานเด็กรุ่นใหม่จะเข้าโรงเรียนไทย แต่บางคนกลับถูกจำกัดสิทธิไม่ให้สวมฮิญาบ หรือแม้แต่การละหมาดก็ยังทำได้ยาก เพราะไม่มีสถานที่เอื้อเฟื้อให้แก่ความเชื่อทางศาสนา

tanaka07
จากรอยแป้งบนแผ่นหินสู่ใบหน้าของผู้นับถือต่างศาสนาผ่านปลายนิ้วมือ เชื่อมโยงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมถึงกัน ปะติดเชื่อมรอยต่อความแตกต่าง
tanaka08
ในพื้นที่ซึ่งเสียงระฆังวัดไม่ได้ดังไปกว่าเสียงอาซาน เสียงละหมาดไม่กังวานไปกว่าเสียงบทสวดมนต์ในโบสถ์ ทุกเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว บนพื้นที่แห่งความหลากหลาย ดินแดนสามประสบ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

[5]

“หนูไม่เคยมาที่สะพานมอญเลยค่ะ” เด็กหญิงไอชาพูดด้วยแววตาตื่นเต้น

“ผมก็เพิ่งรู้ว่าแถวนี้มีแม่น้ำที่ใหญ่ขนาดนี้” เด็กชายอัสบาเสริม

ทั้งคู่เป็นพี่น้องจากมัสยิดฎียาอุ้ลอิสลามที่เราชวนมาถ่ายรูปด้วยกัน วันนั้นเป็นวันเข้าพรรษา มีการตักบาตรใหญ่ นักท่องเที่ยวจึงแต่งกายด้วยเสื้อสีขาว กางเกงสีแดงตามแบบฉบับมอญ แต่สองพี่น้องคู่นี้แตกต่างออกไป ไอชามาในชุดฮิญาบสีชมพูคู่ใจ ส่วนอัสบามาในชุดโต๊ปสีน้ำตาลเข้ม

ท่ามกลางผู้คนที่ปะแป้งทานาคาเหมือนกัน แต่ชาวมุสลิมกลับถูกทำให้รู้สึกแตกต่างและกลายเป็นคนนอก ในดินแดนซึ่งคนเมืองอาจมองว่าเป็นที่ของคนชายขอบ กลับมีคนอีกกลุ่มที่เป็นชายขอบยิ่งกว่า

สำหรับคนไร้สัญชาติในอำเภอสังขละบุรี แป้งทานาคาจึงไม่ใช่เพียงเครื่องประทินผิว แต่คือ ‘หลักฐาน’ ว่าพวกเขายังมีตัวตน มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แม้จะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่มีสิทธิ และไม่มีเสียงในรัฐที่พวกเขาเติบโตมา

ตามความเชื่อในอัลกุรอาน คนเรามักใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ราวกับเป็นทาสรับใช้นาย เราทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตราวกับมาทำธุระในต่างแดนตามที่ได้รับมอบหมาย ก่อนจะกลับสู่จุดเดิมอันเป็นถิ่นที่อยู่เก่า โดยเราต่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง

คำสอนนี้สะท้อนถึงการขอให้ใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้จะไม่ใช่ที่พักพิงตลอดกาล หากอยากทำอะไรก็ให้ลงมือทำเสียราวกับว่าเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ควรฉกฉวยเอาไว้เมื่อยังมีเวลา

จงอยู่ในโลกนี้ราวกับว่าท่านเป็นคนแปลกหน้า หรือผู้เดินทางเถิด”

คำสอนนี้บอกให้เราอย่ายึดเอาโลกนี้เป็นที่อยู่ถาวร ขอให้ถือเป็นเพียงแค่ทางผ่านไปยังอาคิเราะห์ (โลกหน้า) ดังนั้นจึงไม่ควรติดใจเอาความกับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ เพราะไม่จีรัง

“มนุษย์เราจะใช้ชีวิตเสมือน ‘ผู้มาเยือน’ ได้อย่างไร หากเกิด เติบโต และผูกพันกับที่ใดที่หนึ่งมาตลอดชีวิต”

ตอนนี้ฉันได้คำตอบแล้ว เพราะสำหรับบางคน การเป็น ‘ผู้มาเยือน’ คือความจริงที่ต้องเผชิญในทุกย่างก้าวของชีวิต แม้จะเกิดและเติบโตที่นี่ แต่พวกเขากลับยังคงรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อสิทธิและตัวตนในผืนแผ่นดินที่เรียกได้ไม่เต็มปากว่าบ้าน

อ้างอิง
องค์ บรรจุน. (15 เมษายน 2567). ทานาคา เครื่องประทินผิวชาวลุ่มอิรวดี. ศิลปวัฒนธรรม. https://www.silpa-mag.com/culture/article_17647
มุฮฺซิน. (2558). โลกนี้เป็นเพียงทางผ่าน. The Islamic Foundation. https://www.islammore.com/view/1058