tanong3แสดงว่าทุกวันนี้ร้านหนังสือที่อยู่ตามถนนมีอนาคตที่ไม่สดใสนัก
ในต่างจังหวัดที่การแข่งขันค้าปลีกทั่วไปไม่รุนแรงนัก ยังพอเป็นไปได้อยู่  แต่ในเขตกรุงเทพฯ เริ่มอยู่ยากขึ้น  ยิ่งถ้าอยู่ใกล้ศูนย์การค้าหรือซูเปอร์เซ็นเตอร์ ก็คงลำบาก เพราะวิถีสัญจรของคนเปลี่ยนไปมาก  คนจะเข้ามาซื้อของในห้างเพื่อความสะดวก  ร้านหนังสือชื่อดังหลายแห่งที่เปิดตามตึกแถว ตอนนี้ทยอยปิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน  ถ้าไม่ได้เป็นร้านเด่นจริง ๆ คงยากที่จะอยู่รอดได้

หมายความว่าร้านหนังสือในอนาคตจะต้องเป็นร้านหนังสือที่เป็นแบรนด์ใหญ่ ๆ ในศูนย์การค้าเท่านั้น
แนวโน้มก็คงเป็นอย่างนั้น ส่วนแบ่งการตลาดของร้านเครือข่าย (คือร้านที่มีจำนวน ๒ สาขาขึ้นไป ภายใต้แบรนด์เดียวกัน) จะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ  ปี ๒๕๔๖ มีสัดส่วนยอดขายสูงถึง ๕๒ เปอร์เซ็นต์ของร้านทั้งหมด  และเนื่องจากร้านเครือข่ายจะมีข้อได้เปรียบร้านค้าอิสระร้านเดียวมาก ๆ ตรงที่ว่าเขามีโอกาสพัฒนาต่อเนื่อง  ได้ทดลองความคิดที่จะปรับปรุงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  เพราะเมื่อเปิดหนึ่งสาขาแล้ว เขามองเห็นปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นกับสาขาที่หนึ่ง เขาก็ได้บทเรียนที่จะไปปรับปรุงสาขาที่ ๒ ต่อได้  และถ้าทำได้ผลดี ก็มีกำลังใจที่จะกลับมาปรับปรุงสาขาแรก ๆ  ขณะที่ร้านเดี่ยวที่มีอยู่สาขาเดียว จะปรับปรุงก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มไหม

ดังนั้นแนวโน้มร้านประเภทเครือข่าย หรือเป็นเชน จะมีการเติบโตที่แข็งแรงมากขึ้น เติบโตเร็วขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่า  และแนวโน้มคงไม่ใช่เป็นการเปิดแต่ในศูนย์การค้าเท่านั้น

คนที่ฝันอยากจะมีร้านหนังสือของตัวเอง ฟังเรื่องนี้แล้วดูไม่ค่อยมีอนาคตเลย
จริง ๆ แล้วร้านหนังสือยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เพราะยังมีน้อยมากในภาพรวม  แต่จะอยู่รอดได้ดี ต้องใช้ฝีมือมากขึ้น  ต้องทำการบ้านมากขึ้น ไม่ใช่อาศัยโชค  ถ้าทำเลไม่ดีนี่ก็เสร็จเลยตั้งแต่แรก  ถ้าทำเลดี ยังต้องมีฝีมืออีก  ที่พูดมาทั้งหมดผมหมายถึงร้านหนังสือทั่วไปนะ  อย่างร้านหนังสือขนาดสองคูหาจะสามารถบรรจุหนังสือได้อย่างเก่ง ๕,๐๐๐ ถึง ๑ หมื่นชื่อเรื่องต่อร้าน  ขณะที่แต่ละปีมีหนังสือออกใหม่หมื่นชื่อเรื่อง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับคนเลือกสินค้าเข้าร้าน ว่าเลือกเก่งขนาดไหน เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการมากขนาดไหน  เขาจะสร้างเสน่ห์ได้ตรงไหนบ้างที่จะทำให้ลูกค้ามาใช้บริการที่เขาได้บ่อยพอ  เขาจะบริหารรายรับรายจ่ายและจุดรั่วไหลอย่างไรจึงจะอยู่รอดได้  นั่นหมายความว่าเจ้าของร้านต้องใส่ใจที่จะทำให้เกิดจุดต่าง จุดเด่น และกลุ่มเป้าหมายที่เขาต้องการดึงมานั้นเยอะมากพอที่เขาจะอยู่รอดได้ด้วย

