ผู้เล่าเรื่อง : เล่าโดยผู้เขียนแบบมุมมองพระเจ้า

วิชาสารคดี ๑๐๑ ศาสตร์ ศิลป์ เคล็ดวิธี ว่าด้วยการเขียนสารคดี


godview

โลกเราครึกครื้นรื่นรมย์ มีสีสัน สืบทอดอารยธรรมกันมาได้ส่วนหนึ่งก็ด้วย “เรื่องเล่า” ที่เราเล่าสู่กันสืบต่อกันมา

ทั้งที่เล่าด้วยปากเปล่าและผ่านการบันทึกด้วยตัวอักษร งานเขียนโดยเฉพาะแนววรรณกรรมถือเป็นเรื่องเล่าทั้งสิ้น

สารคดีก็เป็นเรื่องเล่า เป็นการเล่าข้อมูล แต่ถ้าเล่าออกไปแบบทื่อๆ ก็อาจเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนไม่อยากฟัง(อ่าน)

วิธีการของวรรณกรรมสายเรื่องแต่ง (fiction) ไม่มีข้อห้ามหากจะนำมาใช้ในการเล่าเรื่องในงานสารคดี (feature)

ในการเขียนเล่าเรื่องหนึ่งๆ องค์ประกอบหนึ่งที่นักเขียนเรื่องแต่งใส่ใจมากๆ คือ ผู้เล่าเรื่อง

ในงานเขียนเรื่องหนึ่งนั้นมีใครเป็นผู้เล่า อยู่ในเรื่อง หรือไม่อยู่ในเรื่อง เสียงที่เล่านั้นกำลังพูดกับใคร หรือไม่เจาะจงพูดกับใคร

วิธีการหนึ่งที่นักสารคดีนิยมใช้มากที่สุด น่าจะเป็นการเล่าด้วย “I” ผม ฉัน ข้าพเจ้า หรือบุรุษที่หนึ่ง

ต่างจากเรื่องแต่งที่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนิยาย มักเล่าแบบ “มุมมองพระเจ้า”

ที่เล่าโดยผู้เขียนที่ไม่อยู่ในเรื่อง แต่เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่เรียกว่าแบบ “มุมมองพระเจ้า”

วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ ตัวและน้ำเสียงของผู้เล่า (หรือผู้เขียน) ไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องเลย

งานสารคดีก็ใช้วิธีการแบบนี้ได้

วางตัวละครหลักกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ซึ่งก็คือแหล่งข้อมูลที่มีตัวตนจริงๆ ที่ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์และพบเจอตัวจริงมา เล่าเรื่องของเขา ให้ผู้อ่านติดตามพวกเขาไป โดยผู้เขียนไม่ต้องออกมาปรากฏตัวในเรื่องก็ได้

ผมเคยหยิบวิธีนี้มาใช้เล่าเรื่อง “โต้มชิ่งจา วิวาห์เมี่ยนในแดนดอย” เป็นพิธีแต่งงานของชาวดอยเผ่าเมี่ยน ก็ให้ผู้รับรู้ผ่านภาพที่ดำเนินไป กับน้ำเสียง คำเล่าของคู่หนุ่มสาวที่กำลังหวานชื่น รวมทั้งญาติมิตรแขกเหงื่อที่มาร่วมงาน

คืนที่ผ่านมา เฉ่งฮิ้น หรือ นิภาพร แซ่จ่าว ได้นอนในห้องของตัวเองเป็นคืนสุดท้าย เช้าวันนี้แล้วที่เธอต้องจากบ้านเกิดที่คุ้นเคยมา ๑๗ ปี ไปอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง จากอ้อมอกแม่ที่ให้กำเนิด ไปสู่อ้อมแขนของชายคนรัก

ก่อนจะออกเดินทางไปกับยามสายอันแจ่มใสของฤดูหนาว เธออยากจะนึกทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังระหว่างเธอกับเขาคนนั้นอีกสักครั้ง

ดอย ชายคนรักที่กลายมาเป็นเจ้าบ่าวของเธอ มีชื่อในโรงเรียนว่า ศักดิ์อุดร เข็มทองนำชัย เขามีอายุมากกว่าเธอ ๓ ปี

หลายปีมาแล้ว พี่ชายคนหนึ่งของดอย ย้ายครอบครัวจากบ้านน้ำปุกเหนือ เข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านสันเจริญ ตำบลผาทอง อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน บ้านเกิดของนิภาพร ยามเมื่อดอยมาเยี่ยมบ้านพี่ชาย ก็มักได้เห็นเด็กหญิงขี้อายคนหนึ่งเที่ยววิ่งเล่นอยู่ในหมู่บ้าน

