มองทิศทางวงการธุรกิจหนังสือไทยเป็นอย่างไร
ผมมองว่าจำนวนผู้ผลิตหนังสือยังไม่มากนักในความรู้สึกผม เพราะอัตราหนังสือออกใหม่ของเรายังน้อยกว่าเกาหลีหรือญี่ปุ่นตั้งเยอะ เรายังแค่หมื่นปกต่อปี แต่อย่างของเกาหลีในปี ๒๕๔๔ ออกใหม่ ๓ หมื่นกว่าปก อย่างญี่ปุ่นออกใหม่เกือบ ๗ หมื่นปก หรือจีนก็เกือบ ๙ หมื่นปกต่อปี นอกจากนั้นเรายังมีหนังสือหนาแน่นเพียงแค่บางประเภท แต่อีกหลายประเภทยังไม่มีใครทำเลย หรือทำน้อยเกินไป จึงยังมีช่องว่างให้ผู้มาใหม่เข้ามาได้อีก
ผมเชื่อว่าอนาคตของธุรกิจหนังสือยังคงโตอยู่ ปัจจุบันตลาดหนังสือโดยรวมทั้งพ็อกเกตบุ๊ก นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ที่ขายผ่านระบบร้านหนังสือ มียอดขายประมาณปีละหมื่นล้านบาท ในอนาคตควรจะมียอดขาย ๔-๕ หมื่นล้านบาทถึงจะเรียกว่าน่าพอใจ คำถามคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ขนาดของตลาดโตได้อย่างที่ว่านั้น
ผมคิดว่าวิธีที่จะทำให้ขนาดของตลาดหนังสือใหญ่ขึ้น ก็คือ หนึ่ง ทำให้กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน ได้มีโอกาสมาสัมผัสหนังสือไม่ว่าจะโดยผ่านระบบการศึกษาในโรงเรียน หรือการส่งเสริมการอ่าน เพื่อให้ได้มีโอกาสเห็น ให้ได้มีโอกาสอ่าน ผมเชื่อว่าจำนวนหนึ่งจะรักการอ่านขึ้น สถิติที่ผ่านมาระบุว่าถ้าใครคนหนึ่งรักการอ่านหนังสือเป็นประจำแล้ว จะอ่านหนังสือไปตลอดชีวิต นี่เป็นเรื่องของการสร้างฐานคนอ่านระยะยาว สอง ควรจะต้องมีร้านหนังสือกระจายในเชิงที่เป็นร้านสะดวกซื้อมากขึ้น เพื่อทำให้เมื่อเขามีเวลาว่าง หรือเดินไปไหนก็แล้วแต่ ได้มีโอกาสแวะเข้าร้านหนังสือได้ง่าย ๆ สาม หนุนให้ร้านหนังสือขนาดเล็กยังคงอยู่รอดได้ และส่งเสริมให้มีร้านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้ ตรงนี้เป็นกลยุทธ์ที่ต้องหาทางผลักให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วอนาคตหนังสือจะโตขึ้นแน่นอน
ทำธุรกิจหนังสือ คิดว่าใครคือคู่แข่งสำคัญ
เรามองคนที่ทำธุรกิจหนังสือเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่เคยมองใครเป็นศัตรู อย่างการที่เรามาเป็นร้านหนังสือ เราก็ช่วยทำให้คนที่ทำหนังสือดี ๆ ได้มีโอกาสที่จะขายดีขึ้น ผมว่านั่นเป็นความสุข และทำให้มีคนเข้ามาอยู่ในวงการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครสักคนหนึ่งล้มหายตายจากไป ผมถือว่าเป็นความไม่สบายใจอย่างยิ่งของผม
มีเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง เราไปเปิดร้านหนังสือในจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าเจ้าของร้านหนังสือแห่งหนึ่งในจังหวัดมาบอกว่าแม่เขาคิดมากจนไม่สบายจากการที่ซีเอ็ดมาเปิดร้านหนังสือ เขาบอกว่าตลาดหนังสือที่นี่เล็กมาก ไม่น่ามาเปิดเลย เขากลัวว่าแม่ของเขาจะเป็นอะไรขึ้นมา ตอนนั้นเราฟังเราก็เครียดตามเหมือนกัน ถึงแม้เราจะบอกว่าไม่ต้องห่วง ตลาดมันใหญ่ขึ้นแน่นอนตามประสบการณ์ของเรา ไม่ได้กระเทือนกันมากนักหรอก แต่แน่นอนว่าพูดไปก็เท่านั้น เขาก็มีสิทธิ์จะไม่เชื่อ ช่วงนั้นผมจึงบอกทีมงานไปว่า ให้งดกิจกรรมส่งเสริมการขายใด ๆ ที่อาจทำให้เขาไม่สบายใจออกให้หมด เพื่อให้เขาสบายใจขึ้น แล้วให้ทีมงานเรานำกระเช้าไปเยี่ยมและพบกับทั้งคุณแม่และครอบครัว