อีกส่วนหนึ่งที่ยังมีอนาคต คือร้านหนังสือเฉพาะทาง หรือเน้นทางใดทางหนึ่งมากกว่าปรกติ  อย่างนี้เจ้าของร้านก็ต้องสร้างร้านอย่างที่อยากจะเป็นให้ได้ดี จนลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แล้วที่สุดร้านก็จะอยู่รอดได้

ผมยังรู้สึกว่าทุกวันนี้จำนวนร้านหนังสือในเมืองไทยมีน้อยมาก แม้จะเปิดกันต่อไปอีก ๓ ปีก็ยังมีน้อยอยู่  และส่วนใหญ่ถ้าเปิดอยู่ตามศูนย์การค้า มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งสะดวกพอที่จะมา  ผมคิดว่าร้านหนังสือควรจะเป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อแบบหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้ยังเปิดช่องว่างอยู่ และรายย่อยมีโอกาสไม่แพ้รายใหญ่

แต่คุณทนงพูดว่าร้านหนังสือตามห้องแถวแนวโน้มไม่ค่อยดี
คือมีโอกาสอยู่รอดได้ยากขึ้นถ้าไปอยู่ใกล้ร้านใหญ่ที่ทำได้ดี  แต่ถ้าเป็นชุมชนอื่นที่ห่างไกลออกไป ซึ่งคนไม่สะดวกที่จะไปศูนย์การค้าหรือซูเปอร์เซ็นเตอร์ได้บ่อย ๆ  อย่างนั้นร้านชุมชนอาจจะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์นี้ได้ และต้นทุนของร้านชุมชนแบบนี้อาจจะต่ำพอที่จะอยู่รอดได้  อนาคตของร้านประเภทนี้ยังมีได้อีกเยอะ ต้นทุนต้องพอเหมาะที่จะกลายเป็นร้านสะดวกซื้อ  อันนี้ก็เหมือนแผงลอยหนังสือพิมพ์ที่ขายพ็อกเกตบุ๊กด้วย ก็อยู่รอดได้  ถ้าชุมชนนั้นใหญ่พอที่เขาจะอยู่รอดได้

จริง ๆ แล้วความที่หนังสือใหม่ออกมามาก และไม่มีร้านไหนรองรับการวางได้ทั้งหมด ทำให้ร้านหนังสือแต่ละร้านสามารถสร้างจุดต่างออกจากกันได้มาก  บางร้านที่มีจุดเน้นหรือมีจุดเด่นเฉพาะที่เหมาะสม หรือมีความหลากหลายของหนังสือในบางสาขามากกว่าร้านอื่น  และเจ้าของร้านหรือพนักงานเอาใจใส่ มีหัวใจบริการ มีอัธยาศัยดี ก็มีโอกาสสร้างความแตกต่างและสร้างเสน่ห์ได้มากกว่าร้านที่เป็นเครือข่าย หรือเป็นเชน ซึ่งมักจะเป็นรูปแบบเหมือน ๆ กันด้วยซ้ำ

การที่สำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ มาทำร้านหนังสือเอง มันทำให้สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่ไม่มีร้านหนังสือของตัวเองเสียเปรียบมากหรือไม่  เพราะร้านหนังสือก็ต้องโปรโมตหนังสือในเครือของตัวเองเป็นอันดับแรก  ไปจนถึงการชี้นำให้คนที่เข้ามาในร้านสนใจหนังสือของสำนักพิมพ์ตัวเองก่อน
แน่นอนว่าสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่มีหนังสือขายได้ช้าเป็นส่วนใหญ่ จะอยู่รอดได้ยากขึ้น  สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่มีหนังสือเด่นอย่างชัดเจนและขายได้  ผมว่าพวกนั้นไม่เดือดร้อน และไม่ต้องเป็นห่วงแทน เพราะร้านหนังสือยังต้องการเอาหนังสือพวกนั้นไปวางขายอยู่ดี

