Click here to visit the Website

ผศ. ดร. ประไพศรี ศิริจักรวาล
สนับสนุน
ดื่มนมมีคุณ หรือ ดื่มนมมีโทษ
นพ. บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
คัดค้าน
ผศ. ดร. ประไพศรี ศิริจักรวาล
นักวิชาการด้าน โภชนาการ สถาบัน วิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัย มหิดล
ต่อจากหน้าที่แล้ว
ดื่มนมมีคุณ หรือดื่มนมมีโทษกันแน่ จึงเป็นประเด็น ที่ผู้บริโภค ยังกังขา และต้องการ ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อใช้พิจารณา ก่อนตัดสินใจ ดื่มนม

นพ. บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
นายแพทย์ และนักธรรมชาติบำบัด

....."คนไทยสมัยก่อน ไม่ได้ดื่มนม แต่ก็มี ร่างกายที่แข็งแรง เพราะกินพืชผัก และอาหารจาก ธรรมชาติ ที่มีคุณค่า ครบถ้วน ประกอบกับ ส่วนใหญ่ จะต้องทำงานออกแรง เพราะไม่มี เทคโนโลยีช่วย จึงช่วยให้ ร่างกาย นำแคลเซียม ไปใช้ได้ดี แต่ปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภค และวิถีชีวิต ของคนไทย เปลี่ยนไป เรากินอาหาร จากธรรมชาติ น้อยลง และทำงาน ออกกำลังกาย น้อยลง ร่างกาย จึงไม่สามารถ นำแคลเซียม ไปสร้างกระดูกได้ดี เหมือนคนสมัยก่อน เราจึงรณรงค์ ให้ดื่มนม ร่วมกับ การออกกำลังกาย เพราะนม เป็นแหล่ง แคลเซียม ที่ร่างกาย ดูดซึมไปใช้ได้ดี หาซื้อได้ไม่ยาก และราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับ อาหารเสริม ประเภทอื่น
....."เราอยากให้คนไทย เติบโต เต็มศักยภาพ คือมี โครงสร้างร่างกาย ที่แข็งแรง และสูงใหญ่ ร่างกาย ต้องการแคลเซียม และแร่ธาตุ ไปสร้างกระดูก เราเห็นบทเรียนจาก ประเทศญี่ปุ่น เมื่อก่อน เขาตัวเล็กๆ พอหลัง สงครามโลก รัฐบาลส่งเสริม ให้บริโภคนม มากขึ้น คนญี่ปุ่น ก็มี โครงสร้าง ร่างกาย สูงใหญ่ จนเห็นได้ชัด เด็กไทยปัจจุบัน ก็สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ตีความว่า รูปร่างสูงใหญ่ จะเก่ง หรือฉลาดกว่า คนรูปร่างเล็ก อันนี้ ต้องอยู่ที่ การพัฒนา และโอกาส ด้านการเรียนรู้ ของเด็กเหล่านี้
....."นมวัว เป็นแหล่งโปรตีน คุณภาพดี มีกรดอะมิโน ครบถ้วน ตามที่ร่างกาย ต้องการ โปรตีนในนมวัว แบ่งเป็น สองกลุ่ม คือ เคซีน (casein) เป็นโปรตีนหลัก มีประมาณ ๘๐% ของโปรตีนทั้งหมด และโปรตีนเวย์ (whey) มีประมาณ ๒๐% ในเด็กทารก ที่น้ำย่อย ยังไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ โปรตีน โมเลกุลใหญ่ ของนม ถูกดูดซึมไปได้ และอาจเกิดอาการ แพ้โปรตีนของนมวัว เช่น เป็นผื่นคัน ท้องเดิน อาเจียน หรือหอบ ดังนั้น เด็กทารก ควรดื่มนมแม่ ดีที่สุด อาการแพ้โปรตีน จะเกิดขึ้นใน เด็กทารก ช่วงหนึ่ง ถึงสองปีแรก เมื่อเด็กโตขึ้น ระบบน้ำย่อย เข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ ก็สามารถ ดื่มนมวัวได้ โดยไม่มีอาการแพ้
