สนับสนุน

vote support

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ

>>   เด็กควรได้รับการคุ้มครอง ให้พ้นจากการกระทำ ที่รุนแรงทุกรูปแบบ

>>   ทุกวันนี้แม้ครูที่ลงโทษเด็ก ด้วยการตีจะมีอยู่น้อยคน แต่ครูส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ มักลงโทษเด็กด้วยอารมณ์ และรุนแรงเกินกว่าเหตุ การยกเลิกการลงโทษเด็ก ด้วยการตี จะช่วยหยุดการกระทำ ที่รุนแรงของครูเหล่านี้ได้

>   การให้เด็กสำนึกผิด ด้วยการทำกิจกรรม น่าจะก่อให้เกิดผลด ีต่อตัวเด็ก ต่อโรงเรียน และต่อสังคม มากกว่าการลงโทษ ด้วยความรุนแรง

 

“เหตุผลที่ผมแก้ไขระเบียบการลงโทษใหม่ มีสามประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก คือ เรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิเด็ก ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมโลก และรัฐธรรมนูญใหม่กำลังให้ความสำคัญ แต่สังคมไทยที่ผ่านมายังไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้มากนัก โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองเด็ก ให้พ้นจากการกระทำที่รุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งจากครอบครัว สังคม และสถานศึกษา สังคมไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสังคมโลก เราจึงควรเน้นเรื่องนี้ให้มากขึ้น

“ประเด็นที่สอง ในการปฏิรูปการศึกษา เราอยากให้เด็กรักที่จะเรียนหนังสือด้วยตัวของเขาเอง โดยไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับ มีความสนุก เพลิดเพลินในการเรียน ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่า สถานศึกษาเป็นบ้านหลังที่สอง และครูทุกคนเป็นเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเขา ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วครูทุกคนมีวิญญาณ และสำนึกของความเป็นครูอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไป ครูมีปัญหาซับซ้อนมากขึ้น บางครั้งครูมีอารมณ์หงุดหงิดจากทางบ้าน ก็มาระบายออกกับเด็กที่โรงเรียน ด้วยการเฆี่ยนตี หากเราห้ามไม่ให้ครูลงโทษเด็กด้วยวิธีการที่รุนแรง ก็น่าจะเป็นการเตือนสติ ให้ครูเกิดความยั้งคิดได้บ้าง และเมื่อครูเลิกตีเด็กโดยใช้อารมณ์ เด็กก็จะอยากไปโรงเรียนมากขึ้น

“ประเด็นสุดท้าย ทุกวันนี้แม้ครูที่ลงโทษเด็กด้วยการตีจะมีอยู่น้อยคนแล้วก็ตาม แต่เราพบว่าครูไม่น้อยกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มนี้มักจะลงโทษเด็กด้วยอารมณ์ และลงโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ อย่างเช่นกรณีครูที่ใช้กีตาร์ตีเด็ก หรือกรณีครูที่สุพรรณบุรีเฆี่ยนเด็ก ๑๐๘ ที การออกคำสั่งห้ามครูไม่ให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี จะช่วยยุติการลงโทษด้วยวิธีรุนแรง และไร้เหตุผลของครูเหล่านี้ได้

“ผมคิดว่าไม่มีใครได้อะไรเลย จากการทำโทษเด็กด้วยวิธีรุนแรง ถ้าครูลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง เช่นเด็กชกกันแล้วครูลงโทษเด็กด้วยการเฆี่ยนตี เด็กก็จะซึมซับวิธีการแก้ปัญหา ด้วยความรุนแรงไว้ในตัว และเมื่อโตขึ้น เด็กก็จะใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาต่อไป แต่ถ้าเราลงโทษเด็ก โดยให้ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ให้เขาตระหนัก และซึมซับในหน้าที่พลเมือง จากการปฏิบัติจริง เช่น เมื่อเด็กกระทำความผิด เขาควรต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไป ด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เช่น ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ เก็บเศษกระดาษ หรือทำงานในเชิงสร้างสรรค์ เด็กก็จะมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และได้เรียนรู้โลกความจริงภายนอกมากขึ้น เพราะเมื่อเขาอยู่ในสังคมภายนอก ถ้าเขาทำความผิด เขาก็จะต้องรับผิดชอบต่อความผิด ที่ทำลงไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่บทลงโทษในสังคมจริง จะรุนแรงกว่าในโรงเรียนหลายเท่า