ระบบร้านหนังสือขนาดใหญ่เขาจะต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำกำไร เขาก็จะต้องมีระบบแพ้คัดออกที่ค่อนข้างเป็นระบบ เพื่อทำให้เขาจัดการงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม หรือลดการสูญเสียบางอย่างลง  เขาก็ต้องเลือกว่าหนังสืออะไรที่เดินหรือไม่เดิน  ถ้าคิดว่าไม่เดินก็อาจไม่รับมาวางเลยตั้งแต่แรก  หรืออาจจะลองวางดู ถ้าไม่เดิน ก็ค่อยแพ้คัดออกไป อันนี้เป็นกลไกธรรมดา  เหมือนกับใครที่จะขายกับซูเปอร์เซ็นเตอร์ ก็ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ใช่แบรนด์อันดับต้น ๆ เขาไม่เลือกคุณแน่

การที่สำนักพิมพ์เปิดร้านหนังสือเอง ผมคิดว่าไม่ได้เป็นข้อเสียหาย  ก็ถ้าเขาหาที่วางไม่ได้มากพอ และเขามีสินค้าในมือเยอะ เขาก็อาจจะต้องเปิดร้านของสำนักพิมพ์ตนเองเพื่อรองรับหนังสือของตนเอง ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือเสียหายอะไร

แต่ถ้าร้านหนังสือนั้นเปิดโอกาสให้สำนักพิมพ์อื่น ๆ เอาหนังสือมาวางขายด้วย ก็ยิ่งดีกับส่วนรวม เพราะมันเท่ากับช่วยให้คนอื่นมีช่องทางการขายเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าตั้งร้านขึ้นมาเพื่อจะขายหนังสือของฉันเป็นหลัก ก็ขอให้ชี้แจงทิศทางให้คนอื่นรู้ก็แล้วกันว่าจะเอาอย่างนั้น  สำนักพิมพ์อื่นจะได้ไม่ต้องไปหวังมากว่าจะเป็นช่องทางการขายของตนมากนัก  สำหรับสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือที่อาจจะเคลื่อนไหวช้าหรือเป็นหนังสือเฉพาะทาง ก็ต้องยอมรับว่าช่องทางร้านหนังสือทั่วไปเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นช่องทางที่ดีสำหรับตนเอง ก็ต้องหาช่องทางอื่น

ทุกวันนี้ผมจะขอร้องเพื่อน ๆ ในวงการทั้งร้านหนังสือ ผู้จัดจำหน่าย และสำนักพิมพ์ด้วยกันว่า  เราโต โตได้ แต่ต้องจัดระบบเพื่อทำให้ร้านหนังสือขนาดเล็กอยู่รอดได้ด้วย  เพราะนั่นคือทางออกของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กหรือสำนักพิมพ์เฉพาะทางที่ยอดขายอาจจะไม่เดินเร็วนัก แต่ต้องเปิดให้พวกนี้อยู่รอดให้ได้  อย่าทำให้พวกเขาล้มหายตายจาก เพราะไม่เช่นนั้นวงการหนังสือจะขาดความหลากหลาย  หนังสือดี ๆ ที่ในสังคมควรมีแต่เคลื่อนไหวไม่เร็ว จะหายไปจากตลาด  มีแต่ร้านเล็ก ๆ เหล่านี้ที่เป็นทางออกสำหรับสำนักพิมพ์อื่น ๆ ที่หาทำเลลงสินค้าเขาไม่ได้  ฉะนั้นต้องให้อยู่รอด  ไม่งั้นหนังสือประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยจะหายไป หนังสือวรรณคดีจะหายไปหมด ร้านหนังสือเฉพาะทางรองรับหนังสือเหล่านี้ได้ ต้องหนุนให้เขาอยู่รอดได้ ต้องให้เขามีกำลังใจดำเนินธุรกิจและปรับปรุงต่อไป  และพยายามขอร้องว่าไม่อยากให้ร้านใหญ่ ทำอะไรที่ทำให้ร้านเล็ก ๆ อยู่รอดไม่ได้  อย่าให้เกิดสงครามราคา เพราะถ้าเล่นเกมแล้ว ร้านเล็กจะกลายเป็นผู้ร้าย…อ้าว ทำไมคุณไม่ลดราคาเหมือนร้านใหญ่ล่ะ แสดงว่าคุณเอากำไรเยอะเหรอ  จากร้านที่เคยเป็นร้านดี ๆ ร้านหนึ่ง จะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาลูกค้าได้เหมือนกัน  ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าที่ไหนก็ลดกัน แล้วทำไมร้านพวกนี้ลดไม่ได้  ซึ่งจริง ๆ เขาอาจไม่พร้อมจะลด เพราะถ้าลดเมื่อไหร่ ขาดทุนเมื่อนั้น