บอกให้คุณป้าสบายใจว่า เรามาที่นี่เพื่อต้องการให้ตลาดหนังสือของจังหวัดนี้โตขึ้น มาช่วยกระตุ้นให้คนในจังหวัดอ่านหนังสือกันมากขึ้น เราไม่มีเจตนามาทำร้ายใคร และไม่ต้องห่วง เรามาขออยู่แบบเป็นลูกเป็นหลาน เป็นเพื่อน เป็นน้อง เราจะไม่ทำอะไรก็ตามที่จะทำให้ร้านนี้เดือดร้อน ขอให้สบายใจ แล้วปัจจุบันสองร้านนี้ก็ขายได้ทั้งคู่ เพราะตลาดก็โตจริง ทุกวันนี้คุณป้ายังเอาผลไม้มาฝากน้อง ๆ พนักงานที่สาขานี้
นี่เป็นวัฒนธรรมของซีเอ็ดอย่างหนึ่งครับ เราจะทำงานที่สร้างสรรค์ และให้คนในสังคมนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
อย่างที่บอกว่าเราถือว่าร้านหนังสือเป็นร้านสะดวกซื้อ พฤติกรรมของคนทุกวันนี้คือ ร้านไหนที่ไปสะดวกเขาก็ซื้อร้านนั้น ยกตัวอย่างในศูนย์การค้าบางแห่ง เรามีร้านของเราถึงสี่ร้าน ถ้าเรามีความคิดว่าพอเปิดร้านสองแล้วจะแย่งยอดขายร้านหนึ่งไปครึ่งหนึ่ง ก็อาจหมายความว่าตลาดไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกว่าไม่ใช่ เช่น คนที่ชอบไปซื้อของซูเปอร์มาร์เกต เขาก็จะไม่ค่อยเดินชั้นอื่น คนที่เดินชั้น ๔ ก็เป็นอีกกลุ่มเป้าหมายหนึ่ง ซึ่งเราพิสูจน์มาเยอะแล้ว เราถึงบอกว่าร้านหนังสือต้องเปิดเยอะ เพื่อให้คนสะดวกซื้อ หรือแม้แต่พัทยา เรากำลังจะเปิดสาขาที่ ๕ แต่เดิมที่คนเคยบอกว่าร้านหนังสือที่พัทยา ใครเปิดก็เจ๊ง จนมีหลายคนเป็นห่วงเรา แต่เราก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เราไม่ได้เปิดแค่ร้านเดียวนะ เรากำลังจะเปิดสาขาที่ ๕ นั่นหมายถึงตลาดที่พัทยาเติบโตอย่างต่อเนื่อง
รักษาความสมดุลอย่างไรระหว่างความคิดในเชิงอุดมคติ กับบริษัทที่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์และต้องมีผลกำไรติดต่อกันตลอดเวลา
ผมคิดว่าการที่เราเข้าตลาดหลักทรัพย์ มันเป็นเพราะเราพยายามระดมเงินทุนเพื่อทำให้ความฝันของเราเกิดขึ้นได้ เป็นแค่วิธีการให้สิ่งที่เราฝัน เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และเติบโตได้เร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องมีวิธีการจูงใจคนที่มีความคิดแบบเดียวกันให้กล้ามาทำงานชิ้นนี้ นั่นหมายความว่า หนึ่ง เขาควรจะต้องมีรายได้ที่เหมาะสมกับสภาพสังคมรอบข้างเขา แน่นอนบางคนมีอุดมการณ์ แต่บางทีเจอแรงกดดันจากสังคมรอบข้าง ทำให้จำเป็นต้องลาออกไปเพื่อทำงานเหมือนชาวบ้านเขา ผมว่าถ้าเราสามารถทำให้เขาได้มีโอกาสทำงานที่เขารัก เป็นงานที่เขารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์กับสังคม และทำให้เขาได้รายได้ที่เหมาะสม คนนั้นก็พร้อมที่จะทุ่มเทชีวิตจิตใจทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้ได้ ยิ่งงานของเราเป็นงานบุกเบิก ยิ่งต้องใช้เวลา ความอึด ถ้าเราทำให้เขาเห็นภาพว่าสุดท้ายปลายทางเป็นอย่างไรแล้ว เราก็จะหาคนอย่างนี้ได้เยอะขึ้น ขณะเดียวกัน สิ่งที่เราทำจะยั่งยืนระยะยาวได้ ก็ต่อเมื่อมันเลี้ยงตัวเองได้ เติบโตได้ คืออยู่ในสภาพธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับผู้ลงทุน
