|
![]() |
เอ็นที่ทำจากไส้ เอ็นที่ใช้ขึงไม้เทนนิส ทำจากอะไร ใช่เส้นเอ็น ของสัตว์หรือเปล่าคะ (ชนกาญจน์ / จ. ภูเก็ต) |
"เอ็น" ที่ใช้ขึงไม้เทนนิส
ไม่ได้ทำจากเส้นเอ็นของสัตว์
อย่างที่เราเข้าใจ แต่ทำจาก
ลำไส้สัตว์ นอกจากนั้น
ยังทำด้วยวัสดุอย่างอื่นด้วย
ปัจจุบันวัสดุที่ใช้
มีอยู่หลายชนิด เช่น เอ็นแกะ
เอ็นหมู ไนลอน และไหม ฯลฯ นักเทนนิสที่มีฝีมือดี ส่วนมากนิยมไม้เทนนิส ที่ขึงด้วยเอ็นแกะ เพราะมีความยืดหยุ่น ดีกว่าเอ็นหมู ส่วนเอ็นไหมนั้น ราคาแพงมาก จึงไม่ค่อยมีผู้นิยมใช้ เอ็นไนลอนนั้น เหมาะสำหรับนักเล่นเทนนิสทุกคน โดยเฉพาะนักเทนนิส ที่เริ่มต้นฝึกหัด เพราะคุณภาพดี ราคาไม่แพงนัก "ซองคำถาม" มีข้อมูล เรื่องเอ็นไม้เทนนิส ที่ทำจากลำไส้แกะ ขอนำมาเล่าให้ฟังดังนี้ วิธีทำ เริ่มจากนำลำไส้แกะ มาล้าง และตัดให้เป็นสายยาว ขูดเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อออก และแช่ไว้ในน้ำด่าง ประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วโมง แล้วนำมาขึงบนกรอบ ยังไม่ทันแห้ง ก็ปลดลงมา เพื่อคัดขนาด และบิดเป็นเส้น จากนั้นจึงทำให้เรียบ และขัดมัน เป็นขั้นตอนสุดท้าย แม้ว่าปัจจุบัน เอ็นไม้เทนนิส จะเปลี่ยนมาเป็นไนลอน หรือลวดเหล็กกันมากแล้ว แต่เส้นเอ็น ที่ทำจากลำไส้ ยังนิยมใช้ทำสายเครื่องดนตรี เช่น ไวโอลิน เชลโล กีตาร์ และอื่น ๆ อยู่ด้วย ความที่ลำไส้ เป็นเส้นใยธรรมชาติ ที่เหนียวที่สุดชนิดหนึ่ง ความแข็งแกร่ง และยืดหยุ่นของเอ็นชนิดนี้ จึงสร้างเสียงที่สดใส และมีชีวิตชีวา ให้แก่เครื่องดนตรี ในวงการแพทย์ การเย็บแผลผ่าตัดร้อยละ ๕๐ ใช้เส้นเอ็นที่ทำจากลำไส้ เพราะนอกจากจะเหนียวแล้ว ร่างกายยังสามารถดูดซึมได้ หลังจากแผลติดกันแล้ว คนธรรมดาอย่างเรา อาจเคยลิ้มรสชาติของลำไส้แกะกันบ้าง เพราะเขาใช้ทำ เปลือกหุ้มไส้กรอกนั่นไง |
|
![]() |
เขาผ่าตัด
เสริมจมูกกันอย่างไร กำลังคิดจะไปผ่าตัดเสริมจมูกค่ะ แต่ยังกลัว ๆ กล้า ๆ อยู่ ไม่รู้จะเจ็บแค่ไหน อยากให้ ซองคำถาม ช่วยเล่าด้วยว่า เขามีขั้นตอนการผ่าตัดอย่างไร (เนตร / จ. นครปฐม) |
ถ้าอยากสวย แต่กลัวเจ็บ
ก็ขอให้เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย
ดาราสาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ รายการโทรทัศน์ว่า ตอนที่เธอไปผ่าตัดเสริมจมูก (ดูเหมือนจะเป็นการผ่า แก้ของเดิมที่ทำไว้ แล้วมีปัญหา) ตลอดเวลาที่ผ่าตัดนั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเอง กำลังเต้นบัลเลต์ไปด้วย เพราะเธอเจ็บ จนต้องจิกปลายเท้าอยู่ตลอดเวลา และบอกว่าเข็ดไปจนตาย ไม่ขอผ่าตัดเสริมความงามอีกแล้ว