กระทั่งหลังเรียนจบ ม. ๓ ดอยมาเข้าค่ายเยาวชนเผ่าเมี่ยนที่โรงเรียนบ้านสันเจริญ ครั้งนี้เขามาพบเด็กหญิงคนเดิมในวัยเริ่มแตกเนื้อสาวและรู้สึกหลงรัก คิดมาถึงตรงนี้นิภาพรรู้สึกหวามหวิวในใจ เมื่อนึกไปถึงเรื่องเล่าในสมัยก่อนเก่าที่เคยได้ยินคนรุ่นพ่อแม่พูดกันมา

เป็นการเล่าข้อมูลที่ผู้เขียนได้เห็น หรือ “สังเกตการณ์” กับจากที่คุย หรือ “สัมภาษณ์” มานั่นเอง ภาพที่บรรยายมาจากที่ได้เห็น เรื่องราว ความรู้สึก ความในใจ ของตัวละครก็มาจากที่เขาเล่า

ส่วนข้อมูลที่ผู้เขียน “ค้นคว้า” มาก็ใส่ต่อเข้าไปได้แบบเนียนๆ

หนุ่มเมี่ยนสมัยก่อนเกิดชอบพอสาวคนไหน เขาจะหมายบ้านไว้แต่กลางวัน ครั้นตกค่ำพวกผู้ใหญ่หลับกันแล้ว เพื่อนหนุ่มในหมู่บ้านจะพาเขาไปเคาะฝาบ้านตรงที่เป็นห้องนอนของสาว ขอพูดคุยด้วย เข้าที่เข้าทางดีแล้วกลุ่มเพื่อนจะปลีกตัวไป ปล่อยชายหนุ่มไว้คนเดียว ถ้าสามารถเกี้ยวพานจนสาวคนที่อยู่ในบ้านพึงใจ เธออาจเปิดประตูให้เขาเข้าไปถึงในห้อง–หากเป็นความยินยอมพร้อมใจของหญิงสาว พ่อแม่หรือใครก็ไม่มีสิทธิ์กีดกั้น เว้นเสียแต่ฟ้าดิน-เท่านั้น !

หนุ่มสาวเมี่ยนมีเสรีในเรื่องความรัก ทั้งนี้เขาและเธอต้องพร้อมรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย

แต่กับนิภาพรดอยไม่ได้ทำอย่างนั้น การจีบสาวในยุคสมัยนี้ก็ผันเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลง ดอยกับเธอมักนัดเจอกันยามว่าง-ในเวลากลางวัน และวันหนึ่งดอยขอวันเดือนปีเกิดของเธอติดตัวกลับไปด้วย

ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง กับเธอหรือกับใคร ๆ ดอยก็บอก ว่าเคยมีแฟนคนหนึ่งมาก่อนแล้ว เป็นรักแรก ที่เขาและคนรักปรารถนาจะให้เป็นครั้งสุดท้าย แต่แล้วความฝันของทั้งคู่ก็พังทลาย

ดวงของคนทั้งสองไม่สมพงศ์กัน

หนุ่มสาวชาวเมี่ยนนั้นแม้จะรักกันล้ำลึกเพียงไหน ถ้าหากว่าดวงชะตาราศีไม่สอดคล้องหนุนเสริมแก่กัน เขาจะไม่ฝ่าฝืนฟ้าลิขิต

อย่าว่าแต่จะเป็นแค่คนรัก ต่อให้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นตั้งท้อง ก็ยังต้องเลิกร้าง

ในกรณีนี้ผู้หญิงสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายชายได้อย่างหนัก

บางคู่ ดวงสมพงศ์กันดี แต่ยังไม่มีฤกษ์งามยามเหมาะกับการจัดพิธีวิวาห์ หนุ่มสาวจะได้รับอนุญาตให้ไปมาหาสู่อยู่ร่วมกันได้ อยู่กันไปจนลูกโตถึงวัยจะแต่งงานพ่อกับแม่ยังไม่ได้เข้าพิธีก็มีอยู่ถมเถ