แน่นอนว่าคนที่อยู่ในองค์กรที่เติบโต มันสนุกกว่าคนที่อยู่ในองค์กรที่ไม่โต หรือวัน ๆ เอาแต่พยายามควบคุมค่าใช้จ่าย ลดคน ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิดหรอก ถ้าองค์กรเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง คนที่อยู่ในองค์กรก็สนุก กล้าคิด และกล้าลอง ถ้าเราทำให้กลไกนี้มันสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ คือเอาสิ่งที่เรารักมาทำเป็นงานอาชีพ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อาชีพนี้มีกำไรต่อเนื่องและเติบโตได้ คนที่อยู่ในองค์กรนี้ก็จะอยู่ได้ยาวขึ้น พร้อมที่จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ พัฒนาการมันก็จะเกิดขึ้นได้ มากกว่าที่จะทำได้ ๓-๔ ปีก็หมดแรง ลาออกไป รับคนใหม่มา ลองกันใหม่อีก พัฒนาการมันไม่ต่อเนื่อง ถ้าทำให้ตรงนี้กำไรได้ต่อเนื่อง แน่นอนการระดมทุนมันก็ง่ายขึ้น ทุกคนก็พร้อมจะเอาเงินมาลงทุนให้ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีพอ ๆ กับอย่างอื่น และถ้าบังเอิญทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติด้วย ก็ยิ่งน่าลงทุนเพิ่มขึ้นอีก คือได้ทั้งเงินและได้ทั้งความภูมิใจที่ได้มีส่วนในการทำให้ธุรกิจนี้เกิดขึ้น
เราถึงบอกว่าเราต้องการยืนแบบแข็งแรง เราต้องการเป็นบริษัทตัวอย่างที่ดี เพราะเราต้องการให้เราถูกต้องตามกฎหมาย และทำให้ทุกคนที่อยู่ในองค์กรภูมิใจ ว่าเราได้ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์สังคมได้ แต่คุณต้องทำให้มันอยู่รอด นอกเหนือจากอยู่รอด คุณต้องทำให้มันโต นอกเหนือจากโตธรรมดา คุณต้องให้ได้กำไรดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยทั้งหมด และมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดี เพราะนี่คือวัตถุประสงค์ของเรา ซึ่งผมคิดว่าเราบรรลุตรงนี้ได้ระดับหนึ่ง ในฐานะที่ซีเอ็ดเองก็มีกำไรต่อเนื่อง มีผลประกอบการที่ดี และถือว่าเป็นหุ้นที่เรียกว่า value stock คือเป็นหุ้นเพื่อการลงทุนจริง ๆ ได้ ตรงนี้คงเป็นคำตอบได้ว่าเราสร้างสมดุลได้เป็นอย่างดีระหว่างงานอุดมการณ์ และการเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ช่วงฟองสบู่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถือเป็นวิกฤตสำคัญหรือไม่
เป็น แต่วิกฤตตอนนั้นเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจากคู่ค้าคนสำคัญ คือคู่ค้าของเรามีปัญหาการเงิน ทำให้ไม่สามารถเอาเงินมาคืนเราได้ ขณะเดียวกันลูกค้าของเราอีกจำนวนหนึ่ง สถานการณ์การเงินก็ค่อนข้างง่อนแง่น จนเราก็ไม่กล้าส่งสินค้าไปขาย ยอดขายลดลง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นวิกฤตการณ์ทางการเงิน ทำให้ปีถัดมาซีเอ็ดขาดทุน และช่วงที่ผ่านมาเราอาจจะประมาทเกินไป ไม่ได้ควบคุมทางการเงินดีเพียงพอ ผมว่ามันก็เป็นบทเรียนที่ดี ที่ทำให้หลังจากนั้นเรารู้ว่าโลกนี้ไม่แน่นอน ขนาดธนาคารชั้นนำที่น่าจะมั่นคงที่สุดยังมีปัญหาต้องแก้ เราควรจะบริหารสภาพคล่องทางการเงินของเราให้ดี ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรกู้เงินธนาคาร เพราะในยามที่ธนาคารเดือดร้อน เขาก็มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเงินเราคืนเร็วกว่ากำหนด ผมว่าตรงนั้นเป็นบทเรียนที่ดีที่ทำให้ซีเอ็ดเองต้องคิดเรื่องการเงินเพิ่มขึ้น และบทเรียนนั้นก็ทำให้ซีเอ็ดปรับตัวขนานใหญ่ จนทำให้ตอนนี้เรากลายเป็นธุรกิจสิ่งพิมพ์รายหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องทางการเงินดีมาก