....."ส่วนอาการ แพ้น้ำตาลแล็กโตส หรือ Lactose intolerance เป็นเพราะคนเชีย ๘๐% ไม่มี เอมไซม์ ย่อยน้ำตาล แล็กโตส ในนม เมื่อดื่มนมเข้าไป จุลินทรีย์ ในทางเดินอาหาร จะนำน้ำตาลไปใช้ เกิดการสร้างกรด และแก๊ส ทำให้มีอาการ แน่นท้อง และท้องเดิน อาการเหล่านี้ ไม่เป็นอันตราย และจะหายไป ถ้าดื่มนมทีละน้อย หรือดื่มนม หลังอาหาร
....."เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสต่อต้าน การดื่มนมว่า เคซีน เป็นโปรตีนที่ย่อยยาก ก่อให้เกิดมูก เมือกอุดตัน เป็นสาเหตุของ โรคภูมิแพ้ และโรคมะเร็ง ดิฉันคิดว่า เราต้อง ทำความเข้าใจ ก่อนว่า อาการแพ้โปรตีน เป็นอาการที่ เกิดเฉพาะ เด็กวัยสองขวบปีแรก และพบในอัตรา ๑% เท่านั้น อาการแพ้โปรตีน จึงไม่น่าเกิดกับ เด็กโต และผู้ใหญ่ ส่วนเคซีน เป็นโปรตีนธรรมดา ที่ร่างกายสามารถ ย่อยสลายเป็น กรดอะมิโน และนำไปใช้ได้ ตามปรกติ ดิฉัน ยังไม่เคยพบ รายงานวิจัย ที่ยืนยันว่า เคซีนไปอุดตัน ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนก่อให้เกิดโรค
....."นม ไม่เพียงแต่ จะให้สารอาหาร โปรตีน ที่มีคุณภาพดีแล้ว ยังให้วิตามิน และแร่ธาตุ แคลเซียม ร่างกาย สามารถนำ แคลเซียมในนม ไปใช้ได้ดีกว่า แคลเซียมจากแหล่งอื่น แม้ว่างา และผักใบเขียว จะมีปริมาณ แคลเซียมสูงกว่านม ในน้ำหนักเท่ากัน แต่พืชผักเหล่านี้ ก็มีสาร ที่ขัดขวาง การดูดซึม แคลเซียมอยู่ด้วย เช่น สารไฟเตต ที่ผิวของเมล็ด และธัญพืช สารอ็อกซาเลต และใยอาหาร ในผักต่างๆ สารเหล่านี้ จะจับกับแคลเซียม ทำให้ดูดซึมได้น้อย ต่างจากนม ซึ่งมีน้ำตาลแล็กโตส เป็นตัวช่วย ในการดูดซึม แคลเซียมอยู่ในตัวเอง ร่างกาย จึงนำไปใช้ได้เต็มที่ สำหรับในผัก มีรายงานว่า แคลเซียมในผักคะน้า ร่างกายนำไปใช้ได้ดี แต่ประเภท ผักโขม ที่มี อ็อกซาเลตสูง ร่างกายดูดซึม แคลเซียมไปใช้ได้น้อย
....."ควรเลือก รับประทานอาหารอย่างอื่น ที่พบว่า มีแคลเซียมสูงด้วย ต้องพิจารณาด้วยว่า อาหาร เช่น กะปิ กุ้งแห้ง หรือปลาเล็กปลาน้อย ที่บริโภค แต่ละครั้ง มีปริมาณแคลเซียม มากเพียงพอ หรือเปล่า และเรา รับประทาน เป็นประจำ ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น เรากินกะปิ ประมาณ ๑ ช้อนชา จะได้แคลเซียมไม่ถึง ๘๐ มิลลิกรัม ขณะที่ ดื่มนมหนึ่งแก้ว ได้แคลเซียม ๓๐๐ มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับ ๓๘% ของปริมาณ ที่แนะนำ ให้บริโภค ต่อวัน (ผู้ใหญ่ ต้องการแคลเซียม วันละประมาณ ๘๐๐ มิลลิกรัม) นอกจากนี้ เราอาจ ไม่ได้ รับประทาน อาหาร ที่มีแคลเซียม เป็นประจำ จึงไม่ได้ปริมาณ แคลเซียม อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า ดื่มนม เราสามารถ กำหนดได้ว่า วันหนึ่ง เราจะดื่ม กี่แก้ว ปรกติ เราจะแนะนำให้ ผู้ใหญ่ดื่มนม วันละ ๑ แก้ว ซึ่งให้แคลเซียม เกือบ ๔๐ % ที่ร่างกายต้องการ ที่เหลือ ได้จากอาหารอื่น ๆ