แต่รักของสาวสันเจริญกับหนุ่มน้ำปุกเหนือราบรื่น

เรื่องราวชีวิตของตัวละครหลักดำเนินไปอย่างไร คนอ่านก็ติดตามเธอไปตามนั้น

เช้าวันที่ ๒๔ เดือน ๑๑ ปีก้วยเหม่ย ตามปฏิทินเมี่ยน หญิงสาวผู้กำลังจะเป็นเจ้าสาว รู้สึกตื่นเต้นมาตั้งแต่ตื่นนอน วันนี้แล้วที่เธอจะได้ออกเดินทางติดตามหัวใจที่ล่วงหน้าไปก่อนนานแล้ว และวันพรุ่งนี้ที่เธอและชายคนรักจะร่วมเรียงเคียงหมอนเป็นครอบครัวใหม่ของหมู่บ้าน

ตักน้ำขึ้นมาลูบหน้าล้างตา รู้สึกฝ่ามือของตัวเองนุ่มนวลกว่าเคย ก็เธอห่างร้างจากงานหนักในไร่กว่าครึ่งค่อนปีมาแล้ว

ใบหน้าตัวเองที่เห็นในกระจกก็ดูเหมือนไม่ใช่หน้าอันเคยคุ้น เมื่อเย็นวานญาติ ๆ ของเธอช่วยกันแต่งคิ้วจนโค้งเรียวเหมือนเสี้ยวจันทร์ ไรผมตามหน้าผากถูกเล็มออกอย่างเกลี้ยงเกลาด้วยเส้นด้าย เพื่อว่าเมื่อเธออยู่ในชุดเจ้าสาวแล้ว ต้องไม่มีลูกผมโผล่พ้นขอบผ้าโพกออกมาแม้สักเส้น

ที่บ้านเจ้าสาว งานจะเริ่มขึ้นก่อนถึงวันแต่ง ๒ วัน หรือก่อนวันส่งตัวเจ้าสาว ๑ วัน

ไม่นานหลังแสงแดดแหวกม่านหมอกของยามเช้า นิภาพรเยื้องย่างผ่านกรอบประตูออกมาในชุดเจ้าสาวเมี่ยน

เสื้อสีเข้มตัวยาวผ่าด้านหน้าตลอดและผ่าข้างตั้งแต่ชายเสื้อถึงเอว สาบเสื้อติดพู่ไหมสีแดงสดรอบคอยาวลงมาถึงหน้าท้อง กระดุมเงินสี่เหลี่ยมสลักลายติดเป็นแถวตามสาบ ปลายแขนติดแถบผ้าลายแดงสลับขาวและขลิบริมด้วยแถบผ้าสีน้ำเงิน ชายเสื้อเลยเอวลงไปถูกรวบถลกขึ้นมาเหน็บไว้กับผ้าคาดเอว เผยให้เห็นกางเกงสีเดียวกัน ปักลวดลายด้านหน้าแทบไม่เหลือที่ว่าง โพกหัวด้วยผ้าผืนยาวปักลวดลายที่ปลายชายอย่างวิจิตรติดดอกไม้เงินเด่นวาว

แถบผ้าสีขาวและแดงขนาดฝ่ามือ-สัญลักษณ์แห่งเจ้าสาว พันรอบตัว

สวมสร้อยระย้า กำไลคอทับอยู่นอกสุด ประดับกำไลแขน แหวน ตุ้มหู จี้ ลูกตุ้ม ลูกกระพรวน พราวไปทั้งตัว

เครื่องประดับทั้งหมดเป็นเงินแท้ เมื่อบวกรวมกับราคาของเสื้อผ้า ชุดวิวาห์ของเจ้าสาวมีมูลค่าเหยียบแสนบาท–เท่า ๆ กับจำนวนเงินที่เจ้าบ่าวต้องใช้ในงานแต่ง

ญาติพี่น้องในตระกูลมาร่วมในขบวนส่งเจ้าสาวกันถ้วนหน้า ขาดแต่ย่าของเธอ เป็นธรรมเนียมของชาวเมี่ยน ย่าและยายจะไม่ไปร่วมส่งตัวหลานสาวเข้าบ้านเจ้าบ่าว

เรื่องราวดำเนินไปตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีเสียงผู้เขียน แต่ให้คนอ่านรู้เห็น ได้ยินเสียง รู้เหตุการณ์ผ่านกิจกรรมของตัวละคร

เสียงวงมโหรีประโคมก้องขึ้นกลางหมอกหนาวของยามหัวรุ่ง กลบเสียงไก่ที่ขันปลุกเจ้าของบ้าน ให้ลุกขึ้นหุงข้าวเตรียมตัวออกไปไร่ข้าวโพด ดาวประกายพฤกษ์แขวนดวงเจิดแจ่มอยู่เหนือหลังคาบ้าน ด้านขอบฟ้าตะวันออก และเข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสี่

