ผีสางเทวดา เกร็ดเรื่องราวความเชื่อผีสาง เทวดา ในวัฒนธรรมไทยแต่อดีต


asura dvarapala

เมื่อบรรดาวงศ์เทวัญของ “คณะสามสิบสาม” หรือ คสส. ขึ้นสวรรค์มาใหม่ๆ พวกเทวดารุ่นพี่ที่อยู่มาก่อนก็ดีอกดีใจ จัดปาร์ตี้รับน้อง เอา “คันธบาน” เหล้าหอมทิพย์อย่างดีออกมากินเลี้ยงกัน แต่เทวดา “มาฆมานพ” หัวหน้ากลุ่ม คสส. ซึ่งไม่ต้องการแบ่งผลประโยชน์ในสวรรค์ให้แก่เทวดาหน้าเดิมอีกต่อไป แอบสั่งห้ามเพื่อนเทพในแก๊งกินเหล้าที่ยกมาเลี้ยง แต่ให้แกล้งทำท่า “เมาดิบ” ไปพลางๆ

เมื่อเห็นพวกเทวดาหน้าเก่าเมาปลิ้นหลับเละเทะแล้ว “มาฆมานพ” จึงส่งสัญญาณให้แกนนำ คสส. ช่วยกันจับเทวดาที่สลบไสลไม่ได้สติทั้งหมดเหวี่ยงจากสวรรค์บนยอดเขาลงไปที่ตีนเขาพระสุเมรุเบื้องล่าง ซึ่งอยู่ลึกลงไปถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ !

คัมภีร์ “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” เล่าว่า พวกเทวดาเหล่านั้น พอถูกจับโยนตกลงมาข้างล่างก็ไม่ตายเพราะเป็นเทวดา แต่เลยสร่างเมา พากันเสียอกเสียใจ พูดกันเองว่า “ทีนี้เราไม่กินเหล้าแล้ว ทีนี้เราไม่กินเหล้าเลยเป็นอันขาด” ดังนั้น “ตกว่าแต่เดิมนั้น ยังหาได้นามชื่อว่าอสูรไม่ อาศัยเหตุที่จำนรรจากันดังนี้ จึงมีนามชื่อว่าอสูร จับเดิมแต่นั้นมา” คือเดิมพวกนี้ไม่มีชื่อเรียก แต่เมื่อต้องกลายมาเป็น “เทวดาตกสวรรค์” แล้วจึงชวนกันตั้งสัตยาธิษฐานว่านับแต่บัดนี้ พวกเราจะงดเว้น “สุรา” จึงกลายเป็นพวก “ไม่กินเหล้า” คือเติม อ (อะ) ที่แปลว่าไม่ เข้าไปหน้า สุรา เกิดเป็น “อสุรา” หรือ “อสูร” นับแต่นั้นมา

จากนั้นเหล่าอสูรจึงชวนกันเข้าไปข้างใต้เขาพระสุเมรุ ที่ตรงนั้นเป็นเวิ้งว่างเปล่า เพราะเขาพระสุเมรุรองรับอยู่ด้วยภูเขาตรีกูฏ ซึ่งเป็นเขาสามลูกเหมือนก้อนเส้าเตาไฟรองก้นหม้ออยู่ “สมุดภาพไตรภูมิกรุงธนบุรี” อธิบายว่า เขาตรีกูฏนี้หนีบ “คาบพระเมรุอยู่ดังแหนบ”

ด้วยอำนาจแห่งกุศล (อย่าลืมว่าแต่เดิม นี่คือกลุ่มเทวดาบนยอดเขาพระสุเมรุมาก่อน) จึงเกิดอสูรพิภพขึ้นใต้เขาพระสุเมรุ มีลักษณะเหมือนสวรรค์ที่พลัดพรากจากมาทุกสิ่งอัน กว้างยาวด้านละหมื่นโยชน์เหมือนเดิม แม้แต่น้ำในสีทันดรสมุทรที่อยู่รอบเขาพระสุเมรุก็ไม่ท่วมทะลักเข้ามาด้วยอานุภาพของเหล่าอสูร

ส่วน คสส. ที่ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจในสุทัสนนครได้สำเร็จ จึงเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยการขนานนามสวรรค์บนยอดเขาพระสุเมรุเสียใหม่ (ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่าเคยมีชื่อเรียกหรือเปล่า หรือชื่ออะไร) เป็น “ดาวดึงส์” อันแปลว่า ๓๓ ตามจำนวนสมาชิก คสส. พร้อมกับที่หัวหน้า คสส. ก็สถาปนาตัวเป็นองค์สวรรยาธิปัตย์ในนาม “พระอินทร์” หรือนายกรัฐมนตรีแห่งดาวดึงส์ ไปเรียบร้อย

แต่อย่างเดียวที่ทำให้อสูรพิภพต่างไปจากดาวดึงส์คือต้นไม้สำคัญ

บนดาวดึงส์มีต้นปาริชาต หรือทองหลาง เป็นต้นไม้ประจำพิภพ ส่วนพิภพอสูรมีแต่ต้นแคฝอย (บางคนว่าเป็นญาติๆ ของต้นแคนาที่นิยมไปล้อมมาปลูกกันเดี๋ยวนี้ บางคนว่าคือต้นศรีตรัง)

ในเวลาปกติ พวกอสูรก็งงๆ หลงๆ เพ้อๆ ไปว่าพวกเรายังอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ครั้นพอถึงฤดูแคฝอยออกดอก จึงเกิดหวนระลึกถึงรูปร่างหน้าตาและกลิ่นหอมพิเศษของดอกปาริชาตได้ เหล่าอสูรจึง “ตระหนัก” แล้ว “ตระหนก” ว่าตัวเองถูกหลอก นี่มันไม่ใช่สวรรค์ สวรรค์ต้องมีต้นปาริชาตสิ!

ด้วยความแค้นใจ อสูรจึงจัดกองทัพทำสงครามเต็มรูปแบบ ยกขึ้นไปตีสุทัสนนครของ คสส. ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยมา แต่ต่างฝ่ายก็ไม่อาจหักเข้าในนครหลวงของฝ่ายตรงข้ามได้เลยแม้สักครั้ง