![]()
|
![]() |
"พลเมืองกิตติมศักดิ์" "พลเมืองกิตติมศักดิ์" เป็นอย่างไร เมื่อเป็นแล้วได้สิทธิ์อย่างไรบ้าง หน่วยงานใดพิจารณาให้ (ชนก / จ. ราชบุรี) |
"พลเมืองกิตติมศักดิ์"
เป็นรางวัลที่กรุงเทพมหานคร
ดำริขึ้นในสมัยที่ ดร.
พิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าฯ
กทม.
จุดประสงค์ก็เพื่อยกย่องเชิดชู
บุคคลผู้ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ
รางวัลที่มอบให้ไม่ได้เป็นเงินทองแต่อย่างใด
เป็นแต่เพียงเกียรติบัตรประกาศ
ยกย่องเคลือบกรอบวิทยาศาสตร์
ผู้ได้รับรางวัลนี้
จะได้รับสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาล
ในสังกัดกรุงเทพมหานคร
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตลอดชีพ ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้เป็นคนแรก คือ สมรักษ์ คำสิงห์ โดยได้รับเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๙ ในฐานะนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของไทย ปัจจุบันมีผู้ได้เป็น "พลเมืองกิตติมศักด์" แล้ว ๑๖ คน ทั้งหมดเป็นนักกีฬาและโค้ช (ไทเกอร์ วูดส์ ก็ได้รับรางวัลนี้ด้วย) อ้อ เมื่อปีสองปีก่อน สมพงษ์ เลือดทหาร แท็กซี่ที่ปั้นเรื่องว่าเก็บเงินฝรั่งได้ที่ดอนเมือง ก็ได้เป็น "พลเมืองกิตติมศักดิ์" กับเขาด้วย แต่เมื่อตรวจพบในภายหลังว่าเขากุเรื่องขึ้น รางวัลที่ได้รับก็ต้องถูกริบไปตามระเบียบ |
|
![]() |
ปล่อยม้าอุปการ อ่านหนังสือพบสำนวนว่า "ปล่อยม้าอุปการ" ...มีความหมายอย่างไรไม่ทราบ (หนุ่มเมืองระยอง / จ. ระยอง) |
ดร.
ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา
อธิบายคำนี้ไว้ในหนังสือ
สำนวนไทยที่มาจากวรรณคดี
ว่า คำว่า ปล่อยม้าอุปการ เป็นสำนวนเชิงตำหนิติเตียนว่า ชอบวางอำนาจหรือข่มขู่ผู้อื่น ดังตัวอย่างในเรื่อง พระอภัยมณี ว่า "ทำปล่อยม้าอุปการเที่ยวพาลเขา เห็นโง่เง่าแล้วจะจับไปปรับไหม" เรื่องปล่อยม้าอุปการ มีที่มาจากวรรณคดีโบราณของอินเดีย คือ มหากาพย์เรื่อง รามายณะ และมหาภารตะ ตลอดจนคัมภีร์ปุราณะต่าง ๆ และเรื่อง รามเกียรติ์ ของไทย ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ การปล่อยม้าอุปการ คือ การทำพิธีอัศวเมธยาคะ เป็นการแผ่แสนยานุภาพรุกรานดินแดนทั่วโลก พิธีอัศวเมธนี้ถ้าใครกระทำได้ถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็จะได้เป็นพระอินทร์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการทำพิธีอัศวเมธเมื่อใด พระอินทร์ก็มักจะหาทางทำลาย มิให้ประสบความสำเร็จ การทำพิธีอัศวเมธ ก็คือการนำเอาม้าสำคัญตัวหนึ่งมาเข้าพิธี (อันมีขั้นตอนมากมาย) เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็ปล่อยให้ม้าวิ่งไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ มีกองทัพติดตามไป เมืองใดต้อนรับม้านั้นเป็นอันดี ก็ถือว่าเป็นการอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น แต่ถ้าไม่ต้อนรับก็ถือว่าไม่ยอมอ่อนน้อม กองทัพก็จะทำลายเมือง และแว่นแคว้นให้ถึงกับพินาศไป เมื่อม้าวิ่งไปครบหนึ่งปี ก็นำม้าสำคัญกลับบ้านเมือง และทำพิธีฆ่าม้านั้นเสียเป็นอันสุดสิ้นพิธีอัศวเมธ และดินแดนที่ได้จากการปล่อยม้าให้วิ่งไปหนึ่งปีนั้น ก็มากพอที่ผู้ทำพิธีจะเป็นเจ้าโลกได้ โดยเหตุที่การทำพิธีอัศวเมธ นำความเดือดร้อนมาให้แก่ผู้อื่นดังนี้ ในวรรณคดีไทยจึงถือว่า การปล่อยม้าอุปการหรือม้าอัศวเมธนั้นเป็นการแผ่อำนาจบาตรใหญ่ จึงกล่าวว่า "ทำปล่อยม้าอุปการเที่ยวพาลเขา" |
|
![]() |
พรรคการเมืองพรรคแรกของไทย ผมอยากทราบว่าพรรคการเมืองพรรคแรกของไทยคือพรรคอะไร (somnukka@school.net.th) |
พรรคการเมืองของไทยถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๔๘๙