“กลุ่มที่ยังยึดติดกับสุภาษิตที่ว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ เพราะเขากลัวว่าถ้าไม่ตีแล้วต่อไปเด็กจะไม่กลัวครู ดื้อด้าน แต่ผมเชื่อว่าเด็กทุกคน มีวุฒิภาวะต่อการรับรู้เหตุผลที่ครูจะบอก ถ้าครูมีเหตุผลที่ดีพอ เด็กก็จะรับฟัง อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เล่าให้ผมฟังเมื่อหลายวันก่อน เขาเล่าว่าที่ประเทศของเขา ไม่มีการใช้ไม้เรียวมาตั้งแต่สมัยเขาเป็นเด็กแล้ว ถ้าเด็กนักเรียนคนไหนดื้อซ้ำซาก ครูจะใช้วิธีเรียกเด็กคนนั้นมาหา แล้วเอาไม้เรียวตีมือตนเองให้เด็กเห็น โดยให้เหตุผลกับเด็กว่า การที่เด็กยังดื้ออยู่แสดงว่าครูสอนไม่ดี เขาตีมือตัวเองจนกระทั่งเด็กร้องไห้ เพราะสงสารครู และสัญญาว่าจะไม่กระทำผิดอีก

“ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่แวดล้อมตัวเด็กเต็มไปด้วยความรุนแรง ตั้งแต่อยู่ในครอบครัว เมื่อก่อนพ่อแม่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน โยนภาระให้พี่เลี้ยงหรือโรงเรียนอนุบาล บางครอบครัวพ่อแม่ทะเลาะกัน ในบ้านเต็มไปด้วยความรุนแรง พอไปโรงเรียนก็เจอความรุนแรงจากครูที่โรงเรียนอีก ผมไม่อยากเห็นสังคมที่ใช้ความรุนแรง อยากให้เด็กได้รับแต่สิ่งที่เป็นความอ่อนโยน เอื้ออาทรกันมากกว่า ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ถ้าเลิกใช้ไม้เรียวแล้วสังคมจะดีขึ้น ความรุนแรงจะลดลง แต่ผมเชื่อว่าในแนวทางใหม่ หลักของเหตุและผลน่าจะดีกว่า การให้เด็กสำนึกผิดด้วยการทำกิจกรรม น่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อตัวเด็ก ต่อสถานศึกษา และต่อสังคมมากกว่าการลงโทษด้วยความรุนแรง ซึ่งไม่มีใครได้อะไรเลย

“สำหรับมาตรการควบคุม ไม่ให้ครูใช้ความรุนแรงรูปแบบอื่น เรามีคณะกรรมการของโรงเรียน ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาการลงโทษของครู ว่าเหมาะสมกับเด็กหรือไม่ เช่น ถ้าครูให้เด็กประถม ๑ ทำกิจกรรมที่หนักเกินอายุ ครูก็จะมีความผิดทางวินัย อย่างไรก็ตาม ระเบียบการลงโทษนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จเลย หากขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน เราอยากให้ผู้ปกครอง สื่อมวลชน และองค์กรท้องถิ่นเข้ามาร่วมตรวจสอบตรงนี้ด้วย เพราะเราคงไม่สามารถตรวจสอบครูกว่า ๗ แสนคนจากสถานศึกษากว่า ๔ หมื่นแห่งได้ว่าคนไหนละเมิดคำสั่งนี้บ้าง

