ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์

dwarf1

ลาวิเนีย วอร์เรน(Lavinia Warren) ดาราสาวรูปร่างกะทัดรัดมาก

เมื่อกล่าวถึงยักษ์แล้ว จะไม่กล่าวถึงคนแคระด้วยก็ดูไม่ครบถ้วนกระบวนความนัก

ทำไมจึงมีคนแคระที่ตัวเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไปได้ พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาแต่มี “บางอย่าง” แตกต่างจากคนทั่วไปใช่หรือไม่ ต้องมีความสูงเท่าไหร่จึงจัดว่าเป็นคนแคระ  ในสายตาชาวโลกยุคโบราณและยุคปัจจุบัน คนแคระมีภาพลักษณ์แบบใด

กลุ่มคนที่มีลักษณะร่างกายและนิสัยใจคอพิเศษอย่าง “ฮอบบิท”(Hobbit) ในนิยายเรื่อง The Lord of The Rings ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J. R. R. Tolkien) มีจริงหรือไม่ เพราะเหตุใด ฯลฯ

มาผจญภัยไปกับโลกของ “คนพิเศษ” เหล่านี้กันครับ

dwarf2

ภาพคนแคระชาวนอร์สในหนังสือรวมบทกวี Voluspa ของ Lorenz Frolich (ค.ศ.๑๘๙๕)

ดวอร์ฟและธวรัส

คำว่า “คนแคระ” ภาษาอังกฤษคือ dwarf เชื่อว่ามาจากภาษาอังกฤษโบราณ dweorg ซึ่งน่าจะมาจากคำภาษาเยอรมันอีกทอดหนึ่ง  ในทางศัพทมูลวิทยา (etymology) หรือวิชาศึกษาประวัติคำนั้นยังถกเถียงกันไม่สิ้นสุดเรื่องที่มาของคำว่า dwarf สมมุติฐานหนึ่งคือ
มาจากคำ dheur ในภาษาอินโด-ยูโรเปียน แปลว่า “การทำลายล้าง” หรืออาจมาจาก dhreugh ที่กลายร่างเป็น traum ในภาษาเยอรมัน หมายถึง “ความฝัน” หรือ trug ที่หมายถึง “การหลอกลวง”

นอกจากนี้มีผู้โยงว่าอาจมาจากคำภาษาอินเดียโบราณ dhvaras (ธวรัส) ที่แปลว่า “เจ้าเล่ห์” หรือ “แม่มด” และยังหมายถึง “คนแคระ” ได้ด้วย เท่าที่ไล่มาดูเหมือนมีความหมายทางลบหรือไม่ก็กลางๆ

นิทานปรัมปราของเยอรมนีกล่าวถึงคนแคระว่า พวกที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาหรือใต้ดิน เป็นช่างฝีมือ ชอบทำเหมือง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด  ลักษณะดังกล่าวนี้ยังปรากฏร่องรอยอยู่ในนิยายหรือมหากาพย์หลายเรื่อง รวมทั้ง The Lord of The Rings

dwarf3

รูปปั้นซีเน็บ คนแคระชาวอียิปต์กับภรรยาและลูก

dwarf4

โฉมหน้าหมอนาซีจอมโหด โยเซฟ เมงเกอเลอ แห่งค่ายกักกันเอาวช์วิทซ์ของนาซี

dwarf5

ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์ปางวามนาวตาร ศิลปะเขมรแบบนครวัด พุทธศตวรรษที่ ๑๗ พบที่กู่สวนแตง อำเภอบ้านไหมไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์

