วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์
บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช : ถ่ายภาพ

interview01

ก่อนที่บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะได้รับการตีพิมพ์ ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจะร้าวฉานและรุนแรงมากขึ้นจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองหรือไม่

หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ๒ คนและบาดเจ็บหลายร้อยคน ดูเหมือนการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มเสื้อเหลืองกับกลุ่มเสื้อแดงจะเข้มข้นขึ้นทุกที

หลายคนภาวนาไม่อยากให้ฉากสงครามกลางเมืองในประเทศศรีลังกา รวันดา โคโซโว เกิดขึ้นในสังคมไทย

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก่อนที่คนในสังคมจะฆ่ากันอย่างเมามัน แต่ละฝ่ายจะพยายามโจมตี ปลุกระดมด่าทอ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นอมนุษย์ เป็นยักษ์เป็นมาร หรือพูดง่าย ๆ ว่าสร้างภาพให้อีกฝ่ายเลวร้ายเกินจริง เพื่อให้การใช้ความรุนแรงมีเหตุผลชอบธรรมรองรับ

ตัวอย่างสงครามกลางเมืองในประเทศรวันดาเมื่อปี ๒๕๓๗ ก่อนจะมีการเปิดฉากฆ่ากันระหว่างเผ่าฮูตูกับเผ่าตุตซี ต่างฝ่ายต่างก็ปลุกระดมทางสถานีวิทยุทุกวันว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน เป็นแมลงสาบ เป็นสัตว์นรก การบี้แมลงสาบจึงไม่บาป หลังจากนั้นก็เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตายไปหลายล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

แม้แต่ในสังคมไทยเอง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ก่อนจะมีการล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนนำไปสู่การฆ่าหมู่กลางเมือง ก็ได้มีการปลุกระดมผ่านสถานีวิทยุยานเกราะว่า พวกนี้ไม่ใช่คนไทย เป็นญวน เป็นคอมมิวนิสต์ ดังนั้น “ฆ่าคอมมิวนิสต์จึงไม่บาป”

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อ ๓๒ ปีก่อนกำลังจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางรอยร้าวในสังคมไทยที่นับวันจะร้าวลึกลงทุกที

วันนี้มีคำถามมากมายจากคนที่ไม่เลือกอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่า สังคมไทยกำลังดำเนินไปถึงจุดวิกฤตจนไม่มีหนทางจะยับยั้งแล้วหรือ

หรือสันติวิธีที่พูดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะเป็นเพียงพิธีกรรมบางอย่างซึ่งใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง

ดร. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บุกเบิกการเรียนการสอนวิชาความรุนแรงและการไม่ใช้ความรุนแรง นักวิจัยสันติภาพ และนักสันติวิธีคนสำคัญของไทย เคยกล่าวว่า

“ถ้าวันไหนที่สังคมไทยมีความรู้สึกว่าตัวกูบริสุทธิ์ดีกว่าเขาทุกอย่าง อีกฝ่ายหนึ่งเลวไม่มีที่ติเลย ข้อแรกมันไม่เป็นจริง ในโลกนี้ไม่มีมนุษย์แบบนี้ ไม่มีใครเลวบริสุทธิ์ ไม่มีใครดีบริสุทธิ์ ที่เห็น ๆ กันอยู่ก็ไม่ใช่อริยบุคคลกันทั้งนั้น ก็เป็นคนธรรมดา และเรากำลังทำให้คนรู้สึกว่าไอ้นี่มันเลวบริสุทธิ์ ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีทางให้อภัยกัน ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ทางออกมันก็เลยเป็นอย่างนี้”

สังคมไทยจะหาทางออกจากปัญหาความขัดแย้งอย่างไร ในขณะที่สถานการณ์เวลานี้กำลังบีบให้คนที่อยู่ตรงกลางต้องเลือกข้างกันแล้ว

ลองอ่านทัศนะของนักวิชาการที่พยายามมองโลกอย่างมีความหวังท่านนี้ เราอาจจะพบว่า สันติวิธี อาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่เหลืออยู่