การผ่าตัดเสริมจมูก มีสองวิธีด้วยกัน คือ การฉีดด้วยซิลิโคนเหลว หรือสารพาราฟิน และการเสริมด้วยแท่งซิลิโคน การเสริมจมูก ด้วยวิธีฉีดซิลิโคนเหลว ราคาค่อนข้างถูก แต่มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนในภายหลัง และมักจะทำโดย คนที่ไม่ได้เป็นแพทย์ ปัจจุบันวิธีนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ศัลยแพทย์ การเสริมจมูก มักจะใช้แท่งซิลิโคนมากกว่า เพราะไม่เกิดผลข้างเคียง แต่ก็ต้องระมัดระวัง ไม่ให้ถูกกระทบกระเทือน บริเวณจมูกที่เสริมไว้ ไม่เช่นนั้น แท่งซิลิโคนอาจทะลุ และเกิดการอักเสบ หญิงสาวบางคน อาจอยากได้จมูกที่โด่งมาก ๆ แต่แพทย์จะพิจารณาเองว่า ควรเสริมจมูก มากน้อยแค่ไหน จึงรับกับส่วนประกอบบนใบหน้า เช่น หน้าผาก เบ้าตา โหนกแก้ม และริมฝีปากบน การเสริมจมูกมากไป หรือเสริมจนถึงหัวคิ้ว จะทำให้จมูกมีลักษณะผิดธรรมชาติ เมื่อจะลงมือผ่าตัด แพทย์จะฉีดยาชา เฉพาะบริเวณจมูก จากนั้นจะเริ่มผ่าตัดโดยใช้มีดกรีดขอบในรูจมูก แล้วใช้กรรไกร เลาะให้เป็นช่อง ไปตามแนวของสันจมูก ผ่านเข้าใต้เยื่อจมูก และผิวหนัง เพื่อสอดแท่งซิลิโคน ที่ได้รับการตกแต่ง ให้มีรูปร่างเหมาะสมเข้าไป แล้วจัดให้เข้าที่ตามรูปร่าง ของสันจมูก ตั้งแต่โคนจนถึงปลายจมูก จากนั้นก็เย็บปิดแผล บางรายถ้าปีกจมูกโป่งพอง จำเป็นต้องตัดกระดูกอ่อน ที่อยู่ในปีกจมูกออกด้วย ถ้ารูจมูก และฐานของปีกจมูกกว้าง ต้องตัดปีกจมูก และทำรูจมูกให้แคบลง หลังผ่าตัดจะมีอาการบวม แต่ไม่รุนแรงอะไร ในวันแรกอาจจะรู้สึกตึงจมูก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นประมาณสามถึงห้าวันจะตัดไหม หลังจากหนึ่งเดือนไปแล้ว อาการบวมจะลดลง จนเห็นรูปร่างจมูกที่ทำไว้ชัดเจน ปัญหาที่อาจพบได้ หลังการผ่าตัดคือ แท่งซิลิโคนเคลื่อนจากแนวกลางของสันจมูก ทำให้จมูก มีลักษณะคดเคี้ยว และหากศัลยแพทย์ สอดแท่งซิลิโคนใต้ผิวหนังไม่ลึกพอ จะทำให้เห็นเป็นแท่งโปร่งแสงใต้ผิวหนัง และเคลื่อนได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องกลับไปให้ศัลยแพทย์แก้ไข รู้อย่างนี้แล้วคุณเนตรจะ "กลัว" หรือ "กล้า" มากกว่ากัน |
|
![]() |
พระเยซูกับไม้กางเขน .......ทำไมพระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน เรื่องราวเป็นอย่างไรคะ (ด.ญ. กิตติธร เกษมกิจวัฒนา / กรุงเทพฯ) |
พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์
เกิดที่แคว้นกาลิเล (Galilee)
เมืองเบทเลเฮม ประเทศปาเลสไตน์
(ในขณะนั้นตกอยู่ใต้การปกครองของ
จักรวรรดิโรมัน)
โดยมีมารดาชื่อนางมารี
และบิดาชื่อโจเซฟ
พระเยซูเกิดเมื่อวันที่ ๒๕
ธันวาคม พ.ศ. ๕๔๓