....."สำหรับกรณีที่ มีผู้ให้ข้อมูลว่า อัตราส่วน แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ในนมวัว ทำให้เกิด โรคกระดูกพรุนนั้น ดิฉัน ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะอัตราส่วน ที่อาจจะ ก่อให้เกิด กระดูกพรุน ได้ก็ต่อเมื่อ อัตราส่วนของ แคลเซียมต่อฟอสฟอรัส น้อยกว่า ๑ แต่ นม มีแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส ๑.๒๗ : ๑ ซึ่งเป็นอัตราที่ เหมาะสมสำหรับ เด็ก ในวัยเจริญเติบโต และผู้ใหญ่ นม จึงไม่ใช่ สาเหตุของ โรคกระดุกพรุน
....."โรคกระดูกพรุน เกิดจาก หลายสาเหตุด้วยกัน และสาเหตุหนึ่ง มาจาก ภาวะโปรตีนเกิน อาหาร โปรตีน ทุกชนิด มีฟอสฟอรัส การรับประทาน โปรตีนสูง จึงมีผล ทำให้อัตราส่วน ระหว่าง แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ไม่สมดุล คือ ฟอสฟอรัส สูงกว่า แคลเซียม ทำให้ร่างกาย ดูดซึม แคลเซียม ลดลง ดิฉันคิดว่า สาเหตุที่ ร่างกายจะได้รับ ฟอสฟอรัส สูงเกิน น่าจะมาจาก การบริโภคเนื้อสัตว์ ที่มากเกิน เพราะเนื้อสัตว์ เป็นแหล่งฟอสฟอรัส สาเหตุที่ คนตะวันตก นิยมดื่มนม แต่ยังเป็น โรคกระดูกพรุนสูง ก็เพราะว่า มีการดื่มนม พร้อมกับ กินเนื้อสัตว์ ในปริมาณสูงเกินไป ดังนั้น การบริโภค อาหาร ที่ให้โปรตีนพอประมาณ และมีการดื่มนม ในปริมาณที่แนะนำ ประกอบกับ มีการ ออกกำลังกาย ด้วย จะช่วยป้องกัน ภาวะ กระดูกพรุน
....."ขณะนี้ มีนักวิชาการ บางท่าน สรุปว่า นม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ความจริงแล้ว มีงานวิจัย หลายชิ้น ยืนยันว่า อาหาร ที่มีไขมันสูง มีความสัมพันธ์ ต่อ การเกิดโรคมะเร็ง ดิฉันคิดว่า เราต้องพิจารณา อย่างละเอียดว่า ปริมาณนม ที่เราดื่ม ในแต่ละวัน มีไขมัน มากเกินไป หรือไม่ เพราะ นมธรรมดา หนึ่งแก้ว หรือปริมาณ ๒๐๐ มิลลิลิตร มีไขมันเพียง ๖.๕ กรัมเท่านั้น ยิ่งถ้า ดื่มนม พร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย ก็จะมี ปริมาณไขมัน น้อยกว่านี้ คือประมาณ ๒.๖ กรัม หรือ ๐.๒ กรัมตามลำดับ ถ้าเราดื่มนม ธรรมดา วันละ หนึ่งแก้วต่อวัน เราจะได้รับ ไขมัน เพียง ๖.๕ กรัม หรือร้อยละ ๑๐ ของไขมัน ที่ควรได้รับ ในแต่ละวัน ถ้าเราดื่มนม ไม่เกิน วันละสองแก้ว แล้วหันไป ดูแลสุขภาพ ในแง่อื่น ไม่บริโภค ไขมันจากสัตว์ โดยตรง น่าจะช่วย ป้องกัน มะเร็ง ได้มากกว่า คอยระวังเรื่อง การดื่มนม