“บางท่านอาจมองว่า สังคมบ้านเรายังไม่พร้อม จะใช้วิธีการลงโทษรูปแบบใหม่ แต่ผมคิดว่าการเริ่มต้นย่อมดีกว่าการไม่เริ่มต้นอย่างแน่นอน เพราะสังคมจะพร้อมก็ต่อเมื่อ มีระเบียบกติกาออกมา แล้วสังคมก็ปรับตัวเข้าหา แม้ว่าช่วงเริ่มต้นอาจมีปัญหาบ้าง เรื่องความไม่พร้อม ความไม่คล่องตัว แต่ถ้าเราไม่กล้าหาญเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่วันนี้ มัวแต่ถามว่าพร้อมหรือยัง แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับที่เราจะได้เริ่มต้น

“ผมเชื่อว่า เมื่อโลกเปลี่ยน วัฒนธรรมก็ต้องเปลี่ยน วิธีคิดก็ต้องเปลี่ยน ไม่มีวัฒนธรรมทางความคิดใดหรอกครับที่ถูกต้องตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า วิธีคิดและวัฒนธรรมที่ทางกระทรวงศึกษาธิการต้องการสร้างขึ้นมาใหม่ จะสอดรับกับรัฐธรรมนูญ และแนวทางปฏิรูปการศึกษา ที่ต้องการให้เด็กเติบโตขึ้นมา บนความรักความอบอุ่น และความเอื้ออาทรอย่างแน่นอน”

คัดค้าน

vote object

รศ. ดร. สมพงษ์ จิตระดับ
ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษา เพื่อเด็กด้อยโอกาส
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

>>   ไม้เรียวเป็นเหมือน ดาบสองคม ปัญหาเรื่องนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่ไม้เรียว แต่อยู่ที่ครู ซึ่งเป็นคนใช้ไม้เรียว

>>   การยกเลิก การใช้ไม้เรียว โดยไม่มีมาตรการอื่น มารองรับ ไม่ได้ทำให้ปัญหา หมดไป แต่กลับยิ่งทำให้ ปัญหาซับซ้อน และรุนแรงมากขึ้น

>>   สังคมไทยมีเด็ก ที่มีปัญหาหลายระดับ ในเด็กที่เพิ่งเคยทำความผิด หรือไม่ใช่เด็กที่มีปัญหา ซับซ้อนมากนัก ไม้เรียวยังเตือนสติเขาได้

“ผมไม่เห็นด้วยกับมาตรการยกเลิกไม้เรียว เพราะผู้วางนโยบาย มองแต่ด้านสิทธิเด็กเพียงด้านเดียว ไม่เข้าใจว่าเนื้อแท้ของการศึกษาคืออะไร ไม่เข้าใจระบบหลักสูตร ไม่เข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ได้มองความพร้อมด้านอื่น ๆ และสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยเลย

“ในอดีต ครูบาอาจารย์ เคยเป็นเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็ก ไม้เรียวเคยเป็นสัญลักษณ์ ที่ควบคู่กับความเป็นคนดี มีศีลธรรม ครูที่ดีจะมีไม้เรียวธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากความรัก ความเข้าใจ ความใกล้ชิดผูกพันที่ครูมีต่อลูกศิษย์ เด็กจะรู้ว่าถ้าทำผิดครูจะตี เพราะครูอยากให้เขาเป็นคนดี เด็กจะรักและกลัวครูไปในตัว เวลาเด็กถูกตี เด็กจะรู้ว่าครูตีด้วยความรัก แต่ปัจจุบันครูจำนวนมากเข้ามาในอาชีพนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เต็มใจ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ครูเหล่านี้จะใช้ไม้เรียวในทางที่ผิด จนกลายเป็นกระบวนการถ่ายทอดความรุนแรง จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นอันตรายมาก ไม้เรียวจึงกลายเป็นดาบสองคม ซึ่งขึ้นอยู่กับคนใช้ไม้เรียว ว่าจะใช้ไปในทางใด