วามนาวตาร และ ทวิชาวตาร

แม้การเป็นคนแคระอาจทำให้รู้สึกมีปมด้อยสำหรับคนยุคปัจจุบัน แต่หากย้อนประวัติศาสตร์ไปจะพบว่าสำหรับหลายๆ ชนชาติแล้วคนแคระก็อยู่ในสังคมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนทั่วไป หรือบางครั้งมีสถานะพิเศษทีเดียว เช่น พบรูปปั้นขุนนางแคระชื่อ ซีเน็บ (Seneb) ในยุคอียิปต์โบราณสมัยกษัตริย์คูฟู (Khufu) และดเจเดเฟร (Djedefre) โดยเขาทำหน้าที่เป็นทั้งพระและเจ้าหน้าที่ศาล ได้แต่งงานกับภรรยาคนปรกติ แถมมีลูกด้วยกันอีก

นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าคนแคระมีสถานะศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนอียิปต์สมัยก่อนด้วยซ้ำ

พระนารายณ์เองครั้งหนึ่งก็อวตารเป็นคนแคระ (บ้างว่าเป็นคนหลังค่อม) ซึ่งปรากฏความใน วามนาวตาร โดยอวตารเป็น “วามน-พราหมณ์” โอรสของพระกัศยปมุนีและพระนางอทิติ เพื่อปราบพยศพญายักษ์มหาพลี

ชื่อ “วามน” (วา-มะ-นะ) แปลตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ว่า “คนเตี้ยหรือคนค่อม” และใช้เป็นคำวิเศษณ์หมายถึง เตี้ย สั้น หรือค่อม นอกจากนี้ยังหมายถึงชื่อช้างที่ประจำทิศใต้ด้วย

รายละเอียดเรื่องตาม วามนาวตาร คือ ยักษ์ตนหนึ่งชื่อ “พลี” เสียทีถูกทวยเทพฆ่าตาย ภายหลังพราหมณ์ช่วยชุบชีวิต ยักษ์ตนนี้ก็มุ่งมั่นทำพิธีกรรมกระทั่งมีฤทธานุภาพมากจนไปตีเมืองสวรรค์จากพระอินทร์ได้ เรื่องจึงร้อนถึงพระนารายณ์

หลังอวตารเป็นวามนพราหมณ์ เมื่อทราบว่ายักษ์มหาพลีจะทำพิธีกรรมก็ไปยังมณฑลพิธี  พญายักษ์นำน้ำล้างเท้าให้พราหมณ์ด้วยความนอบน้อม ก่อนเอ่ยถามความต้องการ  วามนพราหมณ์ลวงด้วยอุบาย ออกปากขอแผ่นดินเพียงสามย่างก้าว

ฝ่ายยักษ์ไม่ทันเกมก็ตกลงยกให้ง่ายๆ จึง… เสร็จเรียบร้อยน่ะสิครับ !

วามนพราหมณ์สำแดงเดช ย่างไปก้าวหนึ่งจดแดนอสูร ก้าวที่ ๒ ชิดแดนมนุษย์ ไม่ต้องรอถึงก้าวที่ ๓ ยักษ์มหาพลีก็หวาดกลัวจนต้องขอให้ยกโทษ  พระนารายณ์จึงชำระความและให้พระอินทร์ได้ครองสวรรค์ดังเดิม ส่วนยักษ์มหาพลีนั้นก็ทรงสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ก่อนส่งลงไปปกครองเมืองบาดาลชั้นที่ ๓ ซึ่งอยู่ใต้สุด

แต่ตามสไตล์เรื่องเล่ายุคโบราณที่มักมีหลายเวอร์ชันต่างกันเล็กๆ น้อยๆ มีอวตารอีกแบบซึ่งอิทธิฤทธิ์คล้ายกันมาก เรียกว่า ทวิชาวตาร ในปางนี้พระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์หนุ่มรูปงาม มีคู่ปรับคือท้าวตาวันอสูร  ยักษ์ตนนี้ทูลขอที่ดินจากพระอิศวร ๓๐๐ โยชน์แล้วจับเทวดา มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ที่พลัดหลงเข้าไปในดินแดนนั้นกินเป็นอาหาร