นโยบายการขายหนังสือของร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์เป็นอย่างไร
เราอาจจะต่างจากร้านอื่นบ้าง แม้เราจะเป็นสำนักพิมพ์ เป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือ แต่เราไม่ต้องการให้ร้านหนังสือของซีเอ็ด ขายแต่หนังสือของซีเอ็ด  จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในร้านหนังสือของซีเอ็ดเอง มีหนังสือที่ซีเอ็ดผลิตเองเพียงแค่ไม่เกิน ๔ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  เรามักจะเรียกตัวเองว่าบริษัทอุดมการณ์ เพราะเรากำลังทำความฝันของเรา และความฝันของเราต้องไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย ต้องเป็นในเชิงสร้างสรรค์  เราฝันว่าร้านเราจะเป็นร้านที่รองรับธุรกิจหนังสือโดยรวมทั้งหมด ไม่ใช่ร้านที่มารองรับธุรกิจหนังสือของสำนักพิมพ์ซีเอ็ด แต่ทำไมหนังสือของซีเอ็ดเองซึ่งมีสัดส่วนแค่ ๔ เปอร์เซ็นต์ขายได้เยอะ เป็นเพราะเราเลือกหนังสือมากหน่อย  เราไม่ได้ต้องการออกหนังสือเยอะ ๆ  แต่เราออกหนังสือที่ขายได้ในระยะยาว  นี่คือกลยุทธ์ธุรกิจของสำนักพิมพ์เรา ทำให้ชนิดของหนังสือน้อย แต่ทำจำนวนยอดขายเยอะได้  และจะเห็นว่าแม้แต่สำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือคอมพิวเตอร์แข่งกับซีเอ็ด เราก็ช่วยเขาขายเต็มที่เลย  ตรงนี้หลายคนคงจะสบายใจกับร้านซีเอ็ด  ผมเชื่อว่าสำนักพิมพ์ในภาพรวมคงรู้ว่าซีเอ็ดเป็นคนยังไง เพราะตลอด ๓๐ ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยทำอะไรที่เสียชื่อเสียงหรือเสียจริยธรรมธุรกิจ  นโยบายของเราค่อนข้างชัดเจน เราต้องการเป็นบริษัทตัวอย่างที่ดีที่สุดบริษัทหนึ่งเท่าที่เราจะทำได้  อะไรที่เราเคยด่าคนอื่น อะไรที่ไม่ดีกับวงการโดยรวม และไม่ดีกับประเทศ เราก็จะไม่ทำ

เรารู้ว่าหนังสือแต่ละเล่มมันคือชีวิตของสำนักพิมพ์นั้น ๆ  ถ้าเราเป็นสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แล้วหนังสือของเราไม่ได้รับการสนับสนุนจากร้านหนังสือ เราก็คงรู้สึกหมดหวังที่จะคิดสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมา  ผมต้องการให้ร้านซีเอ็ดเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้สำนักพิมพ์ทั้งหลายเกิดกำลังใจขึ้น อยากจะผลิตผลงานดี ๆ มากขึ้น  แต่เนื่องด้วยพื้นที่ร้านมีจำกัด เราจึงไม่สามารถวางหนังสือของทุกคนได้ยาวนานนัก   แต่เราพยายามเปิดโอกาสให้คุณได้ลองวางขายก่อนในพื้นที่ที่ดีที่สุดของร้าน  แต่ถ้าวางแล้วขายไม่ได้ ก็คงต้องคืนไป  เพราะไม่งั้นเราจะไม่มีที่รองรับหนังสือใหม่ ๆ อีก  เราก็ใช้วิธีแพ้คัดออก โดยพิจารณาตามความสนใจของลูกค้าในแต่ละสาขานั้น ๆ จริง ๆ  อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าถ้าเอาออกแล้วจะต้องเอาออกจากทุกร้านของเรา  ร้านไหนที่มีกลุ่มเป้าหมายสนใจเพียงพอ ก็จะยังคงวางอยู่  หรือถ้าร้านไหนมีพื้นที่มาก ก็อาจวางได้ตลอดไป  ดังนั้นทุกสาขาจะมีสินค้าไม่เหมือนกัน