“การยกเลิกไม้เรียวเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป แต่กลับจะทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น ในรูปแบบที่ซับซ้อน และรุนแรงกว่าเดิม เพราะต้นตอของปัญหายังคงมีอยู่ ครูที่ชอบลงโทษเด็ก โดยไม่มีเหตุผล อาจหาวิธีลงโทษที่คนอื่นมองไม่เห็น เช่น หยิกตรงรักแร้ เพราะไม่มีใครเห็นรอยแผล ทำร้ายร่างกายให้บอบช้ำภายใน ใช้ธูปจี้ผิวหนังเด็ก ใช้วาจาเสียดสีให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรือให้ทำกิจกรรมที่หนักเกินไป เช่น สั่งให้เด็กวิ่งรอบสนาม ๑๐๐ รอบ หรือถางหญ้ากลางแดด สิ่งเหล่านี้เป็นความรุนแรง ที่แฝงมากับอำนาจที่ยังดำรงอยู่ ซึ่งผมคิดว่ามันจะยิ่งอันตราย และหาทางออกยากขึ้น

“ถ้าคุณยกเลิกมาตรการไม้เรียว และหันมาใช้มาตรการใหม่ พร้อมกันทั่วประเทศ ปัญหาที่จะตามมาก็คือ ครูจะไม่สามารถควบคุม หรือดูแลเด็กได้ทุกคน เพราะในความเป็นจริง ระดับความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนห่างกันมาก คุณบอกว่า ต้องการให้ครูใช้จิตวิทยาแทนไม้เรียว แต่คุณมีสิ่งเหล่านี้ทดแทนไม้เรียวแล้วหรือยัง เช่น พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่น่าสนใจ เพิ่มสื่อการสอนที่เหมาะสม หรือเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนให้มากขึ้น ถ้าคุณยังไม่มีสิ่งเหล่านี้ เวลาเด็กเบื่อหน่ายห้องเรียน อยากหนีโรงเรียน คุณจะให้ครูใช้จิตวิทยา กี่ร้อยจำพวกควบคุมเด็ก ผมไม่ได้หมายความว่า ครูต้องใช้ไม้เรียวควบคุมเด็ก เหมือนควบคุมนักโทษ เพียงแต่มันเป็นสัญลักษณ์เตือนใจ ไม่ให้เด็กกระทำผิดเท่านั้น เพราะเด็กบางคนเมื่อรู้ว่าครูไม่สามารถใช้ไม้เรียวตีพวกเขาได้ เขาก็จะยิ่งรู้สึกได้ใจ และอาจก้าวร้าวมากขึ้น ทีนี้ถ้าครูเกิดโมโห และต้องการลงโทษเด็กแต่ตีเด็กไม่ได้ ครูก็จะหาวิธีลงโทษแบบอื่นอย่างที่ว่ามา ปัญหาก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิม

“นอกจากนี้เราต้องไม่ลืมว่า สังคมไทยมีเด็กที่มีปัญหาหลายระดับ ตั้งแต่ปัญหาน้อยไปจนถึงปัญหามาก เด็กที่มีปัญหามาก ถูกไม้เรียวสิบครั้งร้อยครั้งก็ยังมีปัญหา เราก็ต้องใช้วิธีการอื่น แต่เด็กที่เพิ่งเคยทำผิด หรือไม่ได้เป็นเด็กที่มีปัญหาซับซ้อนมากนัก รวมถึงเด็กที่ถูกเพื่อนชักชวนให้เสียคน ถ้าถูกไม้เรียวเข้าสักครั้ง เด็กอาจจะได้สติ ไม้เรียวจึงหยุดเด็กบางกลุ่มได้ แต่ถ้าคุณเลิกใช้ไม้เรียวทันทีทันใด เด็กกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่ความไม่ดีมากขึ้น หรือปัญหาของเด็กที่เคยอยู่ในระดับหนึ่ง ก็อาจพัฒนาไปเป็นปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น