อาจารย์คิดว่าสันติวิธียังเป็นคำตอบต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมขณะนี้หรือไม่
สมัยก่อนคนคิดเรื่องสันติวิธีเป็นแต่เสนอความเห็นว่าคนไทยควรใช้สันติวิธีด้วยเหตุผลนานาประการ ณ วันนี้ไม่เพียง “ควร” แต่มัน “จำเป็น” สำหรับสังคมไทย สังคมไทยน่าสนใจและแปลก คือ ประการแรก แนวความคิดเรื่องสันติวิธีแพร่ขยายไปในสังคมมาก มีคนนำไปใช้มากมายหลายเรื่อง กลายเป็นคำที่แพร่หลาย ประการที่ ๒ นอกจากการใช้คำแล้ว ในแง่การทำงาน การเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าใช้แนวทางสันติวิธี พันธมิตรฯ (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ก็บอกว่าตนเองใช้สันติวิธี สงบ อหิงสา อารยะขัดขืน ฝ่ายรัฐบาลทั้งที่มีกำลังในมือ โดยมากแล้วก็บอกว่าตัวเองใช้สันติวิธี ฝ่าย นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ก็พยายามบอกว่าตนเองใช้สันติวิธีด้วย กลายเป็นว่าทุกฝ่ายหันมาสนใจหรือบอกว่าตัวเองใช้สันติวิธี มีกิจกรรมจากทุกๆ ฝ่ายว่าใช้แนวทางสันติวิธี

เช่นอะไรครับ
ยกตัวอย่าง เราฟังคำปราศรัยของพันธมิตรฯ บางครั้งเวลาใครทำในสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะมีข้อเสนอบอกว่า ถ้าคนคนนี้มาเป็นพรีเซนเตอร์ขายสินค้า ก ข ค ง ก็เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ อย่าไปซื้อสินค้านั้น วิธีที่ใช้นี้ในทางตำรายอมรับว่าเป็นสันติวิธี คือการคว่ำบาตรไม่ซื้อสินค้าที่คนคนนั้นเป็นพรีเซนเตอร์แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย วิธีนี้ก็มีการใช้กันมาก

ฝ่ายรัฐบาลเอง แนวทางในการจัดการปัญหาส่วนมากก็พยายามใช้สันติวิธี ผมพูดโดยเข้าใจดีนะครับว่ามีคนตายไปกี่คน มีคนขาขาดบาดเจ็บไปแล้วกี่คนในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผมเข้าใจทั้งหมด แต่กำลังจะบอกว่าถ้าไม่มีพลังของสันติวิธีคอยค้ำเอาไว้ ลองจินตนาการดูว่าความรุนแรงจะไปไกลขนาดไหนเมื่อเผชิญหน้ากันถึงขนาดนี้แล้ว

ผมคิดว่าสังคมไทยน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่ามีความยืดหยุ่นอย่างประหลาดยิ่งหลายอย่าง แต่ก็มีต้นทุนของการทำงานเช่นนี้ กลายเป็นว่าสังคมก็จะล้าเหนื่อยกับอะไรทั้งหมด กลับกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมประกาศว่าตัวเองใช้สันติวิธีสิ จะรุนแรงเพียงใด มีที่ไหนที่ประชาชนเข้าไปยึดทำเนียบแล้วรัฐบาลไม่ใช้กำลังสลายและปราบโดยตรง แม้กระทั่งเหตุการณ์วันที่ ๗ ตุลาก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเข้าไปสลายคนที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบ ก่อนหน้านั้นมีความพยายามอยู่บ้าง ทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือไม่ ทำได้ถ้าอยากทำ แต่รัฐบาลไม่ทำทั้งที่ถืออาวุธอยู่ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าลึกๆ แล้วทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับแนวทางสันติวิธี ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องหาวิธีอยู่ด้วยกัน เผชิญหน้ากันด้วยความขัดแย้งโดยไม่ใช้กำลังหรือเลี่ยงที่จะปะทะกัน โดยระยะเวลาที่ยืดยาวขนาดนี้ ผมว่าน่าสนใจที่ยังไม่ตายกันมากกว่านี้ พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกฝ่ายใช้สันติวิธีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีนะครับ แม้แต่ในประวัติศาสตร์โลกก็มีน้อยมาก ต้องเป็นกลุ่มพิเศษจริงๆ อย่างกลุ่มศาสนาคริสต์บางนิกายที่เน้นแนวทางสันติวิธี ฮินดูบางสายอย่างศาสนาเชนที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตในระดับที่ไม่รับการฆ่าฟันเอาชีวิตใดๆ