ในร้านซีเอ็ดเอง เราถือว่าเป็นข้อห้ามและถือว่าเป็นการผิดวิธีการปฏิบัติ ถ้าสาขาใด ๆ ก็ตามไม่เอาหนังสือของสำนักพิมพ์อื่น ๆ มาวางในพื้นที่เด่นก่อน เราจะถือว่าเป็นข้อบกพร่องในการทำงานทันที  เพราะนี่คือชีวิตของคนเขียนคนหนึ่ง ชีวิตของสำนักพิมพ์หนึ่ง

ในธุรกิจภาพยนตร์มี ๓ วันอันตราย ถ้าหนังไม่ทำเงินก็จะถูกถอดออกจากโรง  ในธุรกิจหนังสือ กี่วันอันตราย
เรียกว่า ๓ เดือนอันตรายแล้วกัน ถ้าขายไม่ได้เลยก็เก็บออกหมด  เราจะพยายามให้มีโอกาสถึง ๓ เดือน  ถ้าขายไม่ได้เลย  ผมว่าทุกสำนักพิมพ์คงเข้าใจ ว่ามันถึงเวลาแล้ว เพราะลูกค้าของเราอาจไม่ตรงกับหนังสือของคุณ  ถ้าขายไม่ได้เลยวางต่อไปหนังสือก็มีแต่จะช้ำเสียหายมากขึ้น  สู้โยกย้ายไปวางในที่ที่อาจขายได้จะดีกว่า

หนังสือใหม่มีโอกาสอยู่บนชั้นหนังสือของร้านซีเอ็ดได้กี่วัน
ถ้าเป็นหนังสือที่มีคนอ่านกว้าง จะอยู่ในพื้นที่แนะนำหนังสือใหม่ทั้งหมด  นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าหนังสือใหม่ออกมาเยอะขนาดไหน  ถ้าเยอะ พวกที่เก่ากว่าก็จะถูกย้ายไปอยู่ในชั้นเฉพาะของเขาตามหมวด โดยมีป้ายหนังสือใหม่ติดตามไปด้วย เพื่อทำให้คนที่ไปเดินในชั้นนั้นเห็นได้ง่ายขึ้นว่าหนังสือเล่มไหนที่เพิ่งออกใหม่  โดยทั่วไปเราจะพยายามให้หนังสือใหม่นี้อยู่บนชั้นแนะนำได้พ้นสัปดาห์หนึ่ง  ฉะนั้นหนังสือส่วนใหญ่จะถูกตัดสินใน ๑ สัปดาห์แรกว่าจะขายดีติดอันดับหรือไม่  หรือจะได้วางที่ชั้นนี้ต่อไปหรือไม่  ส่วนหนังสือที่อยู่ในชั้นปรกติ ถ้า ๓ เดือนขายไม่ได้เลย ออกแน่นอน  แต่ถ้าขายได้น้อย  ก็จะถูกปรับสต็อกให้พอเหมาะกับยอดขาย  ถ้าขายได้น้อยมาก ก็อาจจะถูกโชว์สัน เพื่อเปิดที่ให้หนังสือที่ขายได้ดีกว่าได้มีโอกาสโชว์หน้าปก  ธรรมชาติของระบบงานจะเป็นอย่างนั้น