ทุกวันนี้รายได้หลักมาจากไหน
๘๐ เปอร์เซ็นต์มาจากธุรกิจร้านหนังสือ หรือธุรกิจค้าปลีกของเรา นอกจากซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ก็มี Book variety อีกชื่อหนึ่ง มีศูนย์หนังสือตามมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง ธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยสยาม ก็มีชื่อแตกต่างกันไป อีก ๑๔ เปอร์เซ็นต์มาจากการผลิตหนังสือและการจัดจำหน่ายหนังสือให้แก่สำนักพิมพ์อื่น ที่เหลือมาจากรายได้โฆษณา และการจัดกิจกรรมอื่น ๆ
แสดงว่าทิศทางการเติบโตเปลี่ยนไปจากการเป็นผู้ผลิตหนังสือ ผู้จัดจำหน่าย กลายเป็นร้านหนังสือ
ตรงนี้อาจจะถือว่าเป็นจุดเด่นอันหนึ่งของเราก็ได้ คือซีเอ็ดไม่ยึดติดกับอะไร ขอเพียงแต่ให้บรรลุเป้าหมายอย่างสร้างสรรค์ ยกตัวอย่าง เมื่อก่อนเราเป็นผู้บุกเบิกทางด้านธุรกิจหนังสือคอมพิวเตอร์ จนเราเป็นหมายเลขหนึ่ง แต่เมื่อเราเห็นคนอื่นทำได้ดีและมีคนอยากทำเยอะ เราก็คุยกันภายในว่า งั้นเราค่อย ๆ ถอยไปทำหนังสือหมวดอื่น เพราะยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะเหลือเกินที่ยังไม่มีคนทำ ทำไมต้องมาแข่งกัน อันนี้คือแนวคิดของซีเอ็ด เราพร้อมจะเปลี่ยนบทบาทของเราได้โดยไม่มีการยึดติด
ตอนนี้ดูเผิน ๆ เราจะเทน้ำหนักมาทางการเป็นร้านหนังสือช่วยขายหนังสือให้เพื่อนสำนักพิมพ์อื่น ๆ มากขึ้น เพราะจำนวนร้านหนังสือในเมืองไทยยังมีน้อย แต่จริง ๆ แล้วการที่เรามีร้านหนังสือเป็นของตนเอง ก็ทำให้เพื่อน ๆ สำนักพิมพ์พิจารณาให้เราเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือมากขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่านอกจากเราจะต้องทำให้ร้านหนังสือของเราเติบโตแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ช่วยให้ร้านหนังสืออื่น ๆ เติบโตด้วยจากหนังสือที่เรารับผิดชอบทั้งหมด ส่วนทางสำนักพิมพ์ของเราก็ยังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีหนังสืออีกหลายส่วนที่ยังไม่มีคนทำ นั่นคือจริง ๆ แล้วเราเติบโตทุกด้าน เพียงแต่คนภายนอกจะมองเห็นผลงานที่เป็นร้านหนังสือง่ายกว่าอย่างอื่น และเห็นว่าเราเป็นร้านหนังสือซึ่งมีสัดส่วนยอดขายที่มากกว่า จึงดูน่าตื่นเต้นกว่าเท่านั้นเองครับ
ปีนี้ซีเอ็ดจะเปิดอีกกี่สาขา
ปีนี้คงจะเปิดอีกอย่างน้อย ๓๖ สาขาขึ้นไป และยังมีที่ต้องเปิดในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอีก ๑๑ สถานี ซึ่งกำลังคอยอยู่ว่าพื้นที่จะพร้อมให้เปิดได้เมื่อไร เราก็ขยายงานตามโจทย์ เมื่อต้นปีเราคิดว่าจะเปิดแค่ ๒๐ สาขา พอถึงกลางปี เราถูกบังคับให้ต้องเปิดอย่างน้อย ๓๖ สาขา เพราะศูนย์การค้าเกิดขึ้นใหม่ มีชุมชนเกิดขึ้น หรือมีศูนย์การค้าปรับปรุงใหม่ ทุกคนก็อยากให้มีร้านหนังสือดี ๆ เกิดขึ้นในชุมชนของเขา เขาก็มาขอให้เราเปิด หรือมาชวนให้เราไปเปิด
ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของซีเอ็ดคืออะไร
