ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่องและภาพ

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ โดยมีเครือข่ายฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์และประชาชนในพื้นที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
การลงพื้นที่ของ กสม. สืบเนื่องมาจากเครือข่ายประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 เพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าของภาคเอกชนที่อาจทำให้เกิดการละเมิดสิทธิชุมชนและสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำลายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตในพื้นที่ ขัดกับหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ดำเนินการโดยบริษัทบูรพาพาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เดิมคือโครงการโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อนซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ปัจจุบันถูกตั้งคำถามอย่างน้อย 2 ประเด็น คือ การเปลี่ยนจากถ่านหินมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดแอลเอ็นจี (LNG – Liquefied Natural Gas) หรือก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง จะก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสารมลพิษต่างๆ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ฝุ่น PM10 และ PM2.5 มากเพียงใด สารมลพิษข้างต้นล้วนเป็นอันตราย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็ง หอบหืด ที่สำคัญคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรือไม่


แอลเอ็นจี หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลว เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกแปรสภาพจากสถานะก๊าซให้เป็นของเหลวด้วยการลดอุณหภูมิลงจนเหลือประมาณ -160 องศาเซลเซียส ทำให้ปริมาตรลดลงประมาณ 600 เท่า สะดวกในการจัดเก็บและขนส่งทางไกล เมื่อจะใช้งานจึงทำให้ร้อนเปลี่ยนสถานะกลับเป็นก๊าซ
ข้อมูลจากกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า เครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดฉะเชิงเทรา ขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมระบุว่า
“การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผา ทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) จะส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อพืช ใบไหม้ และอาจทำให้อ่อนแอต่อโรค ในขณะที่ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ก็มีผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรได้หลายด้าน ทั้งทำลายเนื้อเยื่อพืช ทำให้เกิดความเสียหายต่อใบและลดการสังเคราะห์แสง และในระยะยาวอาจส่งผลให้ผลผลิตลดลง”
คำถามสำคัญอีกข้อของเครือข่ายประชาชน คือ ความจำเป็นในเชิงพลังงาน
ปัจจุบันปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกอยู่ที่ 7,519 เมกะวัตต์ ขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้ามีถึง 14,917.54 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าเกือบสองเท่า ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้ไฟฟ้าเพียง 670.08 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตได้สูงถึง 3,428 เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 5 เท่า ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าระบบไฟฟ้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัดล้นเกิน ทำให้การเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ไม่น่าจะมีความจำเป็น
เช่นเดียวกับระดับประเทศ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตไฟฟ้าจึงมากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์
ที่ผ่านมาการสำรองไฟฟ้าของประเทศไทยล้นเกินมากเนื่องจากสร้างโรงไฟฟ้ามากเกินความจำเป็นใช่หรือไม่
“ที่ผ่านมาชุมชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการต่างสะท้อนว่าโครงการเหล่านี้ดำเนินไปโดยประชาชนในพื้นที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริง ทั้งที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำ ที่ดิน ฐานเศรษฐกิจชุมชนโดยเฉพาะด้านการเกษตร สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี และคุณภาพชีวิตในระยะยาว” กัญจน์ ทัตติยกุล เครือข่ายฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ กล่าว
“การลงพื้นที่ของ กสม. ครั้งนี้ เกิดจากคำร้องของพวกเรา ถือเป็นการใช้กลไกในประเทศที่ชุมชนใช้ได้ เพื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ลงพื้นที่จริงและรับรู้ข้อกังวลของชุมชนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม รัฐควรเปิดพื้นที่ให้เสียงของพวกเราผู้ที่ได้รับผลกระทบได้มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย”
หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เข้าพบ กัมปนาท ชูสุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะขนุน เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล


ปัจจุบัน ตำบลเกาะขนุน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา มีโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาด 105 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง รวมกำลังการผลิต 47.55 เมกะวัตต์ ทำให้เกิดความกังวลว่าหากมีการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลแห่งใหม่เพิ่มเติมในพื้นที่ อาจส่งผลกระทบซ้ำซ้อนต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต
อรรถพล พวงสกุล นักรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม กรีนพีซ ประเทศไทย ที่เข้าร่วมการกิจกรรมลงพื้นที่ของ กสม. ตั้งข้อสังเกตว่า “รายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ ของโครงการไม่ได้ครอบคลุมผลกระทบที่แท้จริงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการประเมินความเสี่ยงจากฝุ่นพิษ PM2.5 และบทบาทของไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ในการก่อให้เกิดฝุ่นพิษขั้นทุติยภูมิ ซึ่งจะสะสมในภาคตะวันออกที่เป็นเขตอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายระเบียงเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี กระบวนการรับฟังความคิดเห็นในอดีตเองก็ไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ทำให้รายงานอีไอเอฉบับนี้ล้าหลัง ไม่สอดคล้องกับหลักการตรวจสอบและประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน (Human rights and environmental due diligence) ที่ภาคธุรกิจควรปฏิบัติ การลงพื้นที่ของคณะกรรมการสิทธิครั้งนี้เป็นความหวังของชุมชนว่า สิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการจะได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง และเสียงของประชาชนที่เดือดร้อนจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน”
ขอขอบคุณ
- สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เอกสารประกอบการเขียน