พระนารายณ์ทรงใช้อุบายขอที่ดินเพียงสามก้าวย่างคล้ายกับเรื่อง วามนาวตาร ในที่สุดก็ขับไล่ท้าวตาวันอสูรได้  ภายหลังพญายักษ์ย้ายไปอยู่เชิงเขาพระสุเมรุแล้วลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระอินทร์ เลยโดนพระอินทร์เจี๋ยนในที่สุด

จะเห็นว่าสถานะของคนแคระในเชิงประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรมนี่ไม่เลวทีเดียว แม้ผมจะยังงงๆ และไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องอวตารเป็นเช่นนั้นก็ตาม

แต่เมื่อลุถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนแคระกลับตกต่ำถึงขีดสุด เพราะกลายเป็นเป้าหมายการล้างเผ่าพันธุ์ของพวกนาซี  หมอจอมโหดจากหน่วยเอสเอส (Schutzstaffel-SS) โยเซฟ เมงเกอเลอ (Josef Mengele) ซึ่งประจำอยู่ที่ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ (Auschwitz) ก็โปรดปรานการใช้คนแคระเป็นหนูทดลอง

ครอบครัวคนแคระชาวยิวซึ่งโด่งดังที่สุดโดนคุมขังที่ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ด้วย หลายคนเป็นนักแสดงหรือนักดนตรี เช่นครอบครัวโอวิทซ์ (the Ovitz family) เป็นครอบครัวคนแคระที่ใหญ่ที่สุดครอบครัวหนึ่ง มีสมาชิกถึง ๑๒ คน อายุตั้งแต่ ๑๕ เดือนถึง ๕๘ ปี แทบทั้งหมดเป็นคนแคระ

แม้หนีไม่รอดต้องเข้าค่ายกักกัน แต่ก็น่าดีใจแทนว่าสมาชิกในครอบครัวนี้ต่างรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดไม่น่าเชื่อ !

 

คนแคระต้องสูงไม่เกิน…

เรื่องหนึ่งที่ผมทึ่งมากตอนหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เว็บไซต์ MedlinePlus ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) สหรัฐอเมริกา ระบุตัวเลขเลยว่า หากจะถือว่าเป็นคนแคระได้นั้น

เมื่อโตเต็มที่แล้วต้องมีส่วนสูงไม่ถึง ๔ ฟุต ๑๐ นิ้ว ! (๑๔๗ เซนติเมตร)

อีกเรื่องที่น่าทึ่งไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ มีสมมุติฐานหรือคำอธิบายทางการแพทย์ที่อธิบายสาเหตุความผิดปรกติอันทำให้กลายเป็นคนแคระได้มาก ๒๐๐ กว่าสาเหตุ แต่แบบหลักที่ครอบคลุมถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของคนแคระทั้งหมดในโลกนี้มีสาเหตุจากความผิดปรกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดกันได้ ซึ่งเกิดขึ้นที่โครโมโซมหมายเลข ๔ …คมชัดลึกดีไหมล่ะครับ

ความผิดปรกตินี้ทางเทคนิคเรียกว่า ภาวะกระดูกอ่อนไม่เจริญ (achondroplasia) เกิดจากรากศัพท์ chondro ที่แปลว่า “เกี่ยวกับกระดูกอ่อน” และ plasia แปลว่า “รูปแบบ”

ความถี่ที่จะพบคนแคระจากสาเหตุดังกล่าวมีราว ๑/๑๕,๐๐๐-๑/๔๐,๐๐๐ คน ลักษณะเด่นคือส่วนแขนและขาเมื่อเทียบกับศีรษะและลำตัวแล้วสั้นกว่าสัดส่วนเดียวกันในคนปรกติ ความผิดปรกติทางพันธุกรรมแบบอื่นที่ทำให้แคระมีอีกหลายอย่าง เช่น โรคไต โรคของระบบฮอร์โมนหรือระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายตั้งแต่เด็ก เป็นต้น

ยังจบไม่ได้ง่ายๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนแคระที่น่าเอ่ยถึงอีกแยะ แต่คงต้องต่อคราวหน้าครับ