(๒)

คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ ในช่วงปี ค.ศ.๑๙๗๐ ที่ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ(Clifford Geertz) สอนอยู่ที่ IAS หรือ Institute for Advanced Study ณ มหาวิทยาลัยพรินซตันนั้น เขาได้พบกับนักวิชาการหนุ่มคนหนึ่งนามว่า โรเบิร์ต ดาร์นตัน (Robert Darnton) ตอนนั้น
โรเบิร์ต ดาร์นตัน สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และรับผิดชอบการสอนวิชา History of Mentalities-ประวัติศาสตร์ความคิดแห่งสามัญชน ในปี ๑๙๗๔ เกียร์ซถามดาร์นตันว่าประวัติศาสตร์ความคิดแห่งสามัญชนคืออะไร และเมื่อดาร์นตันให้คำตอบ เกียร์ซก็บอกว่ามันช่างฟังดูคล้ายวิชามานุษยวิทยาเสียนี่กระไร คำปรารภนั้นทำให้ในปีถัดมาพวกเขาทั้งคู่ก็ตัดสินใจสอนวิชานี้ร่วมกันเป็นเวลากว่า ๓๐ ปีจนเกียร์ซตายจากไป

โรเบิร์ต ดาร์นตันประสบการณ์การสอนหนังสือร่วมกันระหว่างนักวิชาการเอกทั้งสอง ถูกถ่ายทอดในบทความเชิงปัจฉิมอาลัยในวารสาร The New York Review of Books ฉบับวันที่ ๑๑ มกราคม ค.ศ. ๒๐๐๗ ในบทความนั้น โรเบิร์ต ดาร์นตัน เขียนไว้อาลัยการจากไปของ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ ในปีก่อนหน้า-ภายใต้ชื่อว่า “จักรวาลวิทยาในห้องเรียน : บทบันทึกภาคสนามกับ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ” (“Cosmology in the Classroom: Fieldnotes on Clifford Geertz”)

“…คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ ชอบการสอนนักศึกษาในระดับปริญญาตรีมาก เขามองว่านักศึกษาเหล่านี้ชอบคิดอะไรนอกกรอบหรือนอกลู่นอกทางมากกว่านักศึกษาในระดับบัณทิตศึกษาที่มักมีความกังวลต่อการต้องทำตัวเป็นนักวิชาการ ผมเคยพบอดีตนักศึกษาที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ ๔๐๖ กับผมและเกียร์ซ เขาเล่าให้ผมฟังว่าเกียร์ซกระตุ้นเขาให้ศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นหลังได้ยินเขาวิจารณ์ว่าเหล่านักวิชาการด้านมานุษยวิทยานั้นล้วนเป็นพวกคนบ้า แม้แต่ อีวานส์ พริตชาร์ด (Evans-Pritchard) นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมพ่อมดหมอผีแห่งแถบแอฟริกาตอนเหนือ ก็ถูกเขาวิจารณ์ว่าเป็นผู้ลวงโลกที่ทำให้วิชาพ่อมดหมอผีดูสมจริงขึ้น เกียร์ซชอบความเห็นนี้มาก ตรงที่เขาเห็นว่านักศึกษาที่แท้ต้องตั้งคำถามในทุกเรื่อง และไปพ้นม่านหมอกแห่งการถูกครอบงำจากเหล่าอาจารย์ให้จงได้

“อย่างไรก็ตาม เกียร์ซก็ไม่ใช่อาจารย์ในอุดมคติเท่าใดนัก เขาพูดเร็วและทำให้เคราของเขามักพันเข้าไปในปากจนทำให้ฟังยากเอามาก ๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ผมของเขายุ่งไม่เป็นระเบียบเหมือนกับมันกำลังพูดว่านี่คือเส้นผมของคนที่เป็นอัจฉริยะ เขาจะนั่งทอดหุ่ยบนเก้าอี้ ขาของเขาจะไขว้ไปมาแบบแปลก ๆ เครื่องแบบของเขาคือแจ็กเกตตัวคับติ้วที่รัดพุงจนปลิ้น เกียร์ซไม่เคยมีเสื้อผ้าตัวไหนที่สมตัว เขาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะจมอยู่ในความคิดเหมือนหลุดไปในโลกส่วนตัว ก่อนที่จะระเบิดคำพูดออกมา คำพูดของเขาจะกลบทุกอย่างหมดและมักทำให้พวกเราตกอยู่ในอาการจังงัง