“ผมเชื่อว่าไม้เรียวยังมีประโยชน์ และมีคุณค่าหากเรารู้จักใช้ ผมยังอยากให้มีการใช้ไม้เรียว เพียงแต่เราต้องมีขั้นตอนในการใช้ เช่น เมื่อเด็กทำผิด หนีโรงเรียน หรือแอบสูบบุหรี่ แทนที่เราจะเฆี่ยนตีเด็กเลย เราก็ให้เด็กเซ็นรับทราบปัญหาก่อน และอธิบายให้เขาฟังว่า ถ้าเขาทำผิดอีกครั้ง ทางโรงเรียนจะแจ้งให้พ่อแม่รับทราบ และหากยังกระทำผิดครั้งต่อไป ทางโรงเรียนจะตี ทั้งนี้ต้องแจ้งให้พ่อแม่รับรู้ด้วย เพื่อป้องกันครูตีเด็กพร่ำเพรื่อ ทุกวันนี้เราให้อิสระกับครูในการตีลูกเรามากเกินไป ผมคิดว่าเป็นการเสี่ยงมาก ที่เราปล่อยให้ครูตีลูกหลานของเรา โดยขาดวิจารณญาณ ดังนั้นเวลาครูจะตีเด็ก พ่อแม่ควรจะได้รับรู้ด้วย

“ถ้าเราเชื่อว่าไม้เรียวสร้างคนให้เป็นคนดีได้ ทำไมเราถึงปฏิเสธคุณค่าที่เรามีอยู่ แล้วมองหาเปลือกของวัตถุอื่นเข้ามาเสริม ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่มีอยู่ ให้เกิดความสมดุลและลงตัว เติมสิ่งที่ขาดหายไปจากระบบการศึกษาไทย ผมเชื่อว่าเด็กไทยจำนวนไม่น้อย จะไม่เป็นเด็กดื้อด้าน พูดไม่เข้าใจ และจะเติบโตเป็นเด็กที่มีเหตุผลได้ หากครูมีไม้เรียวธรรมชาติ คือความรัก ความเข้าใจ และความปรารถนาดีต่อเด็กอยู่ในตัว

“ถ้าทางกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการยกเลิกระเบียบการลงโทษแบบเก่าจริง ๆ ผมคิดว่ากระทรวง ควรจะถามความคิดเห็นของเด็กแต่ละโรงเรียนก่อน ว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง เขาจึงควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ทุกวันนี้แต่ละโรงเรียนมีกรรมการนักเรียน สภานักเรียน อยู่แล้ว เราก็ให้เขาจัดประชุมปรึกษาหารือระหว่างครู นักเรียน ผู้ปกครอง เลยว่า โรงเรียนของเขาต้องการรูปแบบการลงโทษแบบไหน เพราะเด็กจะรู้ปัญหาในโรงเรียนของตัวเอง ถ้าเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าการลงโทษด้วยการตี จะหยุดเพื่อนของเขา ไม่ให้กระทำความผิดได้ ก็ควรเสนอให้โรงเรียนใช้วิธีการนี้ แต่อาจกำหนดวิธีการลงโทษแบบเป็นขั้น ๆ ไป แต่ถ้าเด็กเห็นว่า ครูของเขาตีเด็กโดยไม่มีเหตุผล ก็ควรเสนอให้ยกเลิกการใช้ไม้เรียว แล้วกำหนดวิธีการลงโทษแบบอื่นที่เหมาะสมขึ้นมาแทน ถ้าทางกระทรวงศึกษาธิการต้องการทำ เพื่อสิทธิเด็กจริง ก็ควรฟังเสียงของเด็กก่อน เป็นอันดับแรกใช่ไหมครับ”