ซีเอ็ดมีปรัชญาในการเลือกดำเนินธุรกิจอยู่สามอย่าง หนึ่ง เราจะทำต่อเมื่อไม่มีคนทำ สอง เราจะทำต่อเมื่อเรื่องนั้นมีคนทำได้ดีแล้ว แต่ยังน้อยเกินกว่าความต้องการของตลาด และเขาไม่พร้อมจะทำมากกว่านั้น อย่างนี้เราจะเข้าไปทำเสริม แต่ต้องไม่ทำร้ายให้เขาล้มหายตายจากไปไหน เพราะเขาก็เหมือนเราที่ตั้งใจอยากทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้มีน้อยอยู่แล้ว อย่าไปทำให้มันน้อยลงไปกว่านั้น สาม มีคนทำออกมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเราจำเป็นต้องทำเสริม เพราะไม่งั้นสังคมอีกส่วนหนึ่งก็จะเสียหายจากการที่ไม่ได้เห็นสิ่งที่ดีกว่านั้น ฉะนั้นซีเอ็ดจะไม่ชอบงาน me too แต่ชอบงานบุกเบิก คืองานที่ไม่ค่อยมีคนทำ แต่เราก็ยอมรับว่า เราจะเหนื่อยมากกว่าคนปรกติหน่อย
ส่วนปรัชญาในการทำงานของซีเอ็ด คือ เราจะเอา อุดมการณ์มาทำเป็นวิชาชีพ โดยเราจะทำงานสร้างสรรค์ งานบุกเบิก อย่างมีความสุข ด้วยความเชื่อมั่นว่า พวกเราสามารถนำความฝันมาทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามและสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในสังคมไทย
ตรงนี้ดูจะไม่ค่อยเหมือนบริษัททั่ว ๆ ไป แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรของซีเอ็ดที่เรายึดถือมาตลอด ๓๐ ปี และปลูกฝังในครอบครัวของเราชาวซีเอ็ดกว่า ๑,๗๐๐ ชีวิต
แนวโน้มของกลุ่มซีเอ็ดในอนาคตจะเป็นอย่างไร
วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งของเราคือ เรามุ่งมั่นที่จะทำให้คนไทยเก่งขึ้น ผมว่าเรายังทำได้แค่เสี้ยวเดียวของฝันของเรา ลูกค้าที่เดินเข้าซีเอ็ด จ่ายเงินซื้อหนังสือ เดือนหนึ่งประมาณ ๒ ล้านคน ถ้าคิดเทียบกับ ๖๔ ล้านคน ถือว่าน้อยมาก ผมว่าโจทย์ของเราคือ ทำยังไงจะทำให้คนของเราเกือบ ๖๔ ล้านคนเก่งขึ้นเยอะ ๆ โดยไม่ต้องเดินเข้าร้านหนังสือก็ได้ เพราะหนังสือเป็นเพียงแค่สื่อรูปแบบหนึ่งของการส่งผ่านความรู้หรือข้อมูลเท่านั้นเอง เราเพิ่งทำได้แค่สื่อสิ่งพิมพ์เท่านั้นเอง การทำให้คนไทยเก่งขึ้น มีวิธีอื่นอีกเยอะแยะ เหมือนอย่างที่ซีเอ็ดเองตอนนี้ก็เริ่มต้นไปเปิดโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่เตรียมอนุบาลถึงมัธยม ๖ โดยร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรจำนวนหนึ่ง เป็นอันหนึ่งของการทดลองความคิดบางอย่าง เราพยายามสร้างเด็กกลุ่มหนึ่งให้เก่งกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กในเมืองไทย ทั้ง ๆ ที่เด็กที่เรารับมาไม่ใช่เด็กที่ถูกคัดเลือกว่าเก่ง เรารับเอาเด็กทั่วไปมาเรียน ถ้าเราสามารถพัฒนาให้เขาเก่งขึ้นกว่าเด็กโดยเฉลี่ย เยอะ ๆ ได้ โดยเก่ง หรือมีทักษะในทิศทางที่ประเทศต้องการ มันคงเป็นแบบจำลองหนึ่งของการสร้างให้คนไทยเก่ง
เราตั้งโจทย์เล่น ๆ ว่า เรามีทางจะสร้างเด็กไทยให้เก่งขึ้น ๒๕,๐๐๐ คนต่อปีได้หรือไม่ ถ้าทำได้ ภายในไม่กี่ปีเราจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างคนเป็นแสนคน คนเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นไป ไม่ว่าเขาจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม เขาจะมีส่วนพัฒนาประเทศของเราให้มีเศรษฐกิจที่แข็งแรงและยั่งยืน และมีส่วนทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสุข
ซีเอ็ดกำลังคิดโครงการเหล่านี้อยู่ครับ