ข้อมูลของปี ๒๕๔๖ ระบุว่ามีหนังสือออกใหม่ ๒๘ ชื่อเรื่องต่อวัน  คิดว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ของพ็อกเกตบุ๊กในบ้านเราหรือไม่
ผมยังไม่อยากใช้คำว่าฟองสบู่นะ  แม้จะดูเหมือนมีหนังสือออกมามาก แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น  ในเมืองไทยยังขาดหนังสือดี ๆ อยู่อีกเยอะ เหมือนอย่างที่ผมเคยพูดเล่น ๆ ว่ามองไปทางไหนก็มีช่องโหว่ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าหนังสือที่ออกมาเยอะ บังเอิญมันเยอะในบางแนวมากไป คนก็อาจไม่พร้อมจะซื้อทุกเล่ม ใครทำหนังสือโดนใจกลุ่มเป้าหมาย ก็อยู่รอดไป  ผมคิดว่าถ้าสำนักพิมพ์พยายามสร้างจุดต่างของตัวเอง จุดที่ลูกค้ามีความต้องการ และพยายามหลบกัน  ไม่ใช่ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า me too  คือเห็นใครขายดีก็ทำหนังสือแนวนั้นออกมาขายบ้าง  ผมว่าอย่างนั้นก็มีโอกาสจะเป็นฟองสบู่อย่างที่ว่า คือมีมากไป  ถ้า me too แล้วไม่แน่จริงก็อาจจะพลาดได้  อย่างนิตยสาร สารคดี มีจุดเด่นที่ชัดเจน มีจุดที่ลูกค้าเห็นแล้วอยากซื้อ ก็ออกมาได้เรื่อย ๆ

หนังสือที่ตลาดยังมีความต้องการ แต่ยังไม่มีใครทำ หรือยังไม่มีใครรู้ ยังมีอยู่อีกเยอะครับ ไม่จำเป็นต้องมาแข่งกันทำ

คิดว่าสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ควรจะปรับตัวยย่างไรในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงขนาดนี้
ผมว่าทุกคนต้องหาจุดยืนและภาพพจน์ของสำนักพิมพ์ตัวเองให้ชัดเจนขึ้น เพื่อทำให้ลูกค้าไว้วางใจในสำนักพิมพ์ ไม่ต้องเลือกมากนัก ซื้อได้เลย เพราะเชื่อถือในคุณภาพ แนวคิด หรือแนวการเลือกหนังสือของ บ.ก. หรือของสำนักพิมพ์นั้น และต้องพยายามพัฒนาโปรดักต์ของตัวเอง  ผมถือหนังสือเป็นโปรดักต์อยู่เสมอ ถ้าสำนักพิมพ์พยายามพัฒนาโปรดักต์ตัวเองให้มีความแตกต่างหรือตรงใจลูกค้ามากขึ้น ผมว่าโอกาสประสบผลสำเร็จมีสูง  ธุรกิจสำนักพิมพ์ ถ้าทำสำเร็จจริง ๆ ความสามารถในการทำกำไรมันสูง  ถึงแม้จะมีหนังสือเพียงแค่ชื่อเดียวก็ตาม  สำนักพิมพ์บางแห่ง ผมเห็นพิมพ์หนังสือแค่ชื่อสองชื่อ แต่ขายระเบิดเลย  สำนักพิมพ์เล็ก ๆ แต่สร้างหนังสือแค่ไม่กี่ชื่อเรื่อง ขายดีตลอดกาล  ขายทีเป็นแสนเล่ม  อย่างหนังสือ ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์  พิมพ์ร่วม ๒๐ ครั้งแล้ว  ผมว่าสำนักพิมพ์ที่แม่นจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องพิมพ์หนังสือเยอะ  ทำแค่ไม่กี่ชื่อ แต่ตรงใจ ก็ประสบผลสำเร็จได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องมาแข่งกันทำหนังสือขายดีเท่านั้น  ผมว่าแล้วแต่วัตถุประสงค์ของสำนักพิมพ์  สำนักพิมพ์บางแห่งต้องการทำหนังสือที่เป็นตลาดเจาะจงจริง ๆ  และพอใจกับจำนวนที่ไม่ต้องเยอะ  เพราะจุดสำคัญอาจจะไม่ได้อยู่ที่การทำกำไรหรือยอดขาย  แต่อยู่ที่ว่าอยากทำหนังสือดี ๆ ให้เกิดขึ้น ขอเพียงแค่ไม่ขาดทุนก็พอใจ  ผมว่าแล้วแต่วัตถุประสงค์ของสำนักพิมพ์ อย่างสำนักพิมพ์มติชนหรือสำนักพิมพ์เมืองโบราณที่ผมชื่นชมมาก เขาพิมพ์หนังสือด้านประวัติศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งถ้าเขาไม่พิมพ์ ใครจะพิมพ์  แต่แน่นอน พวกนี้เป็นส่วนที่มีอย่างอื่นมาเลี้ยง  นอกจากนั้นสำนักพิมพ์ควรเป็นพันธมิตรกับผู้ค้าปลีกด้วย เพื่อให้ได้รับการสนับสนุน และแสวงหาความร่วมมือในการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่เสียค่าใช้จ่ายต่ำ  และได้ผลดีที่สุด