....."ยังไม่มี งานวิจัย ชิ้นไหน ที่ยืนยันว่า นม คือสาเหตุของ โรคมะเร็งโดยตรง หลักฐาน บ่งชี้ บอกเพียงแต่ว่า มีความเป็นไปได้เท่านั้น ที่การ บริโภคนม และผลิตภัณฑ์นม มากเกินไป อาจ ทำให้เกิด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ เมื่อพิจารณา มะเร็งต่อมลูกหมาก ก็พบว่า มีความเสี่ยงสูง ถ้ามีการบริโภคเนื้อสัตว์ และไขมันสัตว์สูง ดิฉันคิดว่า น่าจะมีการ พิจารณา นิสัยการบริโภค ของผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า ได้รับไขมันอิ่มตัว มาจาก อาหาร อะไรบ้าง ส่วนใหญ่ จะพบว่า ผู้ป่วย ได้รับไขมันอิ่มตัว มาจากเนื้อสัตว์ รวมทั้ง ไขมัน จากสัตว์ การบริโภคไขมัน โดยรวม ถ้ามีปริมาณสูง ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ก่อให้เกิด มะเร็ง ของอวัยวะ ต่าง ๆ อีกประการหนึ่ง การบริโภคผัก ผลไม้ ปริมาณมากพอ ก็จะช่วย ลดความเสี่ยง ต่อการเป็น มะเร็งได้ ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นว่า ไม่สามารถสรุปได้ว่า นมคือสาเหตุของ โรคมะเร็ง โดยตรง
....."การที่ เรารณรงค์ ให้คนไทย ดื่มนม วันละหนึ่ง ถึงสองแก้ว เพราะนม เป็นแหล่งอาหารที่ดีของ โปรตีน แคลเซียม และวิตามิน ที่ร่างกาย ต้องการ และสะดวกต่อ การบริโภค เหมาะสำหรับ คนทุกเพศทุกวัย ผู้ที่ต้องการลด การบริโภคไขมัน ก็สามารถ ดื่มนม พร่อง หรือขาดมันเนย ก็ได้ ถ้าใคร มีปัญหาในการดื่มนม เช่น แพ้น้ำตาล แล็กโตส ในนม ก็ลดปัญหาได้ โดยการดื่มนม ครั้งละน้อย ๆ ก่อน หรือดื่มนม หลังอาหาร หรือ อาจรับประทาน โยเกิร์ต ชนิดครีม ก็ได้ สำหรับ ผู้ที่ไม่ดื่มนม ด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม คงต้องหา แหล่งแคลเซียม จากอาหารอื่น เช่น ปลาเล็ก ปลาน้อย ผักใบเขียวเข้ม และบริโภค ให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ร่างกาย สามารถนำแคลเซียม ไปใช้ได้ดี ควรมี การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ด้วย"
....."ผม ก็เหมือนกับ แพทย์คนอื่น ๆ ที่ร่วมส่งเสริม ให้คนไทย กินเนื้อ นม ไข่ ตั้งแต่เมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว ที่ผมจบใหม่ ๆ นั่นเป็นสมัยที่ ประชาชนส่วนใหญ่ ขาดโปรตีน และแคลอรี แต่ทุกวันนี้ ปัญหาสุขภาพ คนไทย เปลี่ยนไป คนไทย ตายด้วยโรค หัวใจ- หลอดเลือด เป็นอันดับแรก ๓๐% ของประชากร เป็นโรคอ้วน ๕๐% ของประชากร มีไขมันเลือดสูง โรคเหล่านี้ มีสาเหตุจาก การกินล้นเกิน และกินผิดส่วน แม้แต่ปัญหาสุขภาพ ของเด็ก เด็กอายุต่ำกว่า ๖ ปี ในโรงเรียนเอกชน มีโคเลสเทอรอลสูง ๒๕% เด็กวัย ๖-๑๕ ปี มีโคเลสเทอรอลสูง ๗๐% เนื่องจากเด็กๆ ดื่มนม กินฟาสต์ฟู้ด แบบตะวันตกนั่นเอง
....."ในอีกด้านหนึ่ง เรากำลังเจอ มรสุมเศรษฐกิจ ทราบไหมว่า ทุกวันนี้ เราเสียเงินตรา ซื้อนม จากต่างประเทศ ปีละ นับหมื่นล้านบาท ถ้าเรา ละเลิก การดื่มนมได้ อาศัยอาหารพื้นบ้าน ที่ให้คุณค่า ได้พอๆ กัน ก็ช่วยชาติ ได้อีกทางหนึ่ง นี่คือประเด็นใหม่ ในวันนี้ ที่ทำให้ผม ต้องยกมือ เสนอความเห็นว่า คนไทยวันนี้ ไม่จำเป็นต้องดื่ม นม (วัว)