(ภายหลังนักประวัติศาสตร์บางท่าน
ตรวจพบว่าพระเยซู
เกิดก่อนหน้านั้นสี่วัน)
ซึ่งชาวคริสต์ถือว่า
วันนี้เป็นปีเริ่มคริสต์ศักราช เมื่อยังเยาว์วัย พระเยซูเรียนในโรงเรียน ที่มีเด็กหลายชาติหลายภาษา จึงทำให้พระเยซูรู้ภาษาหลายภาษา ประกอบกับเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด พอโตขึ้นก็สนใจศึกษาคัมภีร์เก่า ๆ ของศาสนาฮีบรู (ยิว) จนมีความเข้าใจ และรู้ดี พออายุ ๓๐ ปีก็ได้เที่ยวสั่งสอน ให้คนประพฤติดี มีศีลธรรม และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ ยังทรงสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น ตาบอด ง่อย ใบ้ ให้กลับคืนดีได้ โดยการใช้อำนาจทางจิต จนเป็นที่เลื่อมใส นิยมนับถือ และรักใคร่ในหมู่ชาวยิว ขณะนั้นประเทศปาเลสไตน์ รวมอยู่ในอาณาจักรโรมัน พระเยซูอบรมสานุศิษย์ ให้เชื่อในพระยะโฮวา ซึ่งเป็นพระเจ้าเก่าแก่ ของชาวยิวแต่องค์เดียว และทรงชี้แจงว่า พระองค์คือพระบุตร ของพระยะโฮวา ทรงนำเทวประสงค์ ของพระยะโฮวา ลงมาแจ้งแก่มนุษย์ ให้ประกอบกรรมดี จุดหมายสูงสุดคือสวรรค์ ซึ่งได้แก่ การได้อยู่ใกล้ชิด กับพระผู้เป็นเจ้า ส่วนโทษร้ายแรง ของผู้ฝ่าฝืนคือนรก นอกจากนี้ พระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์ จะให้ผู้ใดไปเคารพนับถือพระเจ้าอื่น หรือรูปเคารพใด ๆ คำสอนของพระองค์ จึงทำให้ชาวโรมัน และนักบวชในศาสนาโรมัน ที่นับถือเทวรูปพากันไม่สบายใจ เพราะเกรงว่า ผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาคริสต์ จะรวมพลังเพื่อต่อต้าน และกู้อิสรภาพ ต่อมาพระยิว กระพือข่าวชวนเชื่อว่า พระเยซูเป็นกบฏ ต่ออาณาจักรโรมัน และตั้งตนเป็นกษัตริย์ยิว ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพระเยซูปฏิเสธ ที่จะจับอาวุธต่อสู้ เพื่อให้เป็นอิสระจากอาณาจักรโรมัน แต่พระเยซูทรงขอให้ต่อสู้อย่างสันติ ในที่สุดคณะกรรมการศาสนาของยิว จึงขอให้ทางโรมัน ส่งทหารไปจับตัวพระเยซู ซึ่งขณะนั้นพระชนมายุได้ ๓๓ พรรษา ทรงถูกฆ่า ด้วยวิธีตรึงบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นวิธีที่ชาวโรมัน ใช้ประหารนักโทษหรือทาส ที่นอกเมืองเยรูซาเลม หลังจากที่ทรงเผยแผ่ศาสนา ได้เพียงสามปีเท่านั้น การที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ชีพ ทำให้เครื่องหมายกางเขน มีความหมายสำคัญมากขึ้น แก่คริสต์ศาสนิกชน |
|
![]() |
จอมพล หายไปไหนกันหมด ทำไมหลังจากยุคจอมพล ถนอม กิตติขจร และจอมพล ประภาส จารุเสถียร แล้ว จีงไม่มีนายทหารที่ได้รับ ยศจอมพลอีกเลย เป็นเพราะเขายกเลิกยศนี้หรือไร (ลูกชาวบ้าน / กรุงเทพฯ) |
ในปี พ.ศ.
๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา
"พระราชบัญญัติ
สำหรับลำดับยศนายทหารบก" ขึ้น
โดยโปรดให้กำหนดคำเรียก
ชื่อยศเป็นภาษาไทย
แทนการใช้ทับศัพท์ ตามแบบเดิม
และกำหนดให้
นายทหารในกองทัพบกสยาม
มีลำดับชั้นยศจากสูงสุด
ลดหลั่นลงไป
จนถึงพลทหารเป็นที่สุด
ตามแบบอย่าง
ชั้นยศนายทหารในกองทัพ
นานาอารยประเทศ ดังนี้ จอมพล นายพลเอก โท ตรี นายพันเอก โท ตรี นายร้อยเอก โท ตรี จ่านายสิบ นายสิบเอก โท ตรี พลทหาร เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบยศทหารขึ้นใหม่แล้ว พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นองค์จอมทัพสยาม ได้ทรงดำรงพระยศเป็น จอมพล ในฐานะจอมทัพบก และจอมพลเรือ ในฐานะจอมทัพเรือ เป็นพระองค์แรก ครั้นพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๖ แล้ว นายพลเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่น นครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการ กรมยุทธนาธิการ จึงได้นำคณะนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายอินทรธนูพระยศ แลพระคทาจอมพลทหารบก อันเป็นสัญลักษณ์ว่า ได้ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ เป็นจอมทัพบกสยาม ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๕๓ ในโอกาสนั้น ได้มีพระราชกระแสดำรัสสั่ง ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการว่า "...ต่อแต่นั้นตำแหน่งที่พระเจ้าแผ่นดินดำรงให้เรียกว่า "จอมทัพบก" ส่วน "จอมพล" นั้น ให้ถือว่า เป็นยศนายทหาร ที่สูงกว่านายพลเอกขึ้นไปอีกชั้น ๑..." ต่อจากนั้นมา ได้พระราชทานยศจอมพล แก่พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นพระองค์แรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ และได้พระราชทานยศ จอมพล และจอมพลเรือ แก่ผู้ที่ได้รับราชการ สนองพระเดชพระคุณ ในตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงกลาโหม กระทรวงทหารเรือ และเสนาธิการทหารบก เสนาธิการทหารเรือ อันเป็นตำแหน่ง ที่เกียรติยศเสมอด้วยเสนาบดี ต่อมาอีกหลายพระองค์ท่าน และหลายท่าน ภายหลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทางราชการทหารได้ดำริว่า ยศจอมพล อันเป็นยศสูงสุดทางทหารนั้น ควรจะเป็นพระยศเฉพาะ สำหรับองค์จอมทัพ ดังเช่นแบบธรรมเนียม ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อจากนั้นมา กระทรวงกลาโหมจึงมิได้ขอพระราชทานชั้นจอมพล ให้แก่ผู้บัญชาการเหล่าทัพอีก คงมีแต่อัตราเงินเดือน ชั้นจอมพลสำหรับนายทหาร ผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารเหล่าทัพ หรือเทียบเท่าสืบมาจนทุกวันนี้ ตราบจนถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศทหารให้ พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นจอมพลหญิง จอมพลเรือหญิง และจอมพลอากาศหญิง นับว่าทรงเป็นนายทหารหญิง พระองค์แรกในประวัติศาสตร์กองทัพไทย ที่ได้ทรงดำรงพระยศเป็น จอมพล จอมพลเรือ และจอมพลอากาศ ข้อมูลนี้ตัดตอนมาจากบทความ "เรื่อง "ยศ" " ของ วรชาติ มีชูบท "ซองคำถาม" ข้ามรายละเอียดไปมาก เนื่องจากพื้นที่จำกัด ท่านที่สนใจเรื่องนี้ โปรดหาอ่านจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) |
|
![]() |
ทำไมพวกฝึกโขน
ต้องนุ่งโจงกระเบน สีแดง "ซองคำถาม" เคยสังเกตหรือไม่ว่า นักเรียนที่ฝึกโขน และนาฏศิลป์ เขาจะนุ่งโจงกระเบนสีแดงเสมอ ...สงสัยว่าทำไมจึงต้องเป็นสีแดง (ปียนันท์ มงคลวิจิตร์ / จ. ชลบุรี) |
การที่ผู้ฝึกหัดนาฏศิลป์โขน