คนไทยอ่านหนังสือประเภทไหนมาก
ถ้าพูดเป็นตัวเงิน ไม่ได้พูดถึงจำนวนเล่ม  ในปี ๒๕๔๖ คนไทยซื้อหนังสือหมวดเด็ก (เด็กเล็ก) มากที่สุด  ถัดมาเป็นหมวดวรรณกรรม  หมวดนี้กว้าง ไม่ได้หมายถึงนิยายอย่างเดียว แต่รวมถึงเรื่องสั้น สารคดี และวรรณกรรมเยาวชนด้วย  เลยทำให้ยอดของหมวดนี้โตขึ้น และเติบโตค่อนข้างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมีหนังสือเด่นอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาปลุกกระแสหนังสือวรรณกรรมเยาวชน  หมวดหนังสือคู่มือเรียน-สอบก็ยังเป็นหมวดที่ขายได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่เรายังให้ความสำคัญกับการสอบ  ส่วนหนังสือ how-to ทั้งคอมพิวเตอร์และบริหารธุรกิจ ก็ขายดีถัดมา

การที่มีงานสัปดาห์หนังสือระดับชาติปีละสองครั้ง มีผลกับร้านหนังสือหรือไม่
จากข้อมูลที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทำการสำรวจความเห็นของคนเข้าชมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อต้นปี ๒๕๔๖ ประมาณ ๑,๒๐๐ คน  ถามว่าเขาซื้อหนังสือในงานแล้ว จะไม่ซื้อหนังสือจากร้านหนังสืออื่นหรือเปล่า  คำตอบคือไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าจะซื้อจากร้านหนังสือน้อยลงกว่าเดิม ส่วนใหญ่ยังคงแวะไปร้านหนังสืออื่นตามปรกติ  เท่าที่เราเก็บตัวเลขมา ยอดขายทั้งหมดในงานรวมกันคงไม่เกิน ๒๐๐ ล้านบาท  ถ้าคิดเทียบกับขนาดของตลาดหนังสือโดยรวมทั้งหมดประมาณหมื่นล้านบาทในปี ๒๕๔๖   ผลกระทบอย่างมากก็ไม่กี่สิบล้านบาท  มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของยอดขายใหญ่ทั้งหมด   คนที่ไปงานสัปดาห์หนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อหนังสือออกใหม่เป็นหลัก แต่ไปซื้อหนังสือที่อาจจะหาตามร้านไม่เจอ  งานสัปดาห์หนังสือเหมือนการระดมหนังสือของสำนักพิมพ์ทั้งหลายมาโชว์ให้เห็น มีความหลากหลายมากกว่า หาหนังสือที่เขาต้องการได้ง่ายกว่า  อันที่จริงร้านหนังสือที่น่าจะตอบได้ดีที่สุดว่ากระทบหรือไม่ คือร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ เพราะเรามีสาขาอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ตอนนี้มากกว่า ๘๐ สาขา  สิ่งที่กระทบเพียงแค่นิดเดียว  แต่การที่คนจำนวนมากได้ไปงานสัปดาห์หนังสือ ได้เห็นหนังสือดีๆ  เยอะ ๆ ผมว่ามันช่วยกระตุ้นให้เขามีอารมณ์อยากอ่านต่อเนื่องมากกว่า  และผมเชื่อว่าจากจุดนั้น ร้านหนังสือจะได้รับประโยชน์ต่อเนื่อง เช่นเขาไปแล้ว เขาพาลูกไปด้วย ลูกเขาจะรักการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น