....."ประเด็นแรก ที่คนไทย ไม่ควรดื่มนม คือ นม เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคอ้วน ไขมันสูง โรคหัวใจหลอดเลือด ประเด็นนี้ ใช้สามัญสำนึก ตรองดู ก็รู้ นมวัว มาจากสัตว์ จึงมีโคเลสเทอรอล และกรดไขมันอิ่มตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคอ้วน ไขมันเลือดสูง โรคหัวใจหลอดเลือด งานวิจัยของ มูลนิธิ อุตสาหกรรมนม สหรัฐฯ ก็ยืนยันเรื่องนี้
....."ประเด็นที่ ๒ นม เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคภูมิแพ้ ลำไส้ใหญ่อักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ หอบหืด
....."นม เพิ่มความเสี่ยงต่อ กลุ่มโรคภูมิแพ้ เรื่องนี้ ยืนยันด้วย งานวิจัยมากมาย กลไกของการแพ้ เป็นได้หลายสาเหตุ เช่นแพ้แล็กโตสในนม ซึ่งคนเอเชีย ๘๐% ไม่มีน้ำย่อยตัวนี้ แพ้แบบนี้ จะแสดงด้วย อาการท้องเสีย แต่มักเป็นอยู่ไม่นาน ร่างกาย จะสร้างเอมไซม์ ออกมาเอง
....."แต่แพ้อีกกรณีหนึ่ง คือแพ้เคซีน และ Beta lactoglobulin ในนม ซึ่งจะเกิด อาการแพ้ มากน้อย ตามแต่ละบุคคล นักวิชาการบางคน อาจบอกว่า เคซีน เป็นโปรตีนธรรมดา จะถูกย่อยเป็น กรดอะมิโน ไปหมด แท้ที่จริงแล้ว โปรตีน แต่ละแห่ง ใช่จะถูกย่อย และดูดซึม ไปใช้ได้หมด ภาษา โภชนาการ มีคำว่า Net Protein Utilization เนื้อสัตว์มี NPU ๖๗% แปลว่า มีอีก ๒๓% ที่ดูดซึมไม่ได้ นมมี NPU ที่ ๘๒% แปลว่ามี ๑๘% ที่ดูดซึมไม่ได้ จะถูก แบคทีเรีย ย่อยสลาย ทำให้เกิดสาร immune complex ก่อภูมิแพ้ตัวใหม่ ๆ ขึ้น คนที่ท้องผูก อุจจาระที่แข็ง จะครูดผ่าน เยื่อบุลำไส้ ทำให้ สารประกอบโปรตีน เหล่านี้ หลุดเข้าสู่ร่างกาย ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ ต่อไป
....."ประเด็นที่ ๓ นม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคกระดูกผุ ประเด็นนี้ เป็นเรื่องแปลกใหม่ ที่ชวนคิด เรามักคิดว่า นมเป็นแหล่งของ แคลเซียม ย่อมจะดี สำหรับป้องกัน โรคกระดูกผุ แต่แท้ที่จริง อาหาร ที่มี แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ในอัตราส่วน ๒ : ๑ หรือมากกว่านั้น จึงจะดี เช่น นมแม่ มี แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ๒.๓๕ : ๑ ถือว่า ดีกับทารก ส่วนนมวัว มี แคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัส ๑.๒๗ : ๑ ฟอสฟอรัสที่สูงเกิน จะกระตุ้นให้ พาราไทรอยด์ หลั่งฮอร์โมน ดึงแคลเซียม จากกระดูก ไปสมดุลกับ ฟอสฟอรัส นี่เป็นข้อคิด จาก นายแพทย์ แฟรงก์ ออสกี หัวหน้าฝ่าย กุมารเวช ศูนย์การแพทย์ อัพเสท มหาวิทยาลัย นิวยอร์ก
....."นอกจากนี้ ภาวะโปรตีนล้นเกิน จะก่อให้เกิด การสูญเสียแคลเซียม ออกทางปัสสาวะ ทุกวันนี้ คนไทย กินเนื้อสัตว์ ซึ่งมี ฟอสฟอรัส สูงกว่า แคลเซียม ๘-๒๐ เท่า การดื่มนม เพิ่มเข้าไปอีก ก็ยิ่ง ซ้ำเติมภาวะ สูญเสียแคลเซียม จากกระดูกได้