โดยพรรคการเมืองพรรคแรกที่จัดตั้งขึ้น
คือ พรรคก้าวหน้า
ซึ่งผู้ริเริ่มจัดตั้งคือ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
แต่เนื่องจากในขณะนั้น
ยังไม่มีการประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมือง
ดังนั้นพรรคก้าวหน้าจึงยังมิได้จดทะเบียนพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ
จวบจนกระทั่งวันที่ ๒๖
กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘
ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลสงคราม
ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง
พ.ศ. ๒๔๙๘
ขึ้นเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
จึงได้มีการจัดตั้ง
และจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้น
โดยในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๑
มีจำนวนถึง ๓๐ พรรค
และนับจากนั้นเป็นต้นมา
พรรคการเมืองของไทย
ก็ได้มีการจัดตั้ง
และยุบเลิกมาโดยตลอด
ขณะเดียวกันก็มีการยกเลิก
และประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมืองหลายฉบับ สำหรับข้อมูลจำนวนพรรคการเมืองของไทยในปัจจุบัน (ณ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๓) มีพรรคการเมืองของไทยที่ได้รับการจดทะเบียน ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๒๔ และยังดำเนินการอยู่เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๕ พรรค (ในจำนวนนี้เป็นพรรคการเมือง ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัด ๙ พรรค) มีพรรคการเมืองที่ได้รับจดแจ้ง การจัดตั้งตาม พ.ร.บ. พรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๓ พรรค และมีพรรคการเมืองที่รับจดแจ้งการจัดตั้งตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๔๑ พรรค รวมทั้งสิ้นขณะนี้ มีพรรคการเมืองทั้งที่ได้จดทะเบียนแล้ว และจดแจ้งการจัดตั้งเป็นจำนวน ๕๖ พรรค ท่านที่ต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ect.go.th |
|
![]() |
ความเห็นเรื่องฟันธง ได้อ่านคำตอบเรื่อง "ฟันธง" จากซองคำถามในสารคดี ฉบับที่ ๑๘๙ ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าฟันธงมาจากวิธีตัดสินกีฬาประเภทศิลปะการต่อสู้ ซึ่งมีหลายประเภท ที่ใช้ธงเป็นอุปกรณ์ในการตัดสิน และคำว่า "ฟันธง" นี้ก็มีการใช้ในหมู่นักกีฬา เช่น "อย่างนี้น่าจะฟันธงได้เลย ไม่น่าจะต้องถามข้างสนามอีก" คือถ้ากรรมการเห็นว่าอาจจะมีการกระทบถูก แต่ไม่แน่ใจ กรรมการจะสั่งให้หยุดด้วยการชูธงเป็นสัญญาณ แล้วปรึกษากรรมการรองที่ประจำอยู่ตามมุมสนาม ถ้าเห็นว่าควรได้คะแนน ก็จะตัดสินโดยการชี้ธงไปทางฝ่ายที่ได้คะแนน แต่ถ้ากรรมการเห็นการกระทบถูกอย่างชัดเจน ไม่มีข้อสงสัย ก็มีสิทธิ์ตัดสินได้เลย โดยไม่ต้องสอบถามกรรมการคนอื่น กรรมการจะชูธงแยกนักกีฬา แล้วชี้ธงลงมาทางฝ่ายที่ได้คะแนน อาการชูธงขึ้นแล้วชี้ธงลงมาต่อเนื่องกันนี้ มองดูคล้ายการ "ฟันธง" อาการตัดสินแบบ "ฟันธง" จึงหมายถึงกรณีที่เห็นชัดเจน สามารถตัดสินได้ทันที โดยไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งมีความหมายตรงกับที่นำมาใช้กันในปัจจุบัน คิดว่าคำนี้น่าจะเริ่มใช้ในมหาวิทยาลัยมาก่อน เพราะปรกติกีฬาประเภทนี้ ไม่ค่อยมีคนดู ยกเว้นกองเชียร์ของมหาวิทยาลัย ที่ไปเชียร์พวกของตน พวกกองเชียร์ได้ยินสำนวน "ฟันธง" แล้วจำมาใช้กันจนแพร่หลาย (ณัฐ แจ้งสนิท) |
ขอบคุณคุณณัฐสำหรับข้อมูลที่แตกต่าง "ซองคำถาม" ขอเสนอข้อมูลไว้ ณ ที่นี้ เผื่อจะมีผู้อ่านท่านอื่น ๆ ช่วยกันเพิ่มเติมขัอมูล และเราคงจะได้ข้อสรุปสักวัน |
[ วิริยะบุคส์
| มีอะไรใหม่
| เช่าสไลด์
| ๑๐๘
ซองคำถาม | สั่งซื้อหนังสือ
| WallPaper
]
สงวนสิทธิ์ ตามกฏหมาย
CopyRight. All rights reserved.