interview02

ทำไมความรุนแรงถึงไม่เพิ่มดีกรีขึ้นมา
ผมคิดว่าความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ คือมีหลายวิธีในทฤษฎีสันติวิธีที่จะบอกว่าความก้าวหน้าของการต่อสู้ทางการเมืองอาจดูได้ตรงไหน ประเด็นที่เราดูคือเรื่องความชอบธรรม ในสังคมที่ความชอบธรรมมีความหมาย มีตำแหน่งแห่งที่ แสดงว่าสังคมนั้นไปไกลพอสมควร แล้วผู้คนในสังคมก็ตั้งข้อสังเกตว่าอะไรบ้างที่ไม่ชอบธรรม เช่น รัฐบาลมีกำลังอยู่ในมือจะไปปราบประชาชนที่อ้างว่าตัวเองไม่ถืออาวุธ ไม่ใช้กำลัง ใช้หลักการอหิงสาอะไรก็แล้วแต่ ถ้ารัฐบาลตัดสินใจทำ โอกาสชนะมีน้อยมากทั้งในประวัติศาสตร์ไทยและนานาประเทศ มีการศึกษาในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๐-๒๐๐๖ นับร้อยกรณีพบว่า ถ้าฝ่ายรัฐใช้กำลังกับอีกฝ่ายที่ไม่ถืออาวุธ สิ่งที่ตามมาคือโอกาสแพ้ของฝ่ายรัฐที่ใช้กำลังจะมีสูงกว่าปรกติ ๖ เท่า นี่เป็นผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ International Security Journal เล่มล่าสุด๑

หมายความว่าฝ่ายที่ใช้กำลังก่อนมีโอกาสแพ้
รัฐที่ใช้กำลังก่อนกับฝ่ายที่ใช้การต่อสู้โดยพลังประชาชนซึ่งไม่ใช้อาวุธเป็นหลักหรือไม่ได้ใช้อาวุธเลย มี ๒ แบบนะ ถ้าบอกไม่ใช้อาวุธเป็นหลัก คืออาจมีการใช้อาวุธอยู่บ้างบางส่วนถ้าไม่ใช้อาวุธสักอย่างเลย แน่นอนความชอบธรรมก็มีสูง กระนั้นก็ดี การที่ภาครัฐมีอาวุธเต็มอัตราศึกแล้วนำมาใช้ปราบประชาชน โอกาสที่รัฐแพ้จะมีสูงกว่า ๖ เท่า

ในไทยก็เช่นเดียวกัน รัฐมีกำลังทหาร มีปืน เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖, ๖ ตุลา ๑๙ หรือพฤษภา ๓๕ เคยเกิดมาแล้ว แต่ละเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน แต่เวลาที่รัฐใช้ความรุนแรงจะอยู่ต่อไปไม่ได้นาน ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนแปลง ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้อาจจะตระหนักถึงกติกานี้เหมือนกันว่าอยู่ที่ความชอบธรรม แล้วไม่ใช่แค่ความชอบธรรมในแง่ที่มา รัฐบาลนี้มีที่มาชอบธรรม มาจากการเลือกตั้ง เขาก็อ้างตรงนี้ แต่สังคมไทยไปไกลกว่านั้น ผมถึงถามว่าเรามาไกลไหม ทางหนึ่งมาไกลมาก วันนี้สังคมไทยไม่ได้ยอมรับเพียงว่าคุณมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น แต่หมายถึงวิธีที่คุณใช้อำนาจด้วย ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงไม่กล้าทำ ฝ่ายพันธมิตรฯ อย่างน้อยทางเทคนิคในการพูดก็ต้องบอกว่าตัวเองก็เป็นผู้ใช้สันติวิธี นปช. ก็ประกาศอย่างนี้เช่นกัน

เวลาเราดูภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา แน่นอนว่าเราเห็นคนถือปืน ถือมีด ถือไม้ ถือธงปลายแหลม มีของพวกนั้นอยู่จริง แต่อย่างน้อยในระดับใหญ่ผมว่าน่าสนใจ เพราะกติกาการต่อสู้อยู่ที่ความชอบธรรมที่คนในสังคมมอง และสังคมไทยมาถึงจุดที่ว่ามีคนมากมายชัดเจนว่าไม่เอาความรุนแรงแล้ว แต่ขณะนี้ปัญหาคือว่า ถ้านี่คือเกมสันติวิธี อย่างเช่นฝ่ายพันธมิตรฯ อ้างว่าตนเองสันติวิธี แล้วทำแบบนี้เป็นเวลานาน ก็เป็นการส่งสันติวิธีขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เป็นการผูกมัดตัวเองว่าถ้าอย่างนี้คือสันติวิธี ประชาชนจะยอมทนไหม สถานการณ์ที่เป็นอยู่แบบนี้จะยอมทนไหม

การที่สังคมไทยเรียนรู้เรื่องสันติวิธีอย่างที่อาจารย์บอกว่าได้ดีจนน่าแปลกใจ เป็นเพราะอะไร
ไม่ใช่อยู่ดีๆ เรียนรู้ได้ แต่เป็นองค์ประกอบของหลายสิ่ง ประวัติศาสตร์ของเราที่ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มา อธิบายแบบอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็บอกว่าเป็นเพราะเรามี “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม” ๒ หมายความว่าอย่างไร จริงอยู่ที่ผ่านมาเรามีรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่เป็นลายลักษณ์อักษร เปลี่ยนไปตามสภาพสังคมการเมืองที่มีอยู่ อาจารย์เสน่ห์ จามริก วิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับเป็นผลมาจากสัมพันธภาพทางอำนาจในสังคมในแต่ละยุคสมัย รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็สะท้อนสัมพันธภาพของช่วงเวลานั้น รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ก็คลี่คลายมาจากเหตุการณ์พฤษภา ๒๕๓๕ แต่อาจารย์นิธิชี้ว่ามีรัฐธรรมนูญอีกฉบับที่เรียกว่าฉบับวัฒนธรรม และมีบางมาตราในฉบับนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เช่น จะฆ่ากันกลางเมืองอย่างที่ทำมานั้นไม่ได้แล้ว ถ้าอาจารย์นิธิถูก นี่คืออีกความก้าวหน้าหนึ่งซึ่งในอดีตเคยทำได้แต่วันนี้ทำไม่ได้แล้ว รัฐบาลเองไม่ยอมทำ แต่อาจจะปล่อยให้คนพวกนั้นพวกนี้มาทำ ก็มีปรากฏการณ์แบบนั้นอยู่

แต่อาจารย์บอกว่าสันติวิธีกำลังพัฒนา มันสวนทางกันไหม
ไม่สวนทางครับ ถ้าสันติวิธีเป็นต้นไม้ มันก็ขึ้นกับเมล็ดที่เราปลูก มีต้นที่เรียกว่าสันติวิธีเหมือนกัน แต่บางต้นให้ผลหอมหวาน บางต้นออกผลเปรี้ยว บางต้นผลกินไม่ได้ บางต้นอาจจะเป็นพิษทำให้สังคมโดยรวมเสียหายได้

ขณะที่ฝ่ายต่างๆ ประกาศว่าสันติวิธีเป็นแนวทางหลักของการทำงาน ขณะเดียวกันในกระบวนการที่เขาใช้หรืออ้างว่าใช้ เขาอาจจะทำอย่างอื่น เช่น การระดมคน การทำให้คนอยู่ในกลุ่มได้นาน สิ่งที่ตามมาอาจจะกลายเป็นเพื่อทำให้คนอยู่โดยไม่เลือกวิธีการที่ใช้ บางวิธีที่นำมาใช้อาจจะเป็นปัญหาอย่างยิ่ง ทั้งการใช้คำพูด กระทั่งแนวคิดการนำบางอย่างในตัวมันเองกลับไปขัดกับหลักการของสันติวิธี นี่คือปัญหา

ในสถานการณ์แบบนี้ สมมุติมองจากฝ่ายพันธมิตรฯ เขาก็มองว่าอยู่ในสถานการณ์สู้รบ เขาเอาหัวมาเสี่ยง เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพราะรากฐานอำนาจของเขาอาจอยู่ที่ประชาชนที่สนับสนุนเขา ก็ต้องหาวิธีให้คนอยู่กับเขา ในกระบวนการที่ว่ามานี้ก็อาจจะมีเมล็ดที่ไหลเลื่อนไปแล้วโตไปเป็นอีกต้นหนึ่งซึ่งเราไม่พึงปรารถนา ความเกลียดชังทั้งหลายทั้งปวง การลากเส้นว่าถ้าไม่ใช่พวกเราก็เป็นอีกฝ่าย นี้คือ rhetoric ของสถานการณ์ทำสงครามทั้งหลายในโลก สมัยสู้กับการก่อการร้ายประธานาธิบดีบุชก็พูดแบบนี้ ไม่มีที่ยืนให้คนตรงกลาง ปัญหาที่ตามมาคือ การสู้แบบนี้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดกลายเป็นเรื่องการสร้างศัตรู ในการสร้างศัตรู ความเกลียดชังกลายเป็นเรื่องเกือบจะธรรมชาติ ต้องเอาข้อเสียอะไรต่างๆ ออกมาจนกระทั่งอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ ผมเรียกกระบวนการนั้นว่า “ปีศาจวิทยา”