....."สี่ประเทศ ที่ดื่มนม มากที่สุดในโลก ได้แก่ สหรัฐฯ สวีเดน ฟินแลนด์ และ สหราชอาณาจักร กลับมีแนวโน้ม โรคกระดูกผุ สูงขึ้นทุกปี ตรงกันข้ามกับ ประเทศที่ดื่มนมน้อย เช่นใน แอฟริกา โรคกระดูกผุ กลับไม่ปรากฏ กรณีศึกษา ผู้หญิงบันดู ในแอฟริกา ซึ่งกินโปรตีน ไม่ถึงครึ่ง ของชาวอเมริกัน ทั้งสูญเสีย แคลเซียม ด้วยการ ให้นมลูก ถึง ๑๐ คน ตลอดชีวิตของเธอ แต่ปรากฏว่า โรคกระดูกผุ กลับพบน้อยมาก
....."ประเด็นต่อมา นม เพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคมะเร็ง งานวิจัย ทางระบาดวิทยา หลายชิ้น ยืนยันเรื่องนี้ เช่น นายแพทย์ไมเคิล ฮินด์ฮีด สถาบันวิจัย โภชนาการ แห่งชาติเดนมาร์ก ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ประเทศเดนมาร์ก ถูกปิดล้อม เขาเสนอให้ รัฐบาลของเขา เปลี่ยนแปลง ระบบ เกษตรกรรม จากเลี้ยงวัว มาปลูกข้าวไรย์ ข้าวสาลี ประชากร ก็ลดการ บริโภคนมลง ปรากฏว่า ช่วงสามปีจาก ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๗ อัตราการเป็น มะเร็ง ของชาวเดนมาร์ก ลดลงถึง ๓๔ % เลยทีเดียว
....."อีกชิ้นหนึ่ง เป็นงานของ ตากาวา เขาศึกษา อาหาร ของคนญี่ปุ่น นับตั้งแต่ แพ้สงครามโลก ครั้งที่ ๒ อเมริกา เข้าไปส่งเสริมชีวิต แบบ ชาวอเมริกัน ด้วยเวลา ๒๕ ปี นับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๐-๑๙๗๕ เขาพบว่า คนญี่ปุ่น ดื่มนมเพิ่มขึ้น ๑๕ เท่า กินเนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้น ๗.๕ เท่า ลดการกิน ข้าว ลง ๗๐ % ผลก็คือ ผู้หญิงญี่ปุ่น ป่วยเป็น มะเร็งปอด เต้านม ลำไส้ใหญ่ เพิ่มขึ้นจากเดิม ๓๐๐ % กรณีเช่นนี้ กำลังเกิดขึ้นกับ คนไทยในปัจจุบัน
....."หลังสุด การประชุม ที่จัดโดย กองทุนวิจัย มะเร็งโลก (WCRF) และ สถาบัน มะเร็ง แห่งชาติสหรัฐฯ (AICR) ซึ่งรวบรวม ผลวิจัย นับพันๆ ชิ้น แล้วสรุป เมื่อปี ๑๙๙๗ นี้เองว่า มีปัจจัย เพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็ง หลายอย่าง รวมทั้งนม และผลิตภัณฑ์นมเนย
....."นักวิชาการบางคน แก้ต่าง ให้แก่นมว่า ที่ฝรั่ง เกิดมะเร็งมาก เพราะเขาดื่มนมมาก ถึงปีละ ๑๕๐ ลิตร/คน/ปี เกินความต้องการของ ร่างกาย แต่คนไทย ยังดื่มนมน้อย พร้อมกันนั้น ก็เสนอว่า เด็กไทย ควรดื่มนม วันละ ๒-๓ แก้ว ผู้สูงอายุ ดื่มวันละ ๑-๒ แก้ว ข้อเสนอนี้ ช่างขัดแย้งในตัวเอง อย่างยากจะเข้าใจยิ่ง ลองคำนวณดูซิครับ ดื่มคนละ ๑๕๐ ลิตร/ปี เฉลี่ยแล้ว เท่ากับ ๔๑๐ ซีซี/วัน หรือ ๑.๖๔ แก้ว เท่านั้นเอง นั่นยังถือว่า ฝรั่ง ดื่มนม เกินความต้องการของ ร่างกาย อยู่แล้ว แต่ นักวิชาการไทยเหล่านี้ กลับยืนยัน ให้คนไทย ดื่มนมวันละ ๒-๓ แก้ว
....."ถามว่า ถ้าคนไทยไม่กินนม จะได้ สารอาหาร จำเป็น จากไหน... ก่อนอื่น ไขมันในนม ไม่พึงพิสมัยอยู่แล้ว มีแต่จะทำให้ ไขมันล้นเกิน