และละคร
ต้องนุ่งโจงกระเบนสีแดงนั้น
เป็นระเบียบที่ได้รับอิทธิพล
มาจากการฝึกหัดนาฏศิลป์
ในวังสวนกุหลาบ ซึ่งระยะแรก
อยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จฯ
เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ
กรมหลวงนครราชสีมา
ต่อมาโอนมาอยู่ในพระอุปถัมภ์
ของสมเด็จฯ
เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก
กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
กล่าวกันว่า ละครวังสวนกุหลาบ
เป็นคณะละครที่มีชื่อเสียง
และฝีมือเทียบเท่าละครหลวง
ครั้งแผ่นดินรัชกาลที่ ๒ เมื่อมีการก่อตั้ง วิทยาลัยนาฏศิลป์ (แต่แรกยังไม่มีการฝึกโขน) ได้มีการนำระเบียบการฝึก จากละครวังสวนกุหลาบมาใช้ หนึ่งในระเบียบนั้นคือ การกำหนดให้ผู้ฝึกละคร นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง เพื่อความรัดกุม และความคล่องตัว เหตุที่กำหนดให้เป็นสีแดง เพราะมีเหตุผลว่า ๑. ผ้าสีแดง เป็นสีที่ปิดบังความเปรอะเปื้อนได้ดี โดยเฉพาะเด็กหญิง ที่เริ่มมีภาวะเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ซึ่งแสดงถึงความเป็นสาว ๒. ผ้าสีแดงมีราคาถูก สะดวกในการจัดหา ๓. การกำหนดให้ใช้ผ้านุ่งสีเดียวกัน ทำให้เกิดความเป็นระเบียบ และสวยงามในการฝึก และสามารถควบคุม ให้เป็นหมู่เป็นกลุ่มได้ง่ายขึ้น ต่อมาเมื่อมีการเปิดรับเด็กชาย เข้าฝึกโขน จึงให้เด็กชายนุ่งผ้าสีแดง ในการฝึกหัด เช่นเดียวกับฝ่ายละคร การใช้ผ้านุ่งโจงกระเบนสีแดง จึงเป็นระเบียบแห่งการฝึกหัดนาฏศิลป์ โขน ละคร ของสถาบันในสังกัด กรมศิลปากรมาจนทุกวันนี้ |
|
![]() |
พระจันทร์สีน้ำเงิน มีสำนวนฝรั่งอยู่สำนวนหนึ่งว่า once in a blue moon แปลว่า นาน ๆ ครั้ง อยากทราบว่า ในทางดาราศาสตร์มี blue moon หรือพระจันทร์สีน้ำเงินมีหรือไม่ (เขียนถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีนิยายของไทย อยู่เรื่องหนึ่งชื่อ พระจันทร์สีน้ำเงิน แต่งโดย สุวรรณี สุคนธา) (ไม่ลงชื่อ / กรุงเทพฯ) |
สมาคมดาราศาสตร์
ให้คำอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า blue moon
คือจันทร์เพ็ญครั้งที่ ๒
ของเดือน (ปฏิทิน)
ในหนึ่งเดือนปฏิทินมี ๓๐-๓๑ วัน
ส่วนเดือนจันทรคติ มีความยาว ๒๙.๕
วัน ซึ่งใกล้เคียงกัน
เราจึงพบว่า
ในหนึ่งเดือนปฏิทินนั้น
มักจะมีหนึ่งเดือนมืด
และหนึ่งเดือนเพ็ญเสมอ
แต่เนื่องจากเดือนจันทรคติ
สั้นกว่าเดือนปฏิทิน
ทำให้วันที่เป็นเดือนเพ็ญ
มีการเลื่อนไปในทางที่เร็วขึ้นทุก
ๆ เดือน ดังนั้นจึงมีบางเดือน
ที่เกิดจันทร์เพ็ญขึ้นสองครั้ง
คือต้นเดือนครั้งหนึ่ง
และปลายเดือนครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
คงเป็นสาเหตุที่ฝรั่ง
เอาไปพูดเป็นสำนวนว่า once in a blue moon
ซึ่งหมายถึงนาน ๆ ครั้งนั่นเอง ถึงแม้คำว่า blue moon มิได้หมายถึง พระจันทร์เป็นสีน้ำเงิน แต่เหตุการณ์ที่พระจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงินนั้น ก็มีจริงเหมือนกัน ครั้งที่โด่งดังมาก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งเกิดจากฝุ่นควัน ในบรรยากาศจำนวนมาก จากไฟป่าครั้งใหญ ่ในแคนาดา ในวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ เถ้าถ่านในบรรยากาศ จากการระเบิดของภูเขาไฟการากาตัว ในอินโดนีเซีย ก็ทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงินเช่นกัน |
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สั่งซื้อหนังสือ
| WallPaper
]
สงวนสิทธิ์ ตามกฏหมาย CopyRight. All rights reserved.