เป็นฤกษ์งามยามมงคลของตระกูลเจ้าบ่าว

เจ้าสาวยืนรออยู่หน้าประตู ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางของเธอเปล่งปลั่งผุดผ่องอยู่ใต้แสงไฟ ๑๑๐ แรงเทียน ชิ่งซุ้ยเริ่มพิธีด้วยการบูชาครูขอเชิญให้มาช่วยทำพิธีกรรม จากนั้นก็ไล่สิ่งชั่วร้ายในตัวเจ้าสาวให้เข้าไปอยู่ในไก่ตัวหนึ่ง เชือดไก่ตัวนั้น ไก่ตายหมายถึงภูตผีได้ดับสูญไปแล้วด้วย โต๊ะตัวหนึ่งถูกนำมาวางหงายบนธรณีประตู เจ้าสาวเดินข้ามเข้าไปก็ถือว่าผ่านการรับเข้าบ้าน

หมอผีนำเธอไปนั่งคุกเข่าหน้าแท่นพิธี หีบห่อสัมภาระของเจ้าสาวที่นำติดตัวมาจากบ้านถูกเปิดฝาออก จึงเริ่มพิธี ทิมเมี่ยนคู้ บอกกล่าววิญญาณบรรพบุรุษของฝ่ายชายให้รับสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในความคุ้มครองดูแล ตอนท้ายพิธี ชิ่งซุ้ยให้คู่บ่าวสาวดื่มเหล้าไขว้มือ เหล้าจอกนั้นผ่านการเสกคาถา รวมขวัญ รวมจิตใจ ให้ทั้งคู่รักกันหนักแน่นตลอดไป

พิธีกรรมดำเนินไปจนฟ้าสาง แขกในงานได้รับข้าวเหนียวหมูทอดคนละห่อกินรองท้อง

ผ่านพิธีกรรมรับเข้าบ้านแล้ว เจ้าสาวก็เป็นคนในตระกูลของเจ้าบ่าวโดยสมบูรณ์ เช้าวันแต่งงาน เบี๋ยนญ่างที่มาเดินเคียงข้างเจ้าสาวจึงต้องเป็นคนใหม่ เป็นคนของฝ่ายเจ้าบ่าว

น้ำเสียงของตัวประกอบ หรือแหล่งข้อมูลรองก็เสริมเข้ามาได้ตามความเหมาะสมตลอดทั้งเรื่อง

ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้หนุ่มสาวสองคนออกไปสร้างครอบครัวใหม่ คำสอนเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา วิถีปฏิบัติ หลักการครองเรือน รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถจะสั่งสอนกันได้ด้วยถ้อยคำก็พรั่งพรูจากปากเหล่าผู้อาวุโส

“เป็นคู่ผัวเมียกันแล้วก็เหมือนเป็นคนเดียวกัน ต้องรักกันให้มาก กระทบกระทั่งกันบ้างหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน”
ฯลฯ

“ให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง เป็นสามีต้องขยันขันแข็งหาเลี้ยงครอบครัว ภรรยาก็ต้องเป็นแม่บ้าน แม่เรือน”
ฯลฯ

“จากวันนี้ไปเราเป็นคนมีคู่แล้ว ไปเห็นคนอื่นที่สวยที่หล่อต้องใจ ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา”

ดูเหมือนสังคมของชนเผ่าเมี่ยนจะไม่ค่อยเข้มงวดกับเรื่องรักใคร่เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่เมื่อเป็นคู่ครองเรือนร่วมกันแล้ว พวกเขายึดถือหลักผัวเดียวเมียเดียวอย่างเคร่งครัด

ตัวหนึ่งในหลายวิธีที่ว่าด้วยการเล่าเรื่อง และผู้เล่าเรื่อง ในตอนต่อๆ ไปจะนำวิธีอื่นอื่นๆ มาเล่าต่อ


veeวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง

นักเขียนประจำกองบรรณาธิการ นิตยสาร สารคดี ที่มีผลงานตีพิมพ์ทั้งในนิตยสาร และตีพิมพ์รวมแล่มมากมาย อาทิ แผ่นดินนี้ที่อีกฟากเขา และแสงใต้ในเงามรสุม และ อีสานบ้านเฮา