“สาส์นสมเด็จ” เป็นหนังสือชุดใหญ่ที่รวบรวมจากลายพระหัตถ์ “จดหมายเวร” รายสัปดาห์ ที่สองพี่น้อง คือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (2406-2490) และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2405-2485) ทรงเขียนไปมาหากัน เนื้อหาส่วนใหญ่ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 2475-2486

ใน “สาส์นสมเด็จ” มักมีเนื้อหาอันเนื่องด้วยเรื่องงานช่างกับนายช่างยุคเก่าปะปนอยู่มาก คงเพราะเป็นความสนพระทัยส่วนพระองค์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งมักทรงถวายความรู้ในเรื่องเหล่านี้แก่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอยู่เสมอ
ปลายเดือนกรกฎาคม 2484 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นประทับ “ลี้ภัยการเมือง” หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อยู่ที่เกาะปีนัง เขตอาณานิคมอังกฤษในแหลมมลายู ทรงมีลายพระหัตถ์กราบทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งยังประทับอยู่ในกรุงเทพฯ ตอนหนึ่งทรงเสนอแนวคิดว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนในวัดและในวังมาแต่โบราณ มีข้อแตกต่างกันตรงที่หากเป็นในวัดจะเขียนเรื่องทางศาสนา ส่วนในวังหรือในเรือนหลวง ใช้ภาพเขียนแทนการแขวนขึงม่าน จึงนิยมเขียนเหมือนเป็นลายผ้าม่าน
ในลายพระหัตถ์ตอบจากกรุงเทพฯ ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2484 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงแสดงทัศนะในฐานะผู้ใฝ่พระทัยในงานช่าง เริ่มต้นด้วยการแสดงความเห็นพ้องกับข้อเสนอของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก่อน “การเขียนฝาคิดว่ามาแต่ขึงม่านนั้นเอง” ทว่าทรงเห็นแย้งว่า แม้แต่ม่านที่แขวนในบ้านเรือนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลายผ้าเสมอไป โดยทรงยกตัวอย่างกลอนเสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ที่กล่าวถึงม่านฝีมือนางวันทองปัก อันแสดงให้เห็นว่าม่านที่ใช้แขวนกั้นห้องในบ้านเรือนแต่ก่อน มีที่ปักเป็นรูปภาพเรื่องราวต่างๆ ด้วย
ขยายความจากลายพระหัตถ์ข้างต้น “ขุนช้างขุนแผน” พรรณนาไว้ว่าม่านปักฝีมือนางวันทองนี้ มีถึงสามชั้น ได้แก่
ชั้นนอกปักเป็นภาพป่าหิมพานต์ “ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา” ชั้นกลาง ปักเป็นเรื่องพระลอ “เจ้าปักเป็นพระลอดิลกโลก ถึงกาหลงทรงโศกกำสรดสุด” ส่วนชั้นในสุด ปักเป็นเรื่องหลวิชัย-คาวี “ยืนพิศม่านน้องต้องติดใจ ฉลาดนักปักไว้เป็นคาวี”
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ยังทรงยกตัวอย่างถวายอีกว่าลายบนผืนผ้าม่านนั้นเอง ต่อมาจึงกลายเป็นต้นแบบให้แก่ภาพเขียนบนผนัง
“ความจริงการทำภาพเรื่องทีจะเป็นของคิดต่อมาทีหลัง ด้วยสังเกตภาพเรื่องของเก่านั้นวางท่าเป็นลายเป็นดอกเป็นแย่ง ทีหลังจึงกลายเป็นของจริงไป ที่กราบทูลว่าเป็นลายนั้นยังมีเหลือที่จะทรงสังเกตได้ เช่นเทวดานั่งในวิมานเขาก็เขียนวิมานพอล้อมองค์เทวดา นั่นคือเขาทำวิมานให้เป็นลาย แต่คนภายหลังมาติว่าถ้าเทวดายืนขึ้นหัวก็ทิ่มวิมาน คือนั่นคิดเอาวิมานเป็นเรือน ซึ่งผิดทางกันกับโบราณเขาคิดเอาวิมานเป็นลาย”
อีกทั้งยังทรงยกตัวอย่างเพิ่มเติมอีกว่า แม้แต่การเขียนในวัดก็ยังมีตัวอย่างของเก่าที่ทำให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นภาพเรื่อง “พระเจ้า” (คำไทยเก่า เดิมใช้หมายถึงเฉพาะพระพุทธเจ้า) เสมอไป เช่นที่วัดยมกรุงเก่า คือที่พระนครศรีอยุธยา
จิตรกรรมฝาผนังวัดยมที่ทรงกล่าวถึง เคยมีอยู่ในอุโบสถ เชื่อกันว่าเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นภาพริ้วกระบวนถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ทว่าด้วยเหตุที่หลังคาอุโบสถชำรุด น้ำฝนจึงรั่วลงมาชะล้างภาพไปหลายส่วน แต่ก็ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) จึงจัดการให้ช่างเขียนสองคน คือพันเที่ยง กำนันตำบลหอรัตนไชย กับนายแข คัดลอกลงสมุดไทยไว้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2440
ส่วนภาพจิตรกรรมต้นฉบับบนฝาผนังอุโบสถวัดยมนั้น แม้ยอมรับนับถือกันว่ามีความสำคัญ แต่กลับไม่มีผู้ใดนำพาใส่ใจจริงจัง สุดท้ายก็หลุดล่อนสูญหายไปจนหมดสิ้น