....."โปรตีนในนม แท้จริงนม ๑ แก้ว ให้โปรตีน ๘.๕ กรัม ถ้ากิน น่องไก่ ๑ ชิ้น (๑๐๐ กรัม) จะได้โปรตีน ๒๑ กรัม แค่นี้ ก็เห็นได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องพึ่ง โปรตีน จากนม
....."แคลเซียม ในนม แท้จริงนม ๑๐๐ กรัม ให้แคลเซียม ๑๑๘ มิลลิกรัม ส่วนนม ที่ผสม แคลเซียม จะให้ ๑๖๐ มิลลิกรัม ทีนี้ถ้าดู อาหาร พื้นบ้าน ของไทย จะเห็นว่า มีแหล่ง แคลเซียม มากมาย หลักง่ายๆ คือ กุ้งแห้ง ปลากรอบ ปลาเล็กปลาน้อย เป็นแหล่งแคลเซียม มากกว่านม ๑๓-๒๓ เท่า งาดำคั่ว ให้แคลเซียม มากกว่านม ๑๔ เท่า ผักต่างๆ ให้แคลเซียม มากกว่านม ๓-๔ เท่า เต้าหู้ มีแคลเซียม มากกว่านม ๒ เท่า กินเต้าหู้ ๑ ก้อน ให้แคลเซียม เท่ากับ นม ๑ แก้ว
....."ตรงนี้ นักวิชาการบางคน พยายามจะชี้ว่า ถึงผักต่าง ๆ จะมี แคลเซียม มากกว่า แต่สารไฟเตต ในผัก จะกีดกัน การดูดซึมแคลเซียม คนไทย จึงต้องพึ่งพา นม ต่อไป แท้จริง ประเด็นดังกล่าว เป็นความเชื่อ สมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๑ และ ๒ แต่ภายหลัง เมื่อปี ๑๙๖๒ องค์การ FAO และ WHO ก็ร่วมกัน ประกาศว่า ในชนชาติที่ กินธัญพืช เป็นประจำ ร่างกาย จะมีเอมไซม์ ไฟเตส ย่อยสลาย ไฟเตต ได้ ร่างกาย จึงสามารถ ดูดซึมแคลเซียมได้ จากพืชผักท้องถิ่น ที่กินกันอยู่
....."ผมคิดว่า นมถั่วเหลือง น่าจะเข้ามา ทดแทนได้ ในแง่ของ แหล่งโปรตีน เพราะนมถั่วเหลือง ๑ แก้ว ให้โปรตีน ๗ กรัม น้อยกว่า นมวัว เพียงเล็กน้อย ถั่วเหลือง มีสาร ไฟโตอิสโตรเจน ช่วยลดอาการ ใกล้หมดประจำเดือน ช่วยป้องกัน มะเร็ง อีกด้วย
....."เมื่อกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว นายแพทย์ยงค์ ชุติมา ในนามของ กระทรวงสาธารณสุข เคยรณรงค์ ให้คนไทย ปลูกถั่วเหลือง อย่างแพร่หลาย และให้ ทำนมถั่วเหลือง ดื่มกัน ถือเป็น "meat for the poor" เวลานี้ ประเทศไทยของเรา กำลังวิกฤต พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงส่งเสริม ทิศทาง "เศรษฐกิจพอเพียง" จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าเราจะ หันมาหา การปลูกถั่วเหลือง ส่งเสริมคนไทย กินผลิตภัณฑ์ จากถั่วเหลือง เงินตรา ไม่รั่วไหล ออกนอกประเทศ
....."กาลเวลาเปลี่ยนไป ปัญหาเปลี่ยนไป ทั้ง นักวิชาการ และรัฐบาล ควรปรับนโยบาย ให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ เพื่อสุขภาพของ ประชาชน และเศรษฐกิจ ของประเทศชาติครับ"

 

สารบัญ | งานภาพวาดทางวิทยาศาสตร์ | กล้วยไม้ไทย | ของเล่นพื้นบ้าน | ดื่มนม


Feature@sarakadee.com
สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]

ขึ้นข้างบน (Back to Top) นิตยสาร สารคดี (Latest issue) หน้าที่แล้ว (Previous Page) หน้าถัดไป (Next Page)