“หน้าที่ของผมคือการเตรียมเวทีให้พร้อมสำหรับการระเบิดคำพูดเหล่านี้ การเตรียมพร้อมไม่ใช่ว่าผมจะไปตกลงอะไรไว้กับเกียร์ซล่วงหน้า หากแต่หมายถึงการพยายามนำการสนทนาไปเรื่อย ๆ โดยให้เหล่านักศึกษาที่ร่วมวงรู้สึกผ่อนคลาย ระหว่างนั้นผมจะพยายามบีบประเด็น ว่าไปแล้วผมเหมือนกับเป็นนักมวยรองที่ชกถ่วงเวลารอให้นักมวยเอกปล่อยหมัดเด็ด การชกรอนี้จะทำให้หมัดเด็ดของเกียร์ซหนักหน่วงขึ้นเวลาถูกปล่อย และหลายครั้งมันก็หนักหน่วงจนนำไปสู่ประเด็นใหม่ ๆ เสมอ

ผู้หญิงอินเดียเผ่าเดวะกำลังฝัดข้าวสาลี“ครั้งหนึ่งที่เรากำลังถกกันถึงหนังสือเล่มใหม่ว่าด้วยชนเผ่าเดวะ(Tewa) ในนิวเม็กซิโก ที่เขียนโดย อัลฟอนโซ ออร์ทิซ (Alfonso Ortiz) ชื่อเรื่อง ‘โลกของเดวะ : ที่ว่าง เวลา ความเป็นและความกลายในสังคมอินเดียนเผ่าพิวโบล (Pueblo)’ ผมพยายามเริ่มการสนทนาด้วยการเกริ่นถึงระบบจักรวาลวิทยาของชนเผ่านี้ ผมพูดช้า ๆ พูดถึงตัวบทในหนังสือ โยงไปถึงเรื่องของสัญลักษณ์ด้านสี ทิศ และลายที่ปรากฏในตำนาน และเมื่อผมพูดมาถึงเรื่องของพิธีกรรมที่ต้อนรับเด็กชายสู่การเป็นนักรบแห่งเผ่า ผมก็เริ่มรู้สึกว่าการเล่าเรื่องของผมดูจืดชืดอย่างยิ่ง ผมทำให้สิ่งที่มีชีวิตชีวาได้กลายเป็นสิ่งแห้งแล้งไม่ต่างจากการอ่านคู่มือประกอบเครื่องจักรกลทั่วไป

“เมื่อมาถึงตอนนี้เกียร์ซก็จะสอดขึ้นมา เขาจะเริ่มเล่าตั้งแต่ฉากของเด็กหนุ่มที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับถูกปลุกอย่างไม่คาดฝันกลางดึก เด็กเหล่านั้นถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมยาวและคลุมทับด้วยผ้าห่มก่อนจะถูกบังคับให้ลงบันไดมายังห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีหน้าต่างของห้องคิวะ (Kiva)* อันเป็นห้องที่ลึกลับที่สุดในวัฒนธรรมอินเดียนเผ่าพิวโบล ครั้นแล้วพวกเด็กหนุ่มก็ถูกสั่งให้เอาผ้าคลุมออกด้วยการถูกฟาดศีรษะอย่างแรง และเมื่อพวกเขาเอาผ้าออกก็พบกับปีศาจตนหนึ่งที่สวมใส่หน้ากากอันน่าหวาดกลัว ปีศาจประกาศตนว่ามันเดินทางมาจากถิ่นใต้ทะเลสาบ มันถามเด็กหนุ่มว่าพวกเขาพร้อมจะเป็นชายเต็มตัวหรือยัง และเมื่อพวกเขารับคำ ปีศาจก็ใช้หวายยูคาโบยเอวพวกเขาอย่างแรงไล่ไปจนถึงซี่โครง ในที่สุดเด็กหนุ่มทั้งหมดตกอยู่ในสภาพหวาดกลัว ปีศาจดึงหน้ากากออก ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นญาติหรือเพื่อนบ้านของเด็กหนุ่มที่กำลังหัวเราะอย่างไม่หยุดยั้ง

ห้องคิวะของอินเดียนเผ่าพิวโบล“อะไรคือธรรมชาติของกิจกรรมอันแปลกประหลาดนี้ เกียร์ซถาม เหมือนกับพวกนักศึกษา ผมตอบว่าเด็กหนุ่มเหล่านี้กำลังผ่านกระบวนการสร้างความมั่นใจต่อสิ่งแปลกประหลาด เมื่อถอดหน้ากากออก ปีศาจเหล่านั้นก็คือคนธรรมดา ดังนั้นกระบวนการนี้ก็ไม่ต่างจากที่เด็กเล็ก ๆ ไปนั่งดึงเคราของเหล่าซานตาครอสในเทศกาลคริสต์มาสเพื่อสร้างความคุ้นเคย ไม่-เกียร์ซปฏิเสธ นี่ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำให้เด็กหนุ่มเหล่านั้นรู้สึกว่าปีศาจเหล่านั้นคือคนธรรมดา หากแต่เป็นการบอกว่าคนธรรมดาเหล่านั้นมีอีกภาคหนึ่งที่เป็นปีศาจร้ายต่างหาก นี่คือวิธีการเปิดเข้าสู่พรมแดนใหม่ ๆ ทางความรู้ของเกียร์ซ

“หลังจากนั้น หัวหน้าเผ่าพิวโบลและบรรดาตัวตลกจะเริ่มเต้นรำกลางสายฝนเมื่อเห็นเมฆตั้งเค้า เกียร์ซให้ข้อสังเกตว่า พวกเขาต้องการให้เกิดความเชื่อว่าสามารถเรียกฝนได้ใช่หรือไม่ ไม่-เขากล่าว การเต้นรำทำให้ฝนตกก็จริงแต่มันมีความหมายว่าคนเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ไม่ใช่จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จากมุมมองของการเป็นหนึ่งเดียวกับโลก วัฒนธรรมคือการแสดง ในขณะที่พิธีกรรมคือตัวสร้างตำนาน เกียร์ซมักจะหาประเด็นที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจเสมอ นั่นคืออัจฉริยภาพของเขาในความเป็นอาจารย์ คือการทำให้เราตรวจสอบรายละเอียดผ่านวัฒนธรรมของเราและใช้จินตนาการนั้นนำเราไปสู่ดินแดนที่แตกต่างออกไป

“หลังจากการถกเถียงเช่นนั้น ผมกับเกียร์ซมักออกไปหาเบียร์ดื่มแล้วคุยกันต่อที่บาร์ใกล้ ๆ เกียร์ซจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับทุกสิ่ง เช่น ดนตรีแจ๊ซ ข่าวสารระหว่างประเทศ ม้าแข่ง รถยนต์ คณิตศาสตร์ ทีมเบสบอล เจมส์ จอยซ์ เพื่อนร่วมงาน และแทนที่จะเอาทุกอย่างใส่ลงไปในวิชาสาขาที่เขารู้เป็นอย่างดี เขาจะผลักดันมันไปสู่แง่มุมใหม่ ๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย ที่เขาจะแลเห็นมันได้จากมุมอื่น

“การอธิบายความแบบที่เกียร์ซใช้นั้น เขามักบอกกับนักศึกษาว่ามันเหมือนกับการอธิบายเกมเบสบอลให้ชนชาวมองโกเลียได้เข้าใจ แรกเริ่มคุณต้องเล่าก่อนถึงฐานที่อยู่ข้างนอกทั้งสามฐาน และความจำเป็นที่ต้องตีลูกให้ผู้เล่นสามารถวิ่งได้ครบฐานก่อนที่จะถูกขัดขวางโดยฝ่ายตรงข้าม แต่การจะเล่าเรื่องราวเช่นนั้นได้ คุณจะต้องเล่าถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละฐาน คุณต้องเล่าถึงกฎการเสียตัวผู้เล่น เล่าถึงแท็กติกต่าง ๆ ตลอดเวลาคำบรรยายและการเล่าเรื่องของคุณจะซ้อนทับเป็นชั้นหนาขึ้นและหนาขึ้นทุกที แน่ละ การใช้วิธีเล่าเช่นนี้ต้องพึ่งความแม่นยำในข้อมูลและศิลปะในการเล่าเรื่องที่ชำนาญ เช่นหากคุณไปเสียเวลาเล่าเรื่องการวิ่งที่ไม่จำเป็นก็จะทำให้เสียรสและเรื่อง แต่กระนั้นมันก็ยังมีประโยชน์ที่ในที่สุดแล้วหากคุณอดทนเล่าต่อไปไม่ย่อท้อ แม้ชาวมองโกเลียก็จะเข้าใจเกมเบสบอลได้-และนั่นคือการพรรณนาความแบบถมทับ หรือที่เกียร์ซเรียกมันในศัพท์เฉพาะว่า-Thick Description…”

การทำงานร่วมกับเกียร์ซทำให้ โรเบิร์ต ดาร์นตัน ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์เกิดความคิดและสนใจที่จะหยิบยืมการพรรณนาความแบบถมทับ หรือ Thick Description มาใช้ในงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ในช่วงก่อนการปฏิวัติใหญ่
ในศตวรรษที่ ๑๘ โดยเขาได้หยิบเอารายงานของชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งนาม นิโคลาส์ กงดาต์ (Nicolas Condat) ที่ได้บันทึกปากคำของลูกจ้างโรงพิมพ์คนหนึ่งนาม เจโรม (Jerome) ที่เล่าถึงเหตุการณ์การสังหารหมู่แมวบนถนน Rue Saint-Séverin ซึ่งตัวเจโรมเองและลูกน้องชื่อ เลวิลล์ (Leville) เป็นผู้ลงมือ มาเล่าใหม่ในรูปแบบของ Thick Des-cription

ในปูมบันทึกของ นิโคลาส์ กงดาต์ ซึ่งมีความยาวเพียง ๒ หน้า เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการที่เจโรมกำลังเข้านอน เขาเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างมากจนแม้ห้องรูหนูก็แลดูเหมือนปราสาทราชวัง ในที่สุดความทรมานและสิ่งเลวร้ายในแต่ละวันก็มาถึงจุดพัก เขาได้พักแล้วใช่ไหม ไม่เลย เหล่าแมวปีศาจเริ่มต้นส่งเสียงร้องในยามค่ำ พวกมันได้ปล้นช่วงเวลาสุขสงบอันแสนสั้นที่ได้รับการปันมาจากนายจ้างหฤโหดก่อนที่ลูกค้าจะมากดกริ่งในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะลุกขึ้นข้ามสนามหญ้า ตัวหนาวสั่นภายใต้ชุดนอน เพื่อไปเปิดประตู พวกลูกค้าเหล่านั้นก็เหลือทน ไม่ว่าคุณจะทำดีแค่ไหน พวกเขาก็จะทำเหมือนคุณเป็นตัวตลกที่ทำให้พวกเขาเสียเวลา พวกเขาจะตะโกนเรียกเลวิลล์ให้จุดไฟต้มน้ำ ให้เตรียมน้ำสะอาดไว้สำหรับอาบ แน่ละ งานเหล่านี้เป็นงานสำหรับคนงานฝึกหัด แต่นั่นสำหรับคนงานต่างจังหวัดที่ลูกค้าจะไม่มาถึงจนกว่าหกโมงหรือเจ็ดโมงเช้า แต่ที่นี่ในปารีส ผู้คนมาแต่เช้า ตื่นแต่เช้า ยกเว้นนายจ้างของเขา ทั้งนายผู้ชายและนายผู้หญิงที่นอนหลับสบาย อันเป็นสิ่งที่ทำให้เจโรมและเลวิลล์อิจฉา พวกเขาทำเหมือนว่าตนเองอยู่เหนือความทุกข์แบบนี้ทั้งปวง ลูกจ้างทั้งสองต้องการให้เจ้านายของพวกเขาร่วมรับกรรมด้วย แต่จะทำอย่างไรดี

เลวิลล์นั้นมีความสามารถพิเศษที่เลียนเสียงทุกอย่างได้เหมือนจริง เขาเป็นนักแสดงชั้นยอด นั่นคือความสามารถที่แท้ของเขาในโรงพิมพ์ เขาสามารถเลียนเสียงสุนัขและแมวได้เหมือนเอามาก ๆ เขาตัดสินใจว่าจะปีนไปตามหลังคาจนถึงรางน้ำติดกับห้องนอนของเจ้านาย จากนั้นเขาจะส่งเสียงร้องแบบแมวไม่หยุด นี่เป็นงานง่ายสำหรับเขา เขาเป็นคนที่ปีนหลังคาเก่งเอามาก ๆ และยังคลานตามหลังคาได้ไม่ต่างจากแมวด้วย แผนการของพวกเขาประสบความสำเร็จ ผู้คนแถบนั้นแตกตื่นกับเสียงแมวร้องในยามวิกาล มีคำลือกันว่ามีแม่มดมาปรากฏตัวบนหลังคาและเกณฑ์ฝูงแมวมาสร้างความชั่วร้าย นี่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือจัดการ นั่นคือความเห็นพ้องจากนักบวชและสาธุคุณประจำตัวนายหญิง ไม่มีใครหลับลงได้อย่างสงบอีกต่อไป ต้องมีการจัดการ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

เลวิลล์สร้างความน่ากลัวอย่างต่อเนื่องในคืนถัดมาและถัดมา พวกคุณอาจว่าเขาเป็นพ่อมดหมอผีจำแลงมาก็ได้ ในที่สุดเจ้านายของพวกเขาก็ไม่อาจทนเสียงแมวได้อีกต่อไป เราจะต้องบอกให้ไอ้หนุ่มสองคนนั้นกำจัดแมวร้ายเหล่านี้ทิ้งเสีย-พวกเขาพูด นายหญิงเป็นคนออกคำสั่งให้กำจัดแมวที่มารบกวนเจ้ากรีสแมวของเธอ มาดามเป็นคนชอบแมว และเจ้าของโรงพิมพ์ทั้งหลายก็ชอบแมวทั้งนั้น พวกเขามีรูปวาดเกี่ยวกับแมวและเลี้ยงดูมันด้วยอาหารในจานไม้อย่างดี

การล่าแมวเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นระบบ คนงาน ๒ คนคิดหาวิธีที่จะกวาดมันให้เรียบ โดยอาศัยความร่วมมือจากลูกค้าด้วย เจ้านายของพวกเขาชอบแมว ดังนั้นเขาซึ่งเป็นคนงานจึงควรแล้วที่จะเกลียดมัน พวกเขาพกแท่งเหล็ก บางคนพกท่อนไม้จากห้องซักผ้า บางคนพกด้ามไม้กวาด มีการแขวนกระสอบไว้ตามขอบหน้าต่างของห้องใต้หลังคาและห้องเก็บของไว้เพื่อดักแมวที่อาจจะหนีออกนอกหน้าต่าง มีการแบ่งหน้าที่ว่าใครจะเป็นคนหวดแมว ใครจะเก็บกวาด เลวิลล์และพวกปีนไปตามหลังคา มีการพุ่งเป้าไปที่กรีสแมวของนายหญิงเป็นตัวแรก เลวิลล์หวดมันเข้าที่ท้อง ก่อนที่เจโรมจะหวดซ้ำจนมันแน่นิ่ง ครั้นแล้วเขาก็เอาร่างของมันกองไว้ที่รางน้ำเพราะไม่ต้องการให้ใครจับได้ นี้เป็นการฆ่าสัตว์ที่เขาไม่อยากตกเป็นจำเลย พวกเขาส่งเสียงอึกทึกบนหลังคาเพื่อให้ฝูงแมวแตกตื่น แมวแต่ละตัวกระโดดลงกระสอบ บางตัวก็ถูกทุบตายก่อนหน้า บางตัวก็ถูกจับแขวนคอเป็นดังการเล่นตลกเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับบรรยากาศในโรงพิมพ์

หนังสือ The Great Cat Massacre And Other Episodes in French Cultural History ฉบับพิมพ์โดย Penguin Boos ค.ศ.๑๙๘๕คนงานโรงพิมพ์เป็นกลุ่มคนที่มีอารมณ์ขัน นั่นคือข้อเด่นของพวกเขา การประหารกำลังจะเริ่มต้น พวกเขาวางตัวคนที่จะแขวนคอ คนที่ต้องคอยกันคน คนที่รับผิดชอบเรื่องการสารภาพบาป ครั้นแล้วพวกเขาก็เริ่มต้นอ่านคำพิพากษา และในท่ามกลางพิธีกรรมนี้ นายหญิงก็มาถึง นี่เกิดอะไรขึ้น เมื่อแลเห็นเลือดเธอก็ร้องตะโกน เธอคิดว่าร่างที่กำลังจะถูกแขวนคอนั่นคือกรีสแมวของเธอ แต่พวกคนงานก็รับรองว่าเขาไม่ทำเช่นนั้นกับแมวของเธอ เขามีความเคารพเจ้าของสถานที่พอ ครั้นแล้วก็ตามติดมาด้วยพวกนายทุนเจ้าของห้างร้านทั้งหลาย ไอ้พวกใจร้าย-พวกเขาพูด แทนที่จะทำงาน พวกนี้กลับมาฆ่าแมว-นายผู้หญิงพูดกับนายผู้ชาย-พวกนี้ฆ่าเจ้านายไม่ได้เลยหันมาฆ่าแมวของฉันแทน ฉันหาแมวฉันไม่พบ ฉันหาเจ้ากรีสไม่พบ พวกนี้ต้องจับมันแขวนคอแล้วแน่ ดูเหมือนว่าแม้จะหลั่งเลือดของคนงานทั้งหมดก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างความผิดนี้ได้ เจ้ากรีสที่น่าสงสาร แมวที่ตายเหมือนไม่มีเจ้าของ

นายผู้หญิงกับนายผู้ชายเดินจากไป ทิ้งให้พวกคนงานเป็นอิสระ พวกเขาแสดงความดีใจที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบ พวกเขามีความเพลิดเพลินอย่างมากที่มีของให้เล่นอย่างถูกใจ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้เล่นอะไรสนุก ๆ อย่างนี้สัก ๒๐ รอบ พวกเขาจะล้อเลียนนายผู้ชาย นายผู้หญิง ที่พัก ล้อเลียนทั้งหมดอย่างไม่มีอะไรเหลือ เลวิลล์ได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราว ต้องบันทึกไว้ว่าเหล่าคนงานล้วนต่อต้านเจ้านายของเขา ทว่าการทารุณของเจ้านายก็มีส่วนอย่างยิ่ง แม้เลวิลล์จะเป็นผู้ต่อต้าน แต่เขาก็ควรถูกลงโทษในฐานะหนึ่งในผู้ที่นำการต่อต้านเช่นนี้

ปูมบันทึกของ นิโคลาส์ กงดาต์ จบลงเพียงเท่านี้ และมันคงเป็นเพียงปูมบันทึกธรรมดา หาก โรเบิร์ต ดาร์นตัน ไม่รู้สึกว่าถ้าเขาใช้วิธีการพรรณนาแบบถมทับ หรือ Thick Description เข้าบรรยายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เขาอาจค้นพบหรือสร้างวิธีการเข้าใจที่แปลกใหม่ได้ การทดลองของ โรเบิร์ต ดาร์นตัน ก่อให้เกิดผลอันน่าทึ่ง หนังสือชื่อ “วิฬาร์ฆาตกรรมหมู่และเหตุการณ์ทั้งหลายในวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส” (The Great Cat Massacre And Other Episodes in French Cultural History) เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมากที่สุดเล่มหนึ่งในทศวรรษ